ไม่รับ ร่างรัฐรรมนูญ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
|
ปัจฉิมลิขิต
|
รัฐธรรมนูญของชนทุกชาติ มีหน้าที่กำหนดหลักอุดมการณ์แห่งชาติ ในการสร้างชาติสร้างสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข เจริญมั่งคั่งและยั่งยืน รัฐธรรมนูญไม่ใช่กฎหมายจัดการสังคมในรายละเอียดของทุกกิจกรรมมนุษย์ ไม่มีหน้าที่แทนกฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายว่าด้วยการปกครองรูปแบบต่างๆ
แม้นักวิชาการส่วนใหญ่มักจะพูดว่ารัฐธรรมนูญคือกฎหมายสูงสุดของชาติก็ตาม แต่ที่จริงแล้วรัฐธรรมนูญไม่ใช่กฎหมายในความหมายทั่วไป แต่รัฐธรรมนูญเป็นเอกสารสำคัญสูงสุดของรัฐและสังคม เป็นเอกสารที่ประกาศปรัชญาพื้นฐานของการสร้างชาติ ประกาศอุดมการณ์แห่งชาติ เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์และให้เป็นหลักยึดร่วมกันว่า “เราจะสร้างชาติกันอย่างสมานสามัคคีมีความสุขร่วมกัน ให้เจริญรุ่งเรือง มั่งคั่ง ยั่งยืน ถาวร ด้วยหลักอุดมการณ์ที่ประกาศ” เมื่อไม่ใช่กฎหมายในความหมายทั่วไป การละเมิดหรือไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญจึงทำได้โดยไม่มีบทลงโทษไม่ว่าจะต้องจำคุก ปรับ หรือเนรเทศออกนอกประเทศ การละเมิดรัฐธรรมนูญนั้นเป็นความผิดทางอุดมการณ์ ซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่าความผิดต่อกฎหมายอาญาใดๆ และเป็นความผิดที่ไม่มีการหมดอายุความ เป็นความผิดที่ฝังลึกในหัวใจและจิตวิญญาณ เป็นโทษรุนแรงที่กัดกร่อนทำลายความเป็นมนุษย์ของผู้กระทำความผิดไปตราบนานเท่านาน แม้สิ้นชีวิตไปแล้ว ความทุกข์อันเป็นความผิดจากการล่วงละเมิดรัฐธรรมนูญนั้นก็ยังคงอยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ทั้งของตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ เพราะเป็นความผิดที่ทำลายปรัชญาและอุดมการณ์แห่งชาติ สำหรับประเทศไทย เราไม่ได้ร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นเอกสารสำคัญสูงสุดเพื่อสร้างและจรรโลงสังคมประชาธิปไตย แต่เราเห็นรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือในการกำหนดกรอบการทำกิจกรรมในรัฐ โดยเฉพาะกิจกรรมทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงหรือยึดยึดมั่นจริงจังในอุดมการณ์และปรัชญาการเมืองเพื่อการสร้างชาติและสังคม โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญหลังปี 2540 เป็นต้นมา จนถึงร่างรัฐธรรมนูญของ คสช.ฉบับที่สอง ที่กำหนดให้มีการลงประชามติในวันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม 2559 ร่างรัฐธรรมนูญจึงเป็นเพียงกฎหมายขนาดยาวที่วางกรอบการทำกิจกรรมทางการเมืองและการบริหาราชการแผ่นดิน โดยหวังผลในการสร้างสังคมและประเทศชาติให้เป็นไปตามความคิดของผู้มีอำนาจในการจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ ผมจึงค้านร่างรัฐธรรมนูญของ คสช. ฉบับที่จะให้มีประชามติ เป็นการค้านโดยหลักการสร้างชาติด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่หายไป ไม่ได้ค้านในรายละเอียดของมาตราต่างๆในรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ผมจะต้องอ่านเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญเลย ผมสามารถไปลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. ได้อย่างเต็มจิตสำนึกประชาธิปไตย ความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญนั้น สามารถแยกได้เป็นสองเรื่องหลัก คือ 1. หลักการ 2. เนื้อหา: 1. หลักการ หมายถึงหลักอุมดมการณ์และปรัชญาแห่งการสร้างชาติและสังคม ซึ่งต้องสมมุติเอาเองว่าเป็นหลักการประชาธิปไตย เริ่มต้นตั้งแต่ที่มาของอำนาจในการจัดทำให้มีร่างรัฐธรรมนูญ กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญ และ การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2. เนื้อหา อ้างถึงข้อความต่างๆทุกคำ ทุกวรรคตอน ทุกมาตรา ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะต้องสอดคล้องกับหลักปรัชญาและอุดมกาณ์ที่สั่งสมมาในเส้นทางแห่งประวัติศาสตร์การต่อสู้เพื่อสร้างชาติและสังคมไทย โดยจะต้องประกาศไว้ในอารัมภบท หรือบทสาธยายตอนต้นของรัฐธรรมนูญ ผมคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญของ คสช. ในข้อหลักการ คือข้อ 1. (ข้างบน) เรื่องนี้คัดค้านได้ง่ายมาก เพราะร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ผู้ร่างมิได้วางหลักอุดมการณ์แห่งชาติไว้เลย ไม่สนใจค้นหา ไม่รู้เรื่อง ไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้อง ผู้ร่างเป็นเพียงนักเขียนกฎหมายทางเทคนิค เขียนตามที่ใจหวังว่าจะให้เป็นกฎหมายที่มีพลานุภาพสูงสุดจัดการประเทศชาติและสังคมในรูปแบบต่างๆ อย่างละเอียด ยาวถึง 279 มาตรา คงมีเรื่องมากมายที่จะต้องจัดการด้วยรัฐธรรมนูญ โดยไม่มีหัวใจสำคัญคือปรัชญาและหลักอุดมการณ์ของชาติ เพียงแค่ปัญหานี้ก็ทำให้ผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแล้ว รัฐธรรมนูญที่ไม่ประกาศอุดมการณ์แห่งชาติ เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีหัวใจ ไม่มีพลังขับเคลื่อน ไร้จิตวิญญาณของความเป็นชาติโดยสิ้นเชิง เรื่องนี้สำคัญมาก เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด สำคัญยิ่งกว่าเนื้อหามาตราใดๆทั้งสิ้น หลักการที่หายไป ไม่ได้เขียนไว้ คือหลัก “ประชาธิปไตย” หากเป็นดังนั้นก็ยิ่งง่ายขึ้นไปอีกที่จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของ คสช. เพราะไม่มีความเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่แรกเริ่ม มาถึงตอนปัจจุบันนี้ ซึ่งก็ยังไม่ใช่ตอนจบ ตอนจบจะจบเมื่อไรอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ เพียงแค่ปัญหานี้ก็ทำให้ผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญแล้ว รัฐธรรมนูญที่ไม่ประกาศอุดมการณ์แห่งชาติ เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีหัวใจ ไม่มีพลังขับเคลื่อน ไร้จิตวิญญาณของความเป็นชาติโดยสิ้นเชิง เรื่องนี้สำคัญมาก เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด สำคัญยิ่งกว่าเนื้อหามาตราใดๆทั้งสิ้น หากจะให้คิดเอาเอง ผมก็ต้องคิดแบบเดาเอาเองว่าหลักการที่หายไป ไม่ได้เขียนไว้ คือหลัก “ประชาธิปไตย” หากเป็นดังนั้นก็ยิ่งง่ายขึ้นไปอีกที่จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของ คสช. เพราะไม่มีความเป็นประชาธิปไตยตั้งแต่แรกเริ่ม มาถึงตอนปัจจุบันนี้ ซึ่งก็ยังไม่ใช่ตอนจบ ตอนจบจะจบเมื่อไรอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ จะเป็นประชาธิปไตยกันเมื่อไรก็ไม่มีใครมั่นใจได้ ว่าด้วยหลักการประชาธิปไตย ร่างรัฐธรรมนูญของ คสช. ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยแต่แรกเริ่ม ในเรื่องที่มาของอำนาจ และกระบวนการในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ ดังนี้: 1. ผู้มีอำนาจในการจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ คสช. ไม่ได้อำนาจมาอย่างเป็นประชาธิปไตย แต่มาโดยการใช้กำลังของกองทัพแห่งชาติเข้ามายึดอำนาจรัฐในยามที่สังคมกำลังขัดแย้งต่อสู้กันทางการเมืองอย่างรุนแรง แม้ประชาชนทั่วไปจะยอมรับการมาของ คสช. แต่ก็เป็นการยอมรับชั่วคราว เพื่อให้คสช.มาสร้างสังคมประชาธิปไตย ในเชิงโครงสร้าง แต่ถึงอย่างที่มาของอำนาจในการจัดให้มีคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญก็ยังไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่ดี เรื่องนี้แก้ไขให้ยอมรับได้ถ้ากระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยแท้จริง แต่ก็ไม่เป็นเช่นนั้น 2. เมื่อ คสช.ยึดอำนาจมาได้แล้ว แทนที่จะจัดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชน กลับใช้อำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ให้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญตามที่สั่งหรือให้ความเห็นไว้ โดยไม่มีกระบวนการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการเลือกตั้งตัวแทนประชาชนมาเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หรือกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ หรือมีส่วนร่วมอื่นใด ดังเช่นกระบวนการที่เคยได้ทำมาแล้วเป็นอย่างดีในปี 2540 ครั้งที่มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญ “ฉบับประชาชน” (ซึ่งครั้งนั้นผมเป็นผู้ได้รับเลือกมาจากจังหวัดสุพรรณบุรี ได้เป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2540) ที่จริงรัฐธรรมนูญฉบับประชามติ 2559 ไม่มีสภาร่างรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป มีแต่คณะบุคคลที่เรียกว่ากรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่ คสช.ตั้งเองตามใจชอบ ไม่ต้องถามประชาชน ประชาชนไม่มีส่วนร่วมใดๆ จึงเป็นร่างรัฐธรรมนูญ “ของ คสช.” ไม่ใช่ “ของประชาชน” ดังนั้นกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญจึงไม่เป็นประชาธิปไตย เมื่อที่มาของอำนาจ และกระบวนการร่างไม่เป็นประชาธิปไตย ก็สมควรคัดค้านได้ทันที โดยยึดหลักอุดมการณ์ประชาธิปไตยเป็นหัวใจในการสร้างชาติ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปอ่านเนื้อหาภายในตัวร่างรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ คสช. ด้วยเหตุผลเรื่องหลักการว่า ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่รัฐธรรมนูญ “ของประชาชน”, “โดยประชาชน” แม้ คสช.จะบอกว่าทำ “เพื่อประชาชน” ก็ตาม. ในเรื่องเนื้อหาภายในตัวร่างรัฐธรรมนูญนั้น มีความสำคัญน้อยกว่าหลักปรัชญาและอุดมการณ์ สมมุติว่าหลักปรัชญาและอุดมการณ์แห่งชาติคือประชาธิปไตย ถ้าเป็นเช่นที่สมมุติจริง เนื้อหาภายในก็จะต้องมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงทุกถ้อยคำ ทุกวรรคตอน ทุกมาตรา จะมายกเว้นบางเรื่องบางตอนบางเวลามิได้ นอกเสียจากว่าจะไม่ใช่รัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตย หากพบเพียงวลีเดียวว่าขัดต่อหลักประชาธิปไตย ก็ผิดแล้ว ไม่อาจรับร่างรัฐธรรมนูญได้ แม้ผมจะไม่ยอมอ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับ คสช. นี้ แต่ก็มีโอกาสดูแบบผ่านๆเพื่อค้นหาหลักการ ซึ่งพบแต่ต้นแล้วว่าไม่มีอารัมภบท ซึ่งก็ทำให้ไม่รู้ว่า คสช.จะยึดหลักประชาธิปไตยหรือเปล่า แม้ที่มาแห่งอำนาจและกระบวนการจัดทำจะไม่ยึดหลักการประชาธิปไตย แต่เนื้อหาก็ควรยึดหลักปรัชญาและอุดมการณ์ประชาธิปไตย เมื่อไม่มีการประกาศหลักการประชาธิปไตยในร่างรัฐธรรมนูญ ก็ต้องถือว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เป็นประชาธิปไตยทั้งหลักการและเนื้อหา ประชาชนที่จะไปลงประชามติ อาจเลือกรับ หรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุผลข้อใดข้อหนึ่งในสองข้อ หรือทั้งสองข้อ ที่อธิบายมา แต่ถ้าจะรับร่างรัฐธรรมนูญ โดยถือเพียงเป็นกฎหมายหลักเพื่อทำหน้าที่กำกับสังคมและกระบวนการทางการเมืองตลอดจนควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว ก็ไม่ต้องใส่ใจเรื่องประชาธิปไตย เลือกชอบหรือไม่ชอบ เลือกรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญโดยพิจารณาเนื้อหาตามใจปราถนา แต่ประชาชนต้องอ่านร่างรัฐธรรมนูญให้ครบ 279 มาตรา ก่อนไปลงประชามติ แล้วชั่งใจว่าจะรับมาตราไหนไม่รับมาตราใด และโดยภาพรวมจะยอมรับร่างรัฐธรรมนูญที่มีบางมาตราที่ไม่ยอมรับได้หรือไม่ หรือว่าจะไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญที่มีบางมาตราดีน่ายอมรับได้แต่อีกหลายมาตรายอมรับไม่ได้ ต้องอ่านก่อนคิดตัดสินใจ หากไม่อ่าน ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ความคิดที่ถูกต้อง รัฐธรรมนูญเป็นเอกสารสูงสุดของชาติ ไม่อ่าน ไม่ทำความเข้าใจ ไม่ถกเถียงกับเพื่อนฝูง ไม่คุยกับผู้รู้และผู้ไม่รู้ ไม่ศึกษาหาความรู้ให้ถ่องแท้ ก่อนลงประชามติเรื่องเนื้อหาภายในร่างรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ควรทำ ทำไม่ได้ ต้องไม่ทำ สำหรับผมเองนั้น ไม่ยุ่งยาก เพราะสนใจเฉพาะเรื่องหลักการ ไม่ใช่เรื่องเนื้อหา เป็นสำคัญ ผมมีหลักการทั้งปรัะชญาและอุดมการณ์ประชาธิปไตย แน่นอน ถูกต้อง ชัดเจน ผมจึงคัดค้าน ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของ คสช. เพราะเป็นร่างรัฐธรรมนูญของ คสช. ไม่ใช่เป็นของประชาชน ถ้าสังคมไม่ยึดหลักปรัชญาและอุดมการณ์ประชาธิปไตย ผมก็ยังอยู่ร่วมกันในสังคมแบบนี้ได้ คงจะอยู่อย่างไม่เป็นสุข แต่ผมก็คงอยู่อีกไม่นาน เพราะอายุ 68 ปีแล้ว แต่ผมมั่นใจว่าจะอยู่นานพอที่จะเห็นการสร้างสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นได้อนาคต แม้ไม่ใช่ปัจจุบัน สมเกียรติ อ่อนวิมล ปากช่อง, นครราชสีมา 6 สิงหาคม 2559 |
มีบางท่านเปรียบเปรยว่า “ประชาธิปไตยกินไม่ได้” จึงขอเลือกรัฐธรรมนูญของ คสช. ที่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย แต่บ้านเมืองสงบดี (กินได้).
นับว่าเป็นความบังเอิญที่น่าแปลกใจว่าความคิดที่ไม่เห็นคุณค่าของประชาธิปไตย ดังที่ออกมาเป็นคำเปรียบเปรยว่า “ประชาธิปไตยกินไม่ได้” นี้เกิดขึ้นมานานแล้ว โดยเฉพาะสมัยที่ทหารทำลายประชาธิปไตย และมีอำนาจปกครองประเทศ ในปี พ.ศ.2516 ไม่กี่เดือนก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ผมเรียนจบปริญญาตรีและโท สาขาวิชารัฐศาสตร์ จาก University of Delhi มาใหม่เอี่ยม สดๆร้อนๆ คลั่งประชาธิปไตยและการปฏิวัติของคนรุ่นใหม่แบบสังคมนิยมประชาธิปไตย มาจากอินเดีย ประเทศที่ได้ชื่อว่า “ประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ผมได้รับบรรจุเข้าเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วลงชื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญจากรัฐบาลทหาร “ถนอม-ประภาส” (จอมพลถนอม กิตติขจร และจอมพลประภาส จารุเสถียร) ผมเป็น 1 ใน 100 คน ที่ร่วมลงชื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญจากพวกเผด็จการทหารในตอนนั้น ซึ่งต่อมาก็นำไปสู่ “เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ” ณ เวทีอภิปรายเรื่องรัฐธรรมนูญ ที่ห้องประชุมคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ในตอนนั้น จำได้ว่า บนเวที ผมประทับใจอาจารย์พงศ์เพ็ญ ศกุนตาภัย นักคิดนักเขียนและอาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯของผมมาก ท่านมีความรู้เรื่องประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญอย่างดียิ่ง ในที่ประชุมนั้นผู้ร่วมประชุมและผู้อภิปรายบางคนก็พูดว่า “ประชาธิปไตย กินไม่ได้” ผมในฐานะผู้ร่วมฟังการอภิปรายจึงลุกขึ้นค้านว่า “ประชาธิปไตยกินได้” แล้วก็อธิบายถึงประโยชน์ของประชาธิปไตย ยกตัวอย่างประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในโลก คืออินเดีย ว่าได้ใช้อุดมการณ์ประชาธิปไตย สร้างชาติเป็นแบบอย่างแก่ชาวโลกอย่างน่าภาคภูมิใจอย่างไร ผมรู้สึกผิดหวังมากที่เรียนจบกลับมาเมืองไทยแล้วมาเจอคนไทยคิดว่าประชาธิปไตยไม่ดี เพราะกินไม่ได้ ตอนผมเรียนที่อินเดียผมเป็นนักศึกษาทุนรัฐบาลอินเดียแต่ชอบทำกิจกรรมไปด้วยเรียนไปด้วย ได้รับเลือกเป็นประธานสมาคมนักเรียนไทยในกรุงเดลฮี และได้รับเลือกตั้งเป็นประธานหอพักนักศึกษานานาชาติของมหาวิทยาลัยเดลฮี (International Students House) ผมเคยนำนักศึกษาไทยกลุ่มเล็กๆไปประท้วงที่หน้าสถานทูตไทย และเปิดเวทีอภิปรายต่อต้านรัฐบาลจอมพลถนอมที่ปฏิวัติตัวเองในปี 2514 ประวัติศาสตร์การเมืองไทยย่ำอยู่กับที่นานมากแล้ว เฉพาะเวลาในชีวิตของตัวผมเอง ผมเห็น “ความชื่นชมระบบอำนาจนิยมที่เกิดจากการยึดอำนาจของพวกทหาร อันส่งผลให้สร้างความไม่เห็นคุณค่าของประชาธิปไตย” ในสังคมไทย ย่ำอยู่กับที่ นาน 43 ปี นับจากปี 2516 ดังนั้นคำพูดที่ว่า “ประชาธิปไตย กินไม่ได้” จึงกลับมาหลอกหลอนผมอีกในปี 2559 หลังจากได้ยินครั้งแรกในปี 2516 ลัทธิเผด็จการและอำนาจนิยมนั้น กินได้และได้กินกันเฉพาะผู้ครองอำนาจและผู้ร่วมเกาะขบวนเพื่อขอส่วนแบ่งกินบ้างเท่านั้น คนเหล่านี้จะมีโอกาสได้กินมากๆด้วย ส่วนประชาชน ไม่ได้กินหรอก เว้นเสียแต่ว่าจะได้เศษอาหารที่เขาโยนทิ้งมาให้ ประชาธิปไตย กินได้แน่นอน กินได้แบบพอเพียง ทั่วถึง และเท่าเทียมกัน หิวประชาธิปไตยกันเมื่อไร การเรียกร้องประชาธิปไตยก็จะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ. สมเกียรติ อ่อนวิมล ปากช่อง, นครราชสีมา 7 สิงหาคม 2559 |