Esquire Magazine
[024] The World Turns มนุษย์มาจากไหน? โดย สมเกียรติ อ่อนวิมล เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม 2557 มีข่าวใหญ่มากข่าวหนึ่งออกมาจากประเทศอาร์เจนติน่า แต่ปรากฏเป็นข่าวเล็กมากในประเทศไทย เพราะระยะนี้เมืองไทยเรามีข่าวเล็กข่าวอื่นที่สื่อมวลชนเข้าใจเอาเองว่าใหญ่กว่าข่าวจากอาร์เจนติน่า ที่เริ่มต้นคอลัมน์ “The World Turns” หรือ “โลกหมุน” อย่างนี้ก็มิได้มีจุดประสงค์จะกดดันสื่อมวลชนไทยตามกระแสมวลมหาประชาชนแต่อย่างใด หากแต่เพราะชื่อคอลัมน์นี้มีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยมาก เป็นคอลัมน์ระดับโลก และเป็นโลกที่ไม่หยุดนิ่งด้วย จึงต้องมองข่าวระดับโลกมาเล่าสู่กันฟังบ่อยๆ จะได้รู้ว่าประเทศไทยของเราและพวกเราคนไทยมาจากไหน อยู่กันอย่างไร และจะไปไหนกัน หรือว่าจะไม่ไปไหนกันเลย เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2557 ที่ผ่านมา James Morgan ผู้สื่อข่าววิทยาศาสตร์ของสำนักข่าว BBC ของอังกฤษ รายงานว่ามีการขุดพบซากฟอสซิลไดโนเสาร์ขนาดมหึมา [http://www.bbc.com/news/science-environment-27441156] เฉพาะกระดูกท่อนโคนขาก็ยาว (สูง) กว่าตัวคนฝรั่งนักดึกดำบรรพ์วิทยาผู้ขุดพบแล้ว คำนวนจากขนาดโคนขาแล้วได้ข้อมูลว่าไดโนเสาร์ตัวนี้มีขนาดลำตัวจากหัวจรดหาง 40 เมตร (130 ฟุต) สูง 20 เมตร (65 ฟุต) เท่ากับตึก 7 ชั้น หรือสูงราวๆ 11-12 เท่าของขนาดมาตรฐานคนไทย และจะยาวตามแนวนอนเป็น 22-24 เท่าของชายไทยมาตรฐานเช่นตัวผม (1.70 ม.) พอคำนวณน้ำหนักก็ได้ว่าไดโนเสาร์ตัวนี้หนัก 77 ตัน เทียบเท่าช้างอัฟริกัน 14 ตัว หนักกว่าผม 1,100 เท่า หนักกว่าซากไดโนเสาร์ที่เคยมีสถิติใหญ่ที่สุดในโลกถึง 7 ตัน ก่อนหน้านี้พบไดโนเสาร์ตัวที่เคยว่าใหญ่ที่สุดในโลก ก็พบที่อาร์เจนติน่า ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์เป็นภาษาละตินว่า “Argentinosaurus” ส่วนตัวใหม่ที่ขุดพบนี้นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าเป็นชนิดพันธุ์ (species) ใหม่ที่เรียกว่า “Titanosaur” แต่ตัวไดโนเสาร์ที่ขุดพบนี้ยังไม่มีการตั้งชื่อ โดยบอกว่าชื่อที่จะตั้งให้นั้นจะให้เป็นเกียรติแก่พื้นที่และคนที่ค้นพบ ไดโนเสาร์ที่พบนี้เป็นจำพวกกินพืชในยุคครีเตเซียส (Cretaceous) ตอนปลาย คนที่ไปเจอซากไดโนเสาร์มหึมานี้เป็นเกษตรกรที่เดินไปพบโดยบังเอิญในเขตทะเลทรายใกล้เมือง La Flecha ห่าง 250 กิโลเมตรไปทางตะวันตกของเมือง Trelew แถบเทือกเขา Patagonia จากนั้นนักดึกดำบรรพ์วิทยาจากพิพิธภัณฑ์ดึกดำบรรพ์ของอาร์เจนติน่านำโดย Dr. Jose Luis Caballido และ Dr. Diego Pol ก็นำคณะไปศึกษาและขุดค้น ได้โครงกระดูกไดโนเสาร์ Titanosaur 150 ชิ้น แยกประกอบเป็นไดโนเสาร์ 7 ตัว อยู่ในสภาพที่ดีมาก การค้นพบซากไดโนเสาร์ Titansour ขนาดมหึมาครั้งนี้ทำให้ผมคลี่คลายความกังขาในเรื่องวิวัฒนาการไปได้อีกระดับหนึ่ง ทำให้ผมยังคงยึดมั่นใน Charles Darwin ผู้เคยบอกผมไว้เมื่อกว่า 150 ปีที่แล้วว่าใครที่ยังไม่เชื่อเรื่องวิวัฒนาการเพราะหา missing link หรือ ช่วงประวัติศาสตร์ดึกดำบรรพ์ที่ขาดหายไป หาเท่าไรก็ยังไม่เจอนั้น Charles Darwin ยืนยันไว้ในหนังสือสะเทือนโลกชื่อ On the Origin of Species ว่าให้ค่อยๆรอและตามดูความจริงที่ขาดหายไปนั้นว่าจะได้ค้นพบในซากดึกดำบรรพ์ต่างๆที่ทิ้งร่องรอยประทับไว้ในแผ่นหินทั้งหลายในโลกไม่ช้าก็เร็ว ไม่มากก็น้อย แต่จะค้นพบไปเรื่อยๆ ซึ่งทุกวันนี้เราก็เห็นที่ละน้อยๆแล้วว่ารูปร่างหน้าตาของโลกสมัยดึกดำบรรพ์ก่อนจะกำเนิดชีวิตมนุษย์เป็นอย่างไร มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดินตัวตั้งตรงบนสองขา ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่คาร์บอนกับน้ำ พอตายไปก็เน่าเปื่อยผุพังย่อยสลายไปเป็นดิน หรือไม่ก็จะกลายเป็นซากฟอสซิลใหม่ฝั่งรอยอยู่ในหินต่อไปถ้าหากเกิดธรรมชาติผันแปรฉับพลันตอนโลกจะระเบิดสลายไหม้มลายชีวิตไปอีกครั้งในอนาคต เฉพาะข่าวใหญ่จากอาร์เจนติน่าข่าวนี้ไม่ถึงกับให้คำตอบทันทีว่ามนุษย์มาจากไหน แต่ก็ได้ความมั่นใจมากขึ้นว่าในอดีตกาลอันไกลแสนไกลของโลกมนุษย์นี้มีสัตว์ขนาดมหึมาครองโลกอยู่ยาวนานและอยู่มาคราหนึ่งก็หายไป ไม่เป็นที่กังขาอีกต่อไปว่าไดโนเสาร์ทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ จนถึงขนาดตึก 7 ชั้น อยู่ในโลกนี้มาก่อนเรานานหนักหนา ส่วนมนุษย์เราที่มาทีหลังและกำลังงุนงงกันอยู่เรื่องประชาธิปไตยนั้น อาจจะเกิดหลังไดโนเสาร์ นานหน่อย นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าห่าอุกกาบาตถล่มโลกจนไดโนเสาร์สูญสลายหายไปจากโลกเมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว โครงกระดูกมนุษย์ที่พบที่เอธิโอเปีย ตั้งชื่อว่า Lucy มีอายุราว 3 ล้าน 2 แสนปี แต่ Charles Darwin บอกว่าสิ่งมีชีวิตบนโลกวิวัฒนาการไปตามการคัดสรรโดยธรรมชาติ ทำให้คนทั่วไปนำแนวคิดนี้มาพูดผิดๆเพื่อให้เข้าใจง่ายๆว่า “มนุษย์มาจากลิง” หมายความว่าสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กแต่กาลโพ้นปรับตัวคัดสรรพันธุ์จนกลายพันธุ์มาเป็นสรรพชีวิตดังที่เห็นในปัจจุบัน ดังนั้นถ้าจะให้รู้จริงชัดเจนตามทฤษฎีวิวัฒนาการก็ต้องได้ซากดึกดำบรรพ์หรือฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตย้อนหลังไปกว่า 100 ล้านปี จนประกอบภาพวิวัฒนาการชีวิตมาเป็น Lucy ได้ จาก Lucy แล้วก็ต้องหาซากสิ่งมีชีวิตที่วิวัฒนาการมาเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์สารพัดสายพันธุ์ที่แยกย้ายกันสร้างหรือทำลายสังคมกันอยู่รวม 7 พันล้านคนบนโลกนี้ ที่เราเรียกว่า “โลกมนุษย์” ที่กาลก่อนเป็น “โลกไดโนเสาร์) เพราะไดโนเสาร์เป็นเจ้าของครอบครองมาก่อน ดังนั้น Missing Link หรือซากดึกดำบรรพ์ที่จะเป็นความรู้ใช้อธิบายการเชื่อมโยงวิวัฒนาการสรรพชีวิตบนโลกมนุษย์ก็ยังไม่สมบูรณ์อยู่ดี เรื่องนี้ผู้ที่เชื่อใน Charles Darwin เช่นผมนั้นรอได้ แม้จะอยู่ไม่นานพอที่จะเห็นคำตอบสุดท้ายก็ตามที แต่ชาวคริสต์สายอนุรักษ์ดั้งเดิมนั้นรอไม่ได้ และไม่เคยเชื่อทฤษฎีวิวัฒนาการไม่ว่าจะของ Charles Darwin หรือของคนอื่นที่คิดก่อน Drawin แล้ว ชาวคริสต์จึงอธิบายตรงไปตรงมาตามที่พระเจ้าบัญญัติไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างโลกสร้างมนุษย์เมื่อราว 4,000 ปีที่แล้วมานี้เอง พระเจ้าสร้างโลก สร้างแสงสว่าง สร้างฟ้า สร้างน้ำ พืช สัตว์ แล้วสร้างมนุษย์ให้เป็นรูปลักษณ์ตามรูปลักษณ์ของพระเจ้าเอง พระเจ้าสร้างโลกใช้เวลาเพียง 6 วัน แถมเวลาพักเหนื่อยนั่งชมความงดงามของโลกอีกหนึ่งวัน รวม 7 วันพอดี เมื่อพระคัมภีร์ว่าไว้เช่นนี้ ชาวคริสต์แท้ดั้งเดิมจึงขัดใจกับวิวัฒนาการ และเป็นคู่กรณีกับ Charles Darwin มาจนทุกวันนี้. 20 พฤษภาคม 2557 |