หนังสือชุด HARYY POTTER รวม 7 เล่ม โดย J.K. Rowling
บทนำ เมื่อปี 1997/๒๕๔๐ นักเขียนที่ไม่มีใครรู้จักคนหนึ่ง ชีวิตครอบครัวสั่นสะเทือนจากการแยกทางจากสามี มาเผชิญชีวิตกับลูกสาวคนเดียว ขอทุนจากเงินกองทุนสนับสนุนนักเขียนหน้าใหม่มาเขียนหนังสือสำหรับเด็กเรื่องหนึ่ง เขียนเสร็จบนกระดาษเช็ดปากที่ร้านกาแฟ ขอเงินมาผ่อนบ้านล่วงหน้าจากสำนักพิมพ์ 7 ปีผ่านไป กับ Harry Potter 5 เล่ม ใน 7 เล่ม เธอมีรายได้มากกว่า 2 หมื่นล้านบาท มั่งคั่งมากกว่าสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ หลังจากเธอเขียนครบ 7 เล่ม เธอกลายเป็นนักเขียนอภิมหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลล่าร์คนแรกของโลก และคงจะครองตำแหน่งคนแรกและคนเดียวเช่นนี้ไปอีกนาน (อ้างอิง http://www.getnetworth.com/tag/j-k-rowling-income/) เธอคือ J.K. Rowling ผู้เขียน Harry Potter: (สำนักพิมพ์นานมีบุคส์ จัดพิมพ์ภาคภาษาไทย แบ่งกันแปลโดย ผู้แปล 3 คน คือ สุมาลี บำรุงสุข (เล่ม 1, 2, 5, 6, 7) วลีพร หวังซื่อกุล (เล่ม 3), และ งามพรรณ เวชชาชีวะ (เล่ม 4) เล่มที่ 1 Harry Potter and the Philosopher’s Stone (1997) หรือในภาคภาษาไทยชื่อว่า Harry Potter กับศิลาอาถรรพ์ (แปลโดย ‘สุมาลี’ (ไม่ใส่นามสกุล ‘บำรุงสุข’) พิมพ์จำหน่ายทั่วโลกในปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ.๒๕๔๐) ยอดพิมพ์จำหน่ายภาษาอังกฤษ 107 ล้านเล่ม เล่มที่ 2 Harry Potter and the Chamber of Secret (1998) Harry Potter กับ ห้องแห่งความลับ (แปลโดย สุมาลี บำรุงสุข) ในปี ค.ศ.1998 (พ.ศ.๒๕๔๑) ยอดพิมพ์จำหน่ายภาษาอังกฤษ 60 ล้านเล่ม เล่มที่ 3 Harry Potter and the Prisoner of Azkaban (1999) Harry Potter กับ นักโทษแห่งอัซคาบัน (แปลโดย วลีพร หวังซื่อกุล) ปี 1999 (พ.ศ.๒๕๔๒) ยอดพิมพ์จำหน่ายภาษาอังกฤษ 50 ล้านเล่ม เล่มที่ 4 Harry Potter and the Goblet of Fire (2000) Harry Potter กับ ถ้วยอัคนี (แปลโดย งามพรรณ เวชชาชีวะ) เมื่อปี ค.ศ. 2000 (พ.ศ.๒๕๔๓) ยอดพิมพ์จำหน่ายภาษาอังกฤษ 55 ล้านเล่ม เล่มที่ 5 Harry Potter and the Oder of the Phoenix (2003) Harry Potter กับ ภาคีนกฟีนิกซ์ (แปลโดย สุมาลี บำรุงสุข) ยอดพิมพ์จำหน่ายภาษาอังกฤษ 55 ล้านเล่ม เล่มที่ 6 Harry Potter and the Half-Blood Prince (2005) Harry Potter กับ เจ้าชายเลือดผสม (แปลโดย สุมาลี บำรุงสุข) ยอดพิมพ์จำหน่ายภาษาอังกฤษ 65 ล้านเล่ม เล่มที่ 7 Harry Potter and the Deathly Hallows (2007) Harry Potter กับ เครื่องรางยมทูต (แปลโดย สุมาลี บำรุงสุข) ยอดพิมพ์จำหน่ายภาษาอังกฤษ 50 ล้านเล่ม หนังสือชุด Harry Potter ทั้งหมดรวม 7 เล่ม 7 ตอน สร้างปรากฏการณ์สะเทือนโลกนักอ่านทุกเพศวัยเมื่อปีที่แล้วด้วยการพิมพ์ครั้งแรก 13 ล้านเล่มเฉพาะการจำหน่ายในเดือนมิถุนายนเดือนแรก จนถึงปัจจุบัน Harry Potter ทั้ง 7 ตอน พิมพ์จำหน่ายทั่วโลกทั้งที่เป็นภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆ รวมแล้วกว่า 442 ล้านเล่ม . (อ้างอิง https://en.wikipedia.org/wiki/List_of_best-selling_books) HARRY POTTER I
Harry Potter and the Philosopher’s Stone Harry Potter and the Sorcerer’s Stone Harry Potter กับ ศิลาอาถรรพ์ “Mr. และ Mrs. Dursley, แห่งบ้านเลขที่ ๔ ถนน Privet Drive มีความภูมิใจที่จะบอกว่าแกทั้งสองคนเป็นคนปรกติธรรมดาอย่างแท้จริง, ขอบคุณมากๆจ๊ะ ทั้งสองคนเป็นคนสุดท้ายที่คุณจะคาดหมายว่าจะเข้าไปมีอะไรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอะไรที่มันแปลกประหลาดลึกลับมหัศจรรย์อันใด เพราะเขาทั้งสองมิได้ใส่ใจในเรื่องไร้สาระทั้งหลายเหล่านั้น” Joanne Katherine Rowling เริ่มประโยคแรกที่นำทางไปสู่โลกแห่งการอ่านหนังสือของเด็กและเยาวชนทั้งโลก ต่อเนื่อง ยาวนาน อ่านแล้วอ่านอีก เล่มแล้วเล่มเล่า ใครบ้างที่ไม่ห่วงชตากรรมของ Harry Potter เด็กกำพร้า พ่อแม่ตายตั้งแต่ตัวเองยังแบเบาะ? ใครบ้างที่จะทนได้กับการจู้จี้จุกจิกเอาเปรียบ และการข่มเหงน้ำใจของลุงกับป้าที่จำยอมรับเลี้ยง Harry เคียงคู่ Dursley ลูกชายสุดที่รักของครอบครัว Dursley ในเมื่อ Harry ทนมาได้ถึง 15 ปี และคาดว่า J.K. Rowling จะให้ Harry ทนต่อไปอย่างน้อยถึง 17 ปี ผู้อ่านทั้งโลกก็ย่อมทนได้ และยอมทนอย่างสนุกสนาน ตื่นเต้น เร้าอารมณ์ และเศร้าโศกใจ คละเค้าระคนกันไป เมื่อ Harry อายุย่างเข้าปีที่ 11 เป็นปีที่ 1 ที่เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งเวทย์มนต์ Hogwarts School of Witchcraft and Wizardry สำหรับคนที่มีเชื้อสายเผ่าพันธุ์พ่อมด การใช้ชีวิตเป็นเด็กประจำ ทำให้ได้หลุดพ้นเป็นอิสระจากบ้านลุงกับป้า การเผชิญชีวิตในวัยเด็กของ Harry จึงเริ่มเป็นตอนหนึ่งของหนังสือชุด Harry Potter ตอน The Philosopher’s Stone แปลตนงตัวว่า “ศิลาของนักปราชญ์” สำนักพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนชื่อเป็น The Sorcerer’s Stone แปลว่า ศิลาของหมอผี สำนักพิมพ์นานมีบุคส์ในประเทศให้สุมาลีแปล และตั้งชื่อว่า “ศิลาอาถรรพ์” Harry มาทราบทีหลังว่าคุณพ่อ James กับ คุณแม่ Lily ถูก Lord Voldemort (Tom Marvolo Riddle - Voldemort เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า “theft of death) พ่อมดตัวร้ายฆ่าตาย มิใช่โดยอุบัติเหตุทางรถยนต์ แต่เมื่อพยายามจะฆ่า ทารก Harry ด้วย แต่ก็อ่อนพลัง ทำไม่สำเร็จ Harry จึงกลายเป็นเด็กที่ตื่นเต้นกันในโลกของพ่อมดแม่มดว่ามีพลังและความกล้าหาญยิ่งยวด สามารถสู้กับ Lord Voldemort จากนั้นเป็นต้นมา Lord Voldemort ก็ตามล่าตามคร่าโหมทุกข์ทรมาณและความเจ็บปวดให้กับ Harry ตลอดไป ไม่มีวันจบสิ้น Ron Weasley กับ Hermione Granger เพื่อนสนิทสองคนอยู่ด้วยกันที่หอพัก Gryffindor house ในโรงเรียน ได้ Hagrid ยักษ์ใหญ่คนเก่าแก่ของโรงเรียน มีกระท่อมน้อยริมของป่าของโรงเรียนคอยช่วยปกป้องดูแล Snape and Draco Malfoy กับแก๊งเด็กจอมกวน และอาจารย์ Snape คอยรังควาน สร้างความหมั่นใส้เอือมระอาอย่างสนุกจนอ่านแล้ววางไม่ลง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับ Harry ก็ยังอุ่นใจได้ว่า ศาสตราจารย์ Dumbledore อาจารย์ใหญ่แห่งโรงเรียน Hogwarts จะยังคงเฝ้าดู Harry อยู่อย่างเงียบๆ Harry เป็นเด็กที่มีความสามารถพิเศษอันเป็นพลังลึกลับในตัว แต่ Harry ก็เป็นเด็กธรรมดาที่อ่อนไหวและหวาดหวั่นต่อชีวิตที่ไม่ทราบชตากรรม Lord Voldemort พยายามจะไปเอา “ปราชญศิลา” มาชุบชีวิตและพลังของตน เพื่อจะจัดการกับ Harry แต่ในที่สุด Harry ก็สามารถฝ่าอันตรายเข้าไปแย่งและทำลาย “ปราชญศิลาอาถรรพ์” นั้นได้ Hogwarts School ปิดเทอมพอดี “แล้วเจอกันช่วง Summer นะเพื่อน” Harry บอกลา Ron กับ Hermione ที่ชานชลาหมายเลข 9 ¾ สถานี King’s Cross “หวังว่าคงสนุกตอน เออ...ปิดเทอมน๊ะจ๊ะ” Hermione กล่าวอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจ เพราะเห็นหน้าลุง Vernon ของ Harry แล้วก็ตกใจ ไม่คิดว่าจะมีใครที่ดูแล้วน่าจะไม่สบายใจเท่าลุงของ Harry คนนี้ “โอ...สนุกแน่ เพื่อน ลุงกับป้าไม่รู้หรอกว่าทางโรงเรียนเขาห้ามพวกเราไม่ให้เล่นเวทย์มนต์ที่บ้าน.... I am going to have a lot of fun with Dudley this summer….” แล้วทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทั้งโลกก็ติดตามอ่าน Harry Potter เล่ม ๒ เพราะอยากสนุกกับ Harry ในตอนปิดเทอม และอยากตาม Harry ไปผจญชตาชีวิตในปีที่สองที่หอพัก Gryffindor. HARRY POTTER II
Harry Potter and the Chamber of Secrets Harry Potter กับ ห้องแห่งความลับ หลังจากประสพความสำเร็จอย่างไม่คาดคิดมาก่อนจาก Harry Potter and the Philosopher’s Stone อันเป็นเล่มที่หนึ่งแล้ว J.K. Rowling ก็เขียนเล่มที่สองจบในเวลาที่เล่มแรกพิมพ์ออกจำหน่าย Harry Potter and the Chamber of Secret หรือ Harry Potter กับห้องแห่งความลับ พิมพ์ออกจำหน่ายทั่วโลกในปีต่อมา คือปี ค.ศ. 1998 หรือ พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งเยาวชนและครอบครัวนักอ่านทุกหนแห่งก็ไม่ผิดหวัง กับ “ห้องแห่งความลับ” ของโรงเรียน Hogwarts เรื่องเริ่มต้นที่บ้านลุงเช่นเล่มที่หนึ่ง แต่ Elf ประจำบ้านทำหน้าที่รับใช้ประจำตัว Harry มาปรากฏตัวเตือนถึงอันตรายที่ Harry จะต้องเผชิญหากจะกลับไปโรงเรียน Hogwarts ในปีที่สองนี้ พลังล่าจาก Voldemort ตามมาบีบแผลเป็นสายฟ้าบนหน้าผากของ Harry อย่างปวดร้าวแสนสาหัส แต่ก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยง J.K. Rowling สร้างสีสันมหัศจรรย์ด้วยการเดินทางไปโรงเรียนของเด็กๆโดยรถยนต์เก่าของครอบครัวของ Ron เพื่อนรัก แต่รถ Ford Anglia คันนี้ก็เลือกที่จะเหาะไปในอากาศอย่างสนุกสนานจนไปโดน The Whomping Willow ต้นหลิวยักษ์จอมเกเรที่ฟาดรัดจนสะบักสะบอม ชีวิตที่โรงเรียนปีสองนี้ Harry, Ron และ Hermione ได้ทราบเรื่องราวของห้องลึกลับที่ Harry เป็นหนึ่งในคนไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเข้าไปภายในห้องได้ จากสมุดบันทึกของ Tom Riddle ที่ Harry ได้มา พบว่าเรื่องราวของ Tom Riddle ศิษย์เก่า Hogwarts ถูกบันทึกไว้อย่างพิศดาร รวมทั้งความคิดของ Tom Riddle และเรื่องของห้องแห่งความลับที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยถูกเปิดออกมาจนสัตว์ร้ายในห้องออกมาทำร้ายนักเรียนในสมัยนั้น ในตอนนี้เองที่เปิดเผยว่า Lord Voldemort กับ Tom Riddle เกี่ยวโยงกันอย่างไร ใน The Chamber of Secrets หรือ ห้องแห่งความลับนั้นเองที่ Harry ต้องเผชิญหน้ากับจ้าวชีวิตผู้ซึ่งไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อที่เป็นผู้ตามล่าตามทำลายล้าง Harry อย่างไม่ลดละ ในที่สุด นก Phoenix ของอาจารย์ Dumbledore ก็มาช่วยไว้ได้ “เธอยังไม่ตายนี่ Harry” แม่ Myrtle เมื่อเห็น Harry, Ron, Ginny และอาจารย์ Lockhart เกาะหลัง Fawkes นก Phoenix ที่มาช่วยพาออกมาจากห้องแห่งความลับ “ไม่ต้องทำเป็นผิดหวังหรอก” Harry ตอบ “ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ฉันเพียงแต่คิดว่าหากเธอตาย ฉันก็จะแบ่งที่ให้เธอมาอยู่ในโถส้วมกับฉันด้วย” Myrtle กระเซ้าเย้าแหย่ Harry อย่างสนุก อันที่จริงเรื่องราวของ Harry Potter กับเพื่อนๆชาวเวทย์มนต์นั้นเป็นนิยายที่เขียนเพื่อเด็กๆ แม้ว่าในที่สุดทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะอ่านกันอย่างเอาจริงเอาจังก็ตาม การที่ J.K. Rowling นำเรื่องความโหดร้ายและตายมาเกี่ยวข้องเป็นแนวเรื่องหลักนั้นก็อาจทำให้เด็กๆต้องอยู่ในพะวังแห่งความหวาดกลัวก็เป็นได้ ทว่าความตายในเรื่อง Harry Potter ทุกตอนถูกสอดแทรกด้วยอารมณ์ขันอย่างสม่ำเสมอ เพราะเมื่อตายแล้วก็ยังมีชีวิตอยู่ในรูปแบบอื่นกันทั้งนั้น หากจะอ่านเอาเรื่อง Harry Potter and the Chamber of Secrets ก็สนุกสนานราบรื่นต่อเนื่องจากเล่มแรก ความมั่นใจว่าจะสามารถเขียนตอนต่อๆไปได้อย่างไม่ต้องห่วงว่าจะทำให้ผู้อ่านทั่วโลกผิดหวัง ก็เกิดขึ้นกับ J.K. Rowling เธอไม่ต้องห่วงปัญหาการเงิน ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีสำนักพิมพ์ใดจะพิมพ์ให้ ชีวิตของ J.K. Rowling กับลูกสาวเข้าสู่ความสุขสมบูรณ์ทั้งชื่อเสียงก้องโลกแห่งหนังสืออย่างที่เรียกได้ว่าเป็นปรากฏการณ์มหัศจรรย์ มิใช่เพียงหนังสืออ่านสนุกๆธรรมดาๆเท่านั้น แต่นักวิชาการวรรณกรรมยังให้ความสนต่อหนังสือชุด Harry Potter ในเชิงวรรณศิลป์ คนที่เคร่งวิชาการบางกลุ่มถึงกับวิจารณ์ว่าคุณภาพทางภาษาและวรรณกรรมของเรื่อง Harry Potter นั้นยังหาได้ยากอยู่ แต่กาลเวลาจะเป็นเครื่องตัดสินว่า J.K. Rowling กับ Harry Potter จะอยู่ ณ ตำแหน่งใดในเชิงวิชาการงานวรรณกรรม แต่ดูเฉพาะผลดีที่เกิดขึ้นต่อเด็กและเยาวชนจากการที่ช่วยกระตุ้น สร้างแรงจูงใจ และเร่งเร้าให้ขวนขวายหาหนังสือชุด Harry Potter มาอ่านกันอย่างทุ่มเทและไม่ยอมน้อยหน้าเพื่อนกัน เด็กๆตั้งกลุ่มตั้งชมรมศึกษาและวิเคราะห์วิจารณ์เรื่อง Harry Potter กันอย่างเอาจริงเอาจัง ก็คือข้อพิสูจน์ที่สุดยอดแล้วว่า J.K. Rowling มอบรางวัลความเป็นผู้รักการอ่านหนังสือให้กับเยาวชนไทยและเยาวชนทั้งโลกอย่างที่ไม่มีนักเขียนคนในหรือหนังสือเล่มใดเรื่องใดในโลกทำได้เทียบเท่ามาก่อนเลยในประวัติศาสตร์หนังสือภาษาอังกฤษ รางวัลใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่ารางวัล จากผู้เขียน สู่ผู้อ่าน “ฉันคือ Lord Voldemort” Tom Riddle บอกกับ Harry “แกนึกหรือว่าคนอย่างฉันจะยอมใช้ชื่อของพ่อ Muggle ผู้แสนโสโครกของฉัน” “ฉันจึงตั้งชื่อใหม่ให้กับตัวฉันเอง ชื่อนี้แหละที่วันหนึ่งข้างหน้าพ่อมดทุกหนแห่งจะหวาดผวาจนไม่กล้าแม้จะเอ่ยเรียกขาน” “ไม่มีทาง” Harry ตอบสวนทันควัน “แกไม่มีทางเป็นพ่อมดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกหรอก” Harry เย้ยย้ำอย่างไม่เกรงกลัว รอยยิ้มบนใบหน้าของ Tom Riddle ถูกแทนด้วยสีหน้าที่น่าเกลียดอย่างฉับพลัน Harry เดินทางกลับสู่โลกของ Muggle ในช่วงปิดเทอม รอวันเวลาที่โรงเรียนจะเปิดอีกครั้งต่อไป .... ในปีที่สามของโรงเรียน Hogwarts. HARRY POTTER III
Harry Potter And The Prisoner of Azkaban Harry Potter กับ นักโทษแห่ง Azkaban ในตอนที่ 3 Harry Potter and the Prisoner of Azkaban นี้เขย่าอารมณ์สร้างความหวาดผวาในหมู่ผู้ที่ห่วงใยชตากรรมของ Harry เป็นอย่างยิ่ง ตลอดความยาว 22 บท 435 หน้า J.K. Rowling ใช้เนื้อที่ 19 บท 377 หน้า ปูพื้นและสร้างเรื่องราวอันสนุกสนานเกี่ยวกับชีวิตรันทดที่บ้านลุงกับป้า ต่อไปถึงการเดินทางโดยรถไฟท่ามกลางบรรยากาศและสภาวะอากาศที่ชวนให้พรั่นพรึงจนไม่อยากกลับไปโรงเรียน ต่อไปจนถึงเรื่องลึกลับน่าหวาดกลัวจากข่าวในหนังสือพิมพ์ The Daily Prophet เรื่องการแหกคุกของนักโทษชื่อ Sirius Black ผู้ถูกเล่าลือกันว่าเป็นฆาตกรโหดร้าย ทรยศต่อพ่อและแม่ของ Harry และจะกลับออกมาตามล่าเอาชีวิต Harry อีก แต่ว่าท่ามกลางบรรยากาศของความหวาดกลัวกันทั้งโรงเรียนนี้ ชีวิตสนุกสนานในชั้นเรียน ทั้งการเรียน การอ่าน การค้นคว้าในห้องสมุด การศึกษาชีวิตสัตว์พิศดาร การทดลองทางวิชาการเวทย์มนต์ ยังคงเป็นมนต์ขลังที่จับใจผู้อ่านให้ได้สาระ และความบันเทิงในแบบฉบับดั้งเดิมเช่น 2 ตอน ก่อนหน้านี้ หากมีข้อสงสัยในการเรียน ให้เข้าห้องสมุดค้นคว้าต่อ ที่โรงเรียน Hogwarts ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มี Internet ไม่มี Computer ไม่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่ใดๆมาทำลายความคิดและจินตนาการสร้างสรรค์ของเด็กๆ ทั้งๆที่คนร่วมสมัยที่เป็นพวก Muggle หรือคนธรรมดาที่มิได้มีสายเลือดพ่อมดแม่มดก็ล้วนแล้วตกเป็นทาสของเทคโนโลยีจนอาจไม่แยแสหนังสือ และการเรียนรู้จากการค้นคว้า การเล่าเรียนเขียนอ่าน และการทดลองอย่างแท้จริง ชีวิตขัดแย้งแบ่งกลุ่มพวกในหมู่เด็ก คอยเชือดเชือนข่มเหงชิงดีชิงเด่นกันระหว่างกลุ่มเด็กดี กับเด็กเกเรลูกคนใหญ่คนโต ยังคงเป็นเรื่องที่เป็นจริงในโลกปัจจุบัน เช่นเดียวกับที่โรงเรียน Hogwarts กิจกรรมในโรงเรียน โดยเฉพาะกีฬา Quidditch และความฟุ้งเฟ้อเห่อยี่ห้อในหมู่วัยรุ่น เช่น ไม้กวาดรุ่นใหม่ รุ่น Firebolt ที่ใครก็ไม่รู้ส่งมาให้เป็นของขวัญวันเกิดของ Harry จนเพื่อนๆมองตาเป็นมัน ชีวิตสนุกสนานและตื่นเต้นของวัยรุ่นมีให้อ่านครบครัน ด้วยเหตุนี้เองนักอ่านทั่วโลกจึงยังอ่าน Harry Potter and the Prisoner of Azkaban อย่างวางไม่ลง ต่อเนื่องกันมาจากสองตอนแรก ผู้อ่านเอาใจช่วย Harry ให้พ้นภัยจาก Sirius Black นักโทษแหกคุก Azkaban ยาว 19 บท มาคลี่คลายหายใจคล่องเอาในบทที่ 20, 21 และ บทที่ 22 สุดท้าย นักโทษแห่ง Azkaban หลอกให้เราใจสั่นจนเกือบนาทีสุดท้าย J.K. Rowling เป็นนักเขียนที่ตรึงอารมณ์ผู้อ่านได้อย่างต่อเนื่องจนไม่มีใครอยากให้เธอหยุดเขียน ที่เธอบอกว่าจะจบกันในเล่มที่ 7 เห็นทีจะลำบากมาก ... จะเป็นเรื่องลำบากใจมากๆ สำหรับผู้อ่าน เพียงแค่ตอนที่ 3 นี้ ก็คอยตอนที่ 4 และ ตอนที่ 5 ไม่ไหวแล้ว เมื่อมาถึงตอนท้ายเล่ม (หน้า 428) “นอกจาก Harry, Ron, Hermione และ ศาสตราจารย์ Dumbledore แล้ว ไม่มีใครที่ Hogwarts รู้ความจริงว่าเกิดอะไรในคืนที่ Sirius, Buckbeak และ Pettigrew หายตัวไป เมื่อใกล้ถึงปลายเทอม Harry ก็ได้ยินสารพัดทฤษฎีที่เพื่อนๆคิดเห็นกันไปต่างๆนาๆ แต่ไม่มีทฤษฎีของใครสักคนที่ใกล้เคียงความจริง” (หน้า 429) “ผลการสอบออกมาในวันสุดท้ายของเทอม Harry, Ron และ Hermione สอบผ่านทุกวิชา” ไม่ว่าจะมีอุปสรรคในโรงเรียนอย่างไร เด็กที่เอาใจใส่ในการเรียนเท่าที่สถานการณ์จะอำนวย สอบผ่านได้ก็ถือว่าน่าพอใจ ส่วนเด็กขยันเรียนอย่าง Hermione นั้นน่าทึ่งว่าเธอสามารถเรียนสองวิชาได้ในเวลาเดียวกัน ... เวทย์มนต์อันใดทำให้เธอขยันและทำได้ถึงเพียงนี้! (หน้า 434) “Harry เดินออกจากชานชลา หมายเลข 9 3/4 สถานี King Cross ในมือกำจดหมายจากพ่อบุญธรรมไว้แน่น มี Hedwig กระพือปีกบินนำหน้า” (หน้า 435) “หลังจากได้ยินคำพูดของ Harry สีหน้าของลุง Vernon บ่งบอกอาการหวาดกลัวต่อ Harry อย่างไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้มาก่อน” ปิดเทอมฤดูร้อนนี้ น่าจะดีกว่าครั้งที่แล้ว เป็นครั้งแรกในรอบสามปีที่ Harry จะมีโอกาสสนุกสนานในตอนปิดเทอมใหญ่อย่างแท้จริงเหมือนกับเด็กๆทั่วไป. HARRY POTTER IV
Harry Potter and the Goblet of Fire Harry Potter กับ ถ้วยอัคนี เมื่อวันที่ 5 เมษายน ปี 2005 ที่แล้ว หลังจากหนังสือชุด Harry Potter ออกสู่สายตาผู้อ่านทั่วโลกแล้ว สี่เล่ม สำนักงานข่าว BBC ของอังกฤษสอบถามชาวอังกฤษว่ารักหนังสือเรื่องใดมากที่สุดในชีวิตการอ่าน ประชาชน 140,000 คนตอบการสอบถาม รวบรวมผลได้รายชื่อหนังสือยอดนิยมแห่งชีวิตการอ่าน 100 เล่ม หนังสือชุด Harry Potter ทั้งหมดทุกเล่มติดอันดับอยู่ในบัญชีหนังสือยอดนิยม 100 เล่ม เล่มที่ 4 Harry Potter and the Goblet of fire ติดอันดับที่ 5 เล่มที่ 1 Harry Potter and the Philosopher’s Stone ติดอันดับที่ 22 เล่มที่ 2 Harry Potter and the Chamber of Secrets ติดอันดับที่ 23 ส่วนเล่มที่ 3 Harry Potter and the Prisoner of Azkaban ติดอันดับที่ 24 ในเมื่อมิใช่การสอบถามเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนเท่านั้น แต่เป็นการสอบถามคนทั่วไปทุกเพศทุกวัย และเป็นการสอบถามครั้งที่มีผู้ร่วมให้ความเห็นมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ Joanne Katherine Rowling กับผลงานเขียน Harry Potter ของเธอจึงเป็นขวัญใจชาวอังกฤษตลอดกาล ในช่วงเวลาที่ภาพยนตร์กำลังเข้าฉายพอดี หากอ่านหนังสือไปแล้วเมื่อ 5 ปีที่แล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาหยิบหนังสือ ขึ้นมาอ่านทบทวนให้หวาดกลัวกันอีกครั้งหนึ่ง Harry Potter เล่มที่ 4 Harry Potter and the Goblet of Fire หรือ Harry Potter กับ ถ้วยอัคนี เอาถ้วยในเรื่องเล่าลึกลับแต่โบราณ เป็นหัวใจของเนื่อง จะเรียกว่า Chalice, หรือ Grail, หรือ Goblet ก็ได้ตามสะดวก แปลว่าถ้วยเหมือนกันทั้งสิ้น คำว่าถ้วยทั้งสามแบบนี้ในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมตะวันตกของชาวคริสต์จะใช้โดยมีความหมายยิ่งใหญ่ ศักดิ์สิทธิ์ และลึกลับมหัศจรรย์ เพราะ Chalice เท่ากับ Holy Grail มีความหมายถึงถ้วยดื่มไวน์ในอาหารมื้อค่ำมื้อสุดท้าย หรือ The Last Supper ของพระเยซู ที่หายไปก่อนถูกตรึงไม้กางเขน J.K. Rowling นำเอาเรื่องของถ้วยศักดิ์สิทธิ์มาใช้ใน Harry Potter ตอนที่ 4 แม้จะมิได้หมายถึง The Holy Grail แต่ใช้คำว่า Goblet ซึ่งหมายถึงถ้วยบรรจุเครื่องดื่มบนโต๊ะอาหารในสมัยโบราณเช่นกัน Harry Potter and the Goblet of Fire เป็นเรื่องของถ้วยที่ส่งเปลวเพลิงร้อนแรงของโรงเรียน Hogwarts ที่ใช้ในการรับและคัดเลือกรายชื่อนักเรียนจากสามโรงเรียนแห่งเวทย์มนต์ มาแข่งขันการผจญภัยสามประเภทต่อสู้กับพลังอำนาจแห่งการทำลายล้างขวางทางแชมเปี้ยนจากสามโรงเรียนนั้น Victor Krum จากโรงเรียน Durmstrang ของ Bulgaria Fleur Delacour จากโรงเรียน Beauxbatons ของฝรั่งเศส Cedric Diggory จากโรงเรียน Hogwarts ในอังกฤษ แทนที่ถ้วยแห่งพลังเพลิงจะเลือกตัวแทนแชมเปี้ยนโรงเรียนละหนึ่งคนรวมสามโรงเรียนสามคน อำนาจลึกลับทำให้ถ้วยอัคนีนั้นส่งชื่อ Harry Potter ให้เข้าร่วมประลองเวทย์ไตรภาคีเป็นคนที่สี่ด้วยโดยไม่มีทางปฏิเสธ ทั้งๆที่อายุยังไม่ถึง 17 ตามที่กำหนด จากนั้น Harry Potter and the Goblet of Fire ของ J.K. Rowling ก็พาผู้อ่านระทึกใจไปกับชะตากรรมของ Harry Potter ในหนังสือที่คนทั้งโลกอ่านกันอย่างวางไม่ลง Harry Potter and the Goblet of Fire ต่างจากสามเล่มก่อนหน้านี้ที่ความเข้มข้นรุนแรงเริ่มมากขึ้น การต่อสู้กับพลังร้ายของเวทย์มนต์ และการตามล่าโดย Lord Voldemort ผู้ซึ่งไม่มีใครหาญกล้าเอ่ยชื่อ ยกเว้นแต่ Harry Potter คนเดียว หนังสือชุด Harry Potter โดย J.K. Rowling สร้างนิสัยการอ่านแบบปฏิวัติการอ่านหนังสือของเด็กและเยาวชนทั่วโลกอย่างไม่เคยมีนักเขียนคนใดทำได้มาก่อน ความดีงามสุดยอดของหนังสือ Harry Potter อยู่ที่เรื่องการทำให้เด็กทั้งโลกอ่านหนังสือกันมากขึ้นนี้เอง แม้ว่าจะมีชาวโลกอ่านกันมากก็จริง แต่ว่า Harry Potter ในฐานะงานวรรณกรรมให้อะไรกับผู้อ่านบ้างหรือ? เฉพาะ Harry Potter and the Goblet of Fire นั้น การดำเนินเรื่องสนุกตื่นเต้นระทึกใจตลอดเวลา ที่สำคัญชีวิตบริสุทธิ์ของเด็กๆ หากตัดเรื่องเวทย์มนต์มหัศจรรย์ออกไป ก็จะเห็นสังคมปฏิรูปการศึกษาของวัยรุ่นอังกฤษอย่างชัดเจน เด็กเก่งต้องอ่านหนังสือ ต้องรู้จักคิดโต้แย้งอาจารย์ด้วยเหตุผล Hermione เป็นนักอ่าน นักคิด คนสำคัญเป็นผู้นำทางสู่การปฏิรูปการศึกษาอย่างแท้จริง ครูที่มีเมตตาเช่น Dumbledore เป็นแบบอย่างของครูยุคเก่าที่สังคมอังกฤษ และโรงเรียนไทยกำลังหาได้ยากยิ่ง สังคมผสมเผ่าพันธุ์เชื้อชาติอันเป็นปัญหาในอังกฤษ ฝรั่งเศส และโลกตะวันตกปัจจุบัน ถูก J.K. Rowling ใช้ความพยายามเชื่อมโยงสร้างสังคมเด็กที่ไร้อคติต่อการกีดกันผิวและเผ่าพันธุ์ Harry Potter แอบชอบ Cho Chang เด็กสาวเชื้อสายเอเชีย แต่ก็ผิดหวังที่เธอรับนักเพื่อนชายคนอื่นไปงานเต้นรำของโรงเรียนแล้ว Harry ก็เลยไปนัด Parvati เพื่อนเชื้อสายอินเดีย ไปแทน เด็กผิวดำ เด็กอินเดีย เด็กต่างสีผิว ต่างเชื้อชาติอยู่โรงเรียนเดียวกันอย่างกลมกลืน เป็นสิ่งที่ J.K. Rowling พยายามบอกสังคมว่าเยาวชนรุ่นใหม่เท่านั้นที่เป็นความหวังในการสร้างสังคมที่ร่มเย็น ส่วนเพื่อนที่เกเรนั้น สีผิวเดียวกันเช่น Draco Malfoy ก็เป็นเด็กเกเรได้ ความดีเลวในตัวมนุษย์นั้นไม่เกี่ยวกับสีผิวหรือเผ่าพันธุ์ Harry Potter ถูกกำหนดให้เป็นตัวแทนของความดี และความรักในผู้อื่น ทำให้นักอ่านชาวคริสต์ผู้เคร่งครัดและเคยต่อต้านหนังสือ Harry Potter อย่างหนักถึงขนาดห้ามมิให้มีหนังสือ Harry Potter ในห้องสมุด ห้ามมิให้ลูกหลานอ่านเพราะการใช้เวทย์มนต์และการเชื่อในพลังภูติผีปีศาจ เป็นเรื่องขัดคำสอนในศาสนาคริสต์ ไปด้วยกันไม่ได้ มาบัดนี้นักวิจารณ์ชาวคริสต์เริ่มตีความ Harry Potter ใหม่ ยอมรับได้บ้างแล้วว่า อ่าน Harry Potter แล้วให้ดูว่า ความดี ชนะความชั่วร้าย เด็กดี เด็กขยันเรียนหนังสือ เด็กที่มีจิตใจเมตตา ย่อมชนะอุปสรรคทั้งปวงในชีวิตได้ ซึ่งก็ควรจะเป็นบทสรุปใน Harry Potter เล่มสุดท้ายแน่นอน อารมณ์ขันประชดความฉาบฉวยของสื่อมวลชนอังกฤษ หรือสื่อมวลชนทั้งโลกปรากฏอย่างเพลิดเพลินในพฤติกรรมของ Rita Skeeter นักข่าวสาวจากหนังสือ The Daily Prophet ใน Harry Potter and the Goblet of Fire J.K. Rowling เขียนประชดหนังสือพิมพ์สมัยใหม่ได้อย่างอารมณ์ดี การบิดเบือนข่าวโดยฝีมือของ Rita Skeeterทำให้ Hermione โมโหสุดขีด (451) “You horrible woman, you don’t care, do you anything for a story, and anyone will do, won’t they?” “คุณนี่เหลือร้าย คุณไม่แคร์อะไรกับใครเลย ขอให้ได้ข่าวเขียนเป็นพอ เรื่องใครก็ได้ ยังไงก็ได้ ใช่ไหม?” “My parents don’t read the Daily Prophet” “พ่อแม่ฉันยังไม่อ่านหนังสือพิมพ์ The Daily Prophet เลย” (450) “Our readers have a right to the truth…I am merely doing my (job)…” “ผู้อ่านของเราต้องการความจริง...ฉันเพียงทำงานตามหน้าที่เท่านั้น” Rita Skeeter นักข่าวคนดังกล่าวตอบ เสรีภาพที่เกินเลยของสื่อมวลชนมีมานาน ถึงพันปีแล้วทั้งในโลกของเวทย์มนต์ และโลกของพวก Muggles คนธรรมดาสามัญ (732) รถไฟจากสถานี Hogsmeade พา Harry Potter กลับมา ชานชลาหมายเลข 9 ¾ สถานี King’s Cross ที่ London อีกครั้งหนึ่ง “…time will not slow down when something unpleasant lies ahead.” “เวลาจะไม่ชะลอช้าลงเลยหากมีเรื่องไม่ดีคอยอยู่ข้างหน้า” เรื่องร้ายๆคอย Harry Potter อยู่แล้วในปีหน้าที่โรงเรียน Hogwarts. ⤴︎ ปก Bloomsbury / UK
|
HARRY POTTER V
Harry Potter and the Order of the Phoenix Harry Potter กับ ภาคีนกฟีนิกซ์ Harry Potter and the Order of the Phoenix เป็นหนังสือเล่มที่ 5 ของชุด Harry Potter เขียนโดย J.K. Rowling นักเขียนชาวอังกฤษผู้ประสพความสำเร็จในการทำให้เด็กทั่วโลกหันมาสนใจอ่านหนังสือมากกว่าดูโทรทัศน์หรือเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ หลังจากอ่านมาแล้วสี่เล่ม ตั้งแต่เล่มหนึ่ง Harry Potter and the Philosopher's Stone ในปี 2540/1997 จนถึงเล่มสี่ Harry Potter and the Goblet of Fire ในปี 2543/2000 ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทั่วโลกต้องรอคอย Harry Potter เล่มที่ห้านานถึงสามปี ก็สมกับที่รอคอย Harry Potter and the Order of the Phoenix ตื่นเต้น เร้นลับ เศร้าสลด สนุกสนาน ชวนติดตามตลอด 870 หน้า Harry อายุ 15 ปี ขึ้นเรียนชั้นปีที่ห้าของระบบเวทย์มนต์ศึกษาที่โรงเรียน Hogwarts คราวนี้ไม่เพียงแต่เพื่อนสนิททั้งสามคือ Harry, Ron และ Hermione เท่านั้นที่จะเป็นศูนย์กลางของเรื่อง ตัวละคอนใหม่ๆหลายตัวเข้ามามีบทบาท โดยเฉพาะศาสตราจารย์ Umbridge ผู้ซึ่งเข้ามาทำลายความสงบสุขของโรงเรียน Hogwarts ไล่ตรวจสอบถอดถอนอาจารย์เก่าเป็นว่าเล่นจนแม้อาจารย์ใหญ่ Dumbledore ก็ต้องหนีออกจากโรงเรียนไปในที่สุด Harry ต้องเผชิญทุกข์และแรงกดดันมากกว่าครั้งใดๆ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตในโรงเรียนที่เพื่อนๆนึกว่า Harry เป็นคนประหลาด ไม่เต็ม เชื่อถือไม่ได้ หากไม่ใช่เพื่อนสนิทก็ไม่มีใครเข้าใจ บ่อยครั้งที่ Harry หมดอาลัยในชีวิตที่ถูกตามล่าโดย วิญญาณมืด และเป็นที่หวาดระแวงจากเพื่อนฝูงจนไม่อยากอยู่เป็นเพื่อนกับใคร ยังดีที่ Hermione กับ Ron เข้าใจและเห็นใจเสมอ เข้าสู่วัยรุ่นเต็มตัวแล้วก็น่าทึ่งว่า Hermione ประพฤติตัวเป็นผู้ใหญ่เป็นที่พึ่งของเพื่อนได้อย่างน่ายกย่อง Harry เสียอีกที่แสดงพฤติกรรมที่ไม่น่าชื่นชมหลายอย่าง ในวัยรุ่นเช่นนี้ ความใกล้ชิดเห็นอกเห็นใจกันทำให้นึกไปว่า Hermione กับ Harry น่าจะเป็นแฟนกันเสียที แต่ก็ไม่เช่นนั้น Harry เริ่มจะมีความรัก เห็นพื่อนหญิงคนนั้นทีไรท้องใส้ปั่นป่วนจนพูดแทบไม่ออกทุกที ทักทายได้อย่างดีก็เพียงบอกว่า “วันนี้อากาศดี” แล้วจิตใจก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวต่อไป เพื่อนสาวที่ Harry เริ่มหลงรักแบบวัยรุ่นไม่ใช่ Hermione แน่นอนเพราะแฟน Harry คนนี้ผมดำเป็นเงางาม เล่น Quidditch ตำแหน่ง Seeker ในทีม Ravenclaw อ่านตอนที่สองคนเจอกันทีไร น่ารักจริงๆ “The Dark Lord” ซึ่งไม่มีใครกล้าเอ่ยชื่อ เว้นแต่ Harry คือ Lord Voldemort สำแดงเดชตั้งแต่ต้นเรื่อง และยังผลในตอนท้ายถึงความตายของคนที่ Harry รักและเคารพมากที่สุด รองจากพ่อและแม่ กลายเป็นความเศร้าที่ปิดท้ายเล่มจนอยากรู้ว่าในเล่มที่หก Harry จะขจัดความรู้สึกเศร้านี้ได้อย่างไร สมาชิกสมาคมลับชื่อ “The Order of the Phoenix” ซึ่งรวมตัวกันต่อต้าน “HE-WHO-SHALL-NOT-BE-NAMED” หรือ “YOU-KNOW-WHO” จะช่วยปกป้อง Harry ต่อไปได้อย่างไร Hagrid ในเล่มห้านี้ยังเป็นที่รักของทุกคน แม้จะหายตัวไปนานหลายบทจนเด็กๆเป็นห่วง เมื่อกลับมาปรากฎตัว ก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจ เพราะมาพร้อมน้องชาย “ตัวเล็ก” เจ้าอารมณ์ที่แม่ยักษ์ทอดทิ้งมาให้เป็นเพื่อนใหม่ของ Hermione, Ron และ Harry ทำให้ต้องติดตามต่อไปอีกต่างหากว่าทั้งหมดจะเข้ากันได้อย่างไร มีใครบ้างที่จะทนคอย Harry Potter ปีที่หกได้ แม้ศาสตราจารย์ Dumbledore จะได้เล่าอดีตความเป็นมาของ Harry จนกระจ่างแล้ว รวมถึงความสำคัญของครอบครัวลุง Vernon กับป้า Petunia ให้ Harry รับรู้ ในบทที่ 37 แล้วก็ตาม ใครบ้างจะทนคอย Harry Potter ปี 6 ได้นานเท่าไร ยิ่งรู้ในตอนท้ายว่า Harry อกหักตอนปิดเทอมอีกต่างหาก J.K. Rowlingจะให้เด็กๆและพ่อแม่คอยไปอีกกี่ฤดูร้อน ชีวิต Harry ทุกข์ระทมจริงๆ ที่จริงนอกเหนือจากความสนุกตื่นเต้นและการเดินเรื่องที่ระทึกใจตลอดเวลาอันเป็นอัจฉริยะของ J.K. Rowling แล้ว เรื่องที่ได้เรียนรู้เป็นประโยชน์ก็คือปัญหาการศึกษาในโรงเรียน Hogwarts ที่กระทรวงเวทย์มนต์พยายามดึงการศึกษาถอยหลังเข้าคลองด้วยกฎหมายใหม่หลายฉบับ บังคับให้เด็กเรียนแต่ทฤษฎี ห้ามไม่ให้ปฏิบัติ บังคับให้เด็กอ่านเท่าที่อาจารย์จะบอกให้อ่าน บังคับให้เด็กฟังอาจารย์ ห้ามเถียง ห้ามคิด แรงกดดันปิดกั้นจากศาสตราจารย์ Umbridge กลายเป็นแรงผลักดันให้เด็กดิ้นรนหาความรู้ด้วยตัวเอง น่าทึ่งที่เด็กๆกล้าหาญที่จะแสวงหาความรู้ด้วยตัวเองหากต้องไปตกอยู่ในโรงเรียนที่ไม่รู้จักคำว่า “ปฏิรูป” เช่นโรงเรียน Hogwarts ยุคถูกกระทรวงเวทย์มนต์คุมเข้มผ่านอาจารย์ใหญ่คนใหม่ในนาม “Umbridge” ใครที่อ้างว่าเป็นนักปฏิรูปการศึกษาของไทยจะไม่ใช่นักปฏิรูปการศึกษาตัวจริงถ้าไม่อ่าน “Harry Potter and the Order of the Phoenix” หนังสือชุด Harry Potter ทั้งหมดที่พิมพ์แล้วทั้ง 5 เล่ม มิใช่จะได้เพียงความสนุกสนานบันเทิงอย่างเดียว แต่เป็นงานเขียนที่สอนนักปฏิรูปการศึกษาพอๆกับการให้สติเด็กๆให้รู้จักค้นคว้าหาความรู้จากการอ่านหนังสือที่นอกเหนือไปจากตำราในชั้นเรียน ทุกครั้งที่สงสัย Hermione เป็นตัวอย่างของ “เด็กเก่ง เด็กดี และ มีความสุข” ชีวิต “กบฎ” ของเด็กๆในโรงเรียน Hogwarts แม้กระนั้น J.K. Rowling ก็เข้าใจและยอมรับถึงปัญหาวิกฤติของวัยรุ่น โดยถือเป็นธรรมชาติของวัย แต่ทางออกด้วยกีฬา กิจกรรมนอกห้องเรียน และการคบเพื่อนที่ดี ก็นำเด็กไปสู่ทางออกที่สวยงามเสมอใน Hogwarts เหลืออีกสองเล่ม กว่าจะจบชุด Harry Potter อย่างสมบูรณ์ ถึงตอนนี้ที่พิมพ์ออกมาขายแล้ว 5 ตอน หนังสือชุด Harry Potter ขายไปได้แล้วกว่า 210 ล้านเล่ม ทั่วโลกโดยแปลเป็นภาษาต่างๆถึง 55 ภาษา ขณะนี้เด็กไทยจำนวนมากทนคอยฉบับแปลเป็นภาษาไทยไม่ไหว รบเร้าให้พ่อแม่ซื้อฉบับภาษาอังฤษมาพยายามแกะอ่านกันระหว่างคอยฉบับภาษาไทย ก็ต้องขอบคุณการแปลภาคภาษาไทยที่พิถีพิถันใช้เวลานาน เพราะได้ทำให้เด็กไทยจำนวนหนึ่งมุ่งมั่นพัฒนาภาษาอังกฤษของตนไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ในอนาคตเด็กไทยจะเก่งภาษอังกฤษกันมากขึ้นก็เพราะ Harry Potter นี่เอง. HARRY POTTER VI
Harry Potter and the Half-Blood Prince Harry Potter กับ เจ้าชายเลือกผสม หนังสือที่โด่งดังที่สุดในโลกปัจจุบัน ออกจำหน่ายแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม 2546 คือ Harry Potter and the Half-Blood Prince โดย J.K. Rowling เป็นตอนที่ 6 จากทั้งหมด 7 ตอน เป็นหนังสือที่ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ทั่วโลกรอคอยมานาน 2 ปี และแล้ว Harry Potter เล่มที่ 6 ต้นฉบับภาษาอังกฤษก็ออกสู่สายตาของผู้อ่าน พร้อมนาทีเดียวกันทั่วโลก วันที่ 16 กรกฎาคม 2548 เวลา 1 นาทีหลังเที่ยงคืน ตามเวลาที่สถานีรถไฟ King’s Cross ชานชลาที่ 9 ¾ ตรงกับเวลา 06:01 นาที่ ตามเวลาที่นานมีบุคส์ ประเทศไทย คนทั้งโลก โดยเฉพาะเด็ก หันมาอ่านหนังสือกันเป็นชีวิตจิตใจ เพราะ Harry Potter ของ J.K. Rowling นี่เอง หนังสือชื่อ Harry Potter เป็นหนังสือชุดเรื่องยาว กำหนดจบบริบูรณ์ใน 7 เล่ม Harry Potter เขียนเป็นภาษาอังกฤษ โดยนักเขียนชาวอังกฤษ แปลเป็นภาษาต่างๆมากมาย ภาษาไทย จัดแปลและพิมพ์จำหน่ายโดยนานมีบุคส์ นอกนั้นก็มีการแปลเป็นภาษาจีน, ภาษาญี่ปุ่น, ภาษาฝรั่งเศส, ภาษาเยอรมัน, ภาษารัสเซีย, และภาษาอื่นๆอีกมามายกว่า 100 ภาษา แม้การแปลอาจจะต้องปรับแปลงตามข้อจำกัดของภาษา แต่ก็ต้องคงเรื่องและเนื้อความสำนวนภาษาเดิมไว้ให้สมบูรณ์ที่สุด ในฉบับภาษาอังกฤษ จะมีสองบริษัททผู้จัดพิมพ์ออกจำหน่ายทั่วโลก คือ สำนักพิมพ์ Bloomsbury ของอังกฤษ และ สำนักพิมพ์ Scholastic ของสหรัฐอเมริกา โดยหลักพื้นฐานแล้วความแตกต่างของสองเล่ม สองสำนักพิมพ์อยู่ที่การออกแบบปก ภาพประกอบ และการเรียงพิมพ์ ในเล่ม ฉบับของ Bloomsbery ของอังกฤษ ภาพปกหน้าและหลังจะเรียบ สีสดใส ผู้วาดภาพปกเปลี่ยนไปทุกเล่ม ยกเว้น เล่ม 5 และ เล่ม 6 ที่ Jason Cockcroft ได้ออกแบบสองเล่มติดต่อกัน ภายในไม่มีสารบาญลำดับบท และชื่อบทเลย ผู้อ่านต้องอ่านไปเรื่อยๆจึงจะรู้ว่าบทไหนชื่ออะไร ต่อเนื่องกันอย่างไร และสำนักพิมพ์อังกฤษต้องการให้เด็กใช้จินตนาการเอาเองให้มาก เพื่อสร้างโลกของ Harry Potter ในใจของเด็กผู้อ่านแต่ละคนให้แตกต่างกันโดยอิสระ ในเล่มจะไม่มีภาพประกอบใดๆ ที่ไหนเลย เด็กจะต้องวาดฝันทุกฉากและทุกตัวแสดงเอาเองหมด สำหรับเล่มภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Scholastic ภาพบนปกจะออกแนวตื่นเต้นลึกลับน่ากลัว ตัวอักษรมีลวดลาย ไม่เรียบง่ายแบบอังกฤษ ในเล่มมีสารบาญ บอกลำดับชื่อบทและเลขหน้าต่างๆ ชัดเจน ในเล่ม ตรงหัวบท ทุกบทจะมีภาพประกอบ โดย Mary Grand Pre ในภาวะปรกติ ความแตกต่างก็หยุดเพียงเรื่องของรูปแบบและภาพประกอบเท่านั้น แต่ก็มีเหตุที่ฉบับอเมริกัน บางตอนของเนื้อหาจำต้องปรับให้เข้ากับการรับรู้ของคนอเมริกัน J.K. Rowling จึงจำยอมให้แก้ไขดัดแปลงได้เล็กน้อยด้วยเหตุจำเป็นทางวัฒนธรรมก็มีตัวอย่างในฉบับภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน คือชื่อของเล่มที่ 1ฉบับอังกฤษต้นฉับแท้ดั้งเดิม J.K. Rowling ตั้งชื่อว่า “Harry Potter and the Philosopher’s Stone” “Harry Potter กับ ก้อนหินของนักปราชญ์" แต่ฉบับอเมริกันขอเปลี่ยนชื่อเป็น “Harry Potter and the Sorcerer’s Stone" กลายเป็น “Harry Potter กับ ก้อนหินของหมอผี” ไป ที่สำนักพิมพ์ Scholastic ในสหรัฐขอเปลี่ยนชื่อเช่นว่านี้ David Baggett และ Shawn E. Klein ให้ เหตุผลไว้ในหนังสือ “Harry Potter and Philosophy” Harry Potter กับ ปรัชญา ว่า (2) “คนอเมริกันไม่รับรู้เรื่องปรัชญานัก มองเรื่องปรัชญาเป็นเรื่องน่าเบื่อ เพ้อฝันเหมือนอยู่บนหอคอยงาช้าง” เปลี่ยนจากหินของนักปรัชญา มาเป็นหินของพ่อมดหมอผี ดูจะน่ากลัวมากกว่า ส่วนฉบับภาษาไทยโดยนานมีบุคส์ แปลโดย สุมาลี ผู้ไม่มีนามสกุล ก็เรียกชื่อว่า “ศิลาอาถรรพ์” สร้างความมหัศจรรย์แบบภูติผีปีศาจไทย โดยไม่ใส่ใจในคำว่าปรัชญาเช่นเดียวกับสำนักพิมพ์อเมริกัน มีบางตอนที่คนอเมริกันไม่มีพื้นความรู้ ไม่เข้าใจ J.K. Rowling ก็ยอมให้ดัดแปลงอธิบายเพิ่มเติมได้ เล็กน้อย ในฉบับอเมริกันโดยเฉพาะเท่านั้น ตัวอย่างจากเล่มที่ หนึ่ง ฉบับ Bloomsbury ของอังกฤษ “Harry Potter and the Philosopher’s Stone” หน้า 138 เขียนเรื่องการแข่งขันกีฬาพ่อมดแม่มดที่เรียกว่า Quidditch ว่า: “Down in the stands, Dean Thomas was yelling, ‘Send him off, ref! Red card!’ ‘This isn’t football, Dean,’ Ron reminded him. ‘You can’t send people off in Quidditch – and what’s a red card?’ But Hagrid was on Dean’s side. ‘They oughta change the rules, Flint coulda knocked Harry outta the air.’ แต่ หน้า 188 ของ ฉบับอเมริกัน “Harry Potter and the Sorcerer’s Stone” ต้องอธิบายเพิ่มเติมเรื่องกีฬา Football แบบอังกฤษ ที่คนอเมริกันเรียกว่า Soccer และต้องอธิบายเรื่อง การให้ใบแดงที่คนอเมริกันไม่รู้จักด้วย ฉบับอเมริกันจึงต้องเขียนใหม่แตกต่างไป โดยเพิ่มส่วนที่เป็นตัวอีกษรสีแดง และตัดส่วนที่เห็นถูกขีดฆ่าทิ้งไป ว่า: (188) Down in the stands, Dean Thomas was yelling, “Send him off, ref! Red card!” “What are you talking about, Dean? Said Ron. “Red card!” Said Dean furiously. “In soccer you get shown the red card and you’re out of the game!” “This isn’t football soccer, Dean,” Ron reminded him. ‘You can’t send people off in Quidditch – and what’s a red card?’ But Hagrid, however, was on Dean’s side. “They oughta change the rules, Flint coulda knocked Harry outta the air.’ โดยต้องให้ Dean อธิบายเพิ่มเติมว่าใบแดงในกีฬา Soccer ซึ่งไม่ใช่ American Football นั้นหมายถึงการถูกไล่ออกจากสนาม สำหรับ Harry Potter and the Half-Blood Prince นั้น ทั้งสองสำนักพิมพ์ต่างก็ออกแบบปกแตกต่างกันดังที่เคยทำมาในอดีต แต่คราวนี้อังกฤษ โดยสำนักพิมพ์ Bloomsbury ทำปกสองแบบ มีแบบสำหรับเด็ก ตื่นเต้นร้อนแรงกว่าที่เคยทำมาในอดีต และปกสำหรับผู้ใหญ่ ลึกลับ เคร่งขรึม เป็นทางการ และหากเอาแผ่นปกที่คลุมปกแข็งออกไป จะสงบ สง่างามแบบเรียบๆ ถือติดตัวไปอ่านที่ใดก็ไม่มีใครทราบว่ากำลังอ่าน The Half-Blood Prince ในเล่มก็ไม่มีสารบาญ ไม่มีภาพประกอบหัวบท ท้าทายจินตนาการผู้อ่านตามประเพณีเดิมของอังกฤษ ฉบับ Scholastic แบบอเมริกัน ลึกลับ ลวดลาย ตื่นตาตื่นใจแบบที่เคยถูกใจผู้อ่านมาแล้ว ในเล่มมีสารบาญ และภาพประกอบ ตามแนวทางการออกแบบดั้งเดิม ทำให้ปกแบบ American Scholastic เป็นที่นิยมมากว่า ในประเทศไทย ไม่ว่าปก และ ภาพ ประกอบจะเป็นอย่างไร เนื้อหา ข้อความ เรื่องราวในเล่ม เหมือนกัน โดยยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงปลีกย่อยดังที่ปรากฏในเล่มที่หนึ่ง (591) ‘….so eet ees lucky ‘e is marrying me”, said Fleur happily, plumping up Bill’s pillows, “because ze British overcook their meat, I’ave always said this’ ‘....ก็นับว่าโชคดีที่เขาจะแต่งงานกับฉัน’ Fleur Delacour พูดอย่างสุขแสน พร้อมกับตบหมอนให้กับ Bill, ‘เพราะฉันนะพูดแล้วพูดอีกว่าพวกอังกฤษนี่ชอบย่างเนื้อสุกจนเกินขนาดไปทุกทีเลย’ สองสัปดาห์ก่อนที่หนังสือ Harry Potter and the Half–Blood Prince โดย J.K. Rowling จะออกวางจำหน่ายทั่วโลก ประธานาธิบดี Jacque Chirac ของฝรั่งเศสก็ตำหนิอังกฤษว่าเป็นประเทศที่ทำอาหารไม่เป็นอันกิน ไม่มีรสชาติ ไว้ใจไม่ได้ แล้ว Fleur Delacour สาวงามชาวฝรั่งเศสก็มาเสียดสีวัฒนธรรมการทำอาหารของชาวอังกฤษอีกครั้ง เรื่องนี้เห็นทีจะขัดใจคนอังกฤษไปนาน ที่สำคัญ คนที่เขียนให้ Fleur Delacour ตำหนิอาหารอังกฤษนั้น คือคนอังกฤษด้วยกันเองคือ J.K. Rowling แห่ง Harry Potter And the Half-Blood Prince นั่นเอง อาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ของบรรดาชาว Hogwarts ใน Harry Potter เล่มที่ 6 นี้ มีท้าทายคนที่สงสัยในรสชาติอาหารอังกฤษมากมายทีเดียว นอกเหนือจากผัดถั่วงอกฝีมือเด็ดขาดจาก Molly Weasley แม่ของ Ron แล้ว ก็ยังมี (229 ล่างสุด) Cockroach Cluster แมงสาบลอยแพ (230 บนสุด) Deluxe Sugar Quills ขนนกฉาบน้ำตาล ก็น่าลองชิม (371) เอาน้ำ น้ำผึ้ง และข้าว Malt กับ Yeast มาหมักรวมกัน ก็ได้ เครื่องดื่มที่เรียกว่า Mead หมักในถังไม้ Oak ด้วยแล้ว ก็กลายเป็นสุดยอดเครื่องดื่มของบรรดาเด็กๆพ่อมดแม่มดกันไม่แพ้ เหล้าองุ่น และ Butterbeer เรื่องราวการเผชิญชะตากรรมของ Harry Potter กับเพื่อนๆนั้น ในตอนที่ 6 ว่าด้วยเรื่อง “เจ้าชายเลือดผสม” นั้นอ่านไปให้ไกลๆ ก็คงรู้เองว่าคือ มาจากไหน แล้วจะไปไหนต่อ การสูญเสียชีวิตคนสำคัญอีกคน อ่านไปพักใหญ่ก็คงถึงบทที่มีคำตอบ แต่ชีวิตวัฒนธรรมของสังคมเยาวชนอังกฤษและยุโรป ต้องค่อยๆอ่านไป รับแนวคิดไปวิเคราะห์ ตลอดแทบทุกหน้าของหนังสือที่ยาว 607 หน้า เล่มที่เยาวชนคนและพ่อแม่ทั้งโลกอ่านกันทุกหนแห่ง Hermione ยังคงอ่านหนังสือ ค้นคว้าในห้องสมุด เป็นเด็กเรียนเก่งละเอียดรอบคอบสม่ำเสมอ แต่ความรักแบบเด็กๆใน Half-Blood Prince นี้ก่อตัวเข้มข้นจริงจังมากขึ้น ทั้งสนุก ขบขันในชีวิตเด็กนักเรียน ทั้งห่วงใยว่า วัฒนธรรมวัยรุ่นไทย ในอายุ 16 ปี ชั้นมัธยม 5-6 ของไทย จะเข้าใจในพื้นฐานที่แตกต่างกันกับเด็ก ปี 6 อายุ 16 ที่ โรงเรียน Hogwarts เพียงไร (268) Ginny กับ Dean Ron กับ Lavender Ron กับ Hermione Hermione กับ Victor Krum Harry กับ Ginny แต่ความรักที่มีคุณค่าจริงๆ คือความรักที่ให้ต่อผู้อื่น อันมีผลทำให้ผู้มีความรักนั้นเข้มแข็งฝ่าภยันตรายนานาได้ อาจารย์ Dumbledore บอกกับ Harry ว่า: (476) “You have a power that Voldemort has never had. You can – “ “I know! – I can love” “Harry คุณมีอำนาจที่ Voldemort ไม่มีวันมีได้เลย คุณสามารถให้...” “ผมทราบครับอาจารย์ ผมสามารถให้ความรักได้” “I can love” (421) ความรักในวัยเด็กแบบที่ Ron พูดกับ Hermione เป็นครั้งแรก ว่า “I love you” กับความรักต่อเพื่อนมนุษย์ แบบที่อาจารย์ Dumbledore บอกว่า Harry มีเป็นเกราะกำบังให้ชีวิตเข้มแข็งนั้น เป็นความงดงามทั้งสองอย่างที่ J.K. Rowling บอกถึงความแตกต่างระหว่างกัน Harry Potter and the Half–Blood Prince จาก J.K. Rowling คลี่คลายประวัติความเป็นมาของ Tom Riddle หรือ Lord Voldemort เกือบหมด ติดส่วนสำคัญคือ Horcruxes หรือส่วนเสี้ยววิญญาณ ที่คาดว่ามี 7 ส่วนยังต้องตามหาเพื่อทำลายให้ได้ต่อไปใน Harry Potter เล่มที่ 7 เล่มสุดท้าย ความรุนแรงในตอนนี้ทวีคูณในตอนท้ายเล่ม เป็นพฤติกรรมร้ายที่มีมากเกินผู้อ่านระดับเยาวชนไป แต่ Rowling ก็คงหลบหลีกไม่ได้ เพราะเป็นแนวเรื่องที่ใช้ตรึงใจผู้อ่านให้ติดตาม และให้แบ่งข้างระหว่างด้านมืด และด้านสว่างของมนุษยชาติ ตามที่เป็นจริงในชีวิต ท่ามกลางเนื้อเรื่องที่มาก ละเอียด เข้มข้น ต้องตั้งใจอ่านทุกย่อหน้า อย่างช้าๆ เพื่อรับรู้ประวัติความเป็นมา และข้อเท็จจริงที่ย้อนกลับไปอธิบายเรื่องที่เคยทิ้งความฉงนไว้ตั้งแต่ The Philosopher’s Stone การอ่านเล่ม 6 นี้ จะดีมาก หากมีเล่ม 1 ถึงเล่ม 5 วางอยู่ข้างๆ หนังสือชุด Harry Potter นั้นมี 7 ตอน 7 เล่ม อ่านเล่มใดเล่มเดียวจะไม่เข้าใจความเชื่อมโยง ต้องอ่านตามลำดับจากเล่ม 1 ถึงเล่ม 6 แล้วรอคอยเล่ม 7 สุดท้ายต่อไป J.K. Rowling วางแนวเรื่องไว้ให้เราต้องอ่านต่อเนื่องจากเล่มแรก ถึงเล่มสุดท้าย ย่อหน้าแรก ถึงย่อหน้าสุดท้าย ไม่มีทางหลบหลีกได้เลย เป็นการถูกบังคับให้พบกับโลกการอ่านหนังสือเต็มใจ และเป็นสุขที่สุด สำหรับเยาวชนไทยที่ใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้คล่องนัก มีจำนวนมากทนรอคอยฉบับแปลเป็นไทยไม่ไหว ก็บังคับตัวเองให้พยายามอ่านฉบับภาษาอังกฤษอย่างหามรุ่งหามค่ำ จนภาษาอังกฤษดีขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่คือความดีงามของ J.K. Rowling กับ Harry Potter And the Half-Blood Prince ที่สะกดจิตให้เด็กไทยแท้ๆ พัฒนาภาษาอังกฤษเทียบเท่า Half-Blood Boys and Girls กันในชั่วเวลาข้ามสัปดาห์. HARRY POTTER VII
Harry Potter and the Deathly Hallows Harry Potter กับ เครื่องรางยมทูต ในที่สุดการเผชิญหน้าระหว่าง Harry Potterกับ “He who shall not be named” ก็มาถึงตอนจบ “BEWARE: book reviews inevitably contain plot spoilers. We will try to avoid these as much as possible, but if you DO NOT want to know what is in the new book, TURN OFF YOUR TV.” “โปรดระวัง : แม้เราจะพยายามหลีกเลี่ยงอย่างเต็มความสามารถแล้ว แต่บทแนะนำหนังสือเล่มนี้ในที่สุดก็จะต้องเอ่ยถึงเนื้อหาบางอย่างในเรื่องบ้าง หากท่านไม่ต้องการทราบอะไรที่เป็นเนื้อเรื่องในหนังสือเลย กรุณาปิดโทรทัศน์ของท่าน ......” (9 ) “The two men appeared out of nowhere, a few yards apart in the narrow, moonlit lane.” “ชายทั้งสองไม่ทราบว่ามาจากไหน จู่ๆก็ปรากฏตัว ห่างกันเพียงสองสามหลา ณ กลางซอยแคบๆ กลางเงาจันทร์” นี่คือประโยคแรกของ “Harry Potter and the Deathly Hallows” ประโยคที่ผู้อ่าน Harry Potter ทั่วโลกเฝ้ารอคอยมานานสองปี ไม่มีใครต้องการทราบประโยคสุดท้ายของหน้าสุดท้ายของบทสุดท้ายเว้นเสียแต่ว่าจะค่อยๆอ่านไปเองที่ละหน้า จากหน้า 1 ถึง 607 Harry Potter and the Deathly Hallows โดย J.K. Rowling เป็นตอนที่ 7 ตอนสุดท้ายของเรื่องราวที่ผู้อ่านทั่วโลกสงสัยอยากรู้ด้วยการอ่านด้วยตัวเองเท่านั้น ผู้อ่านทั่วโลก ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกเพศ ทุกวัย หนังสือชุด Harry Potter ไม่ใช่หนังสือสำหรับเด็กๆเท่านั้น Harry Potter and the Deathly Hallows พิสูจน์แล้วว่าเป็นหนังสือของผู้ใหญ่ด้วย และเป็นหนังสือของทุกคนในครอบครัว แม้พ่อแม่ไม่อยากอ่าน ก็ยังต้องอ่าน เพราะลูกทุกคนอ่านกันหมดทั้งบ้าน สองวัยอ่านด้วยกัน น่าจะสร้างความเข้าใจระหว่างกันได้ดีหลายเรื่อง เช่น: ความรักของวัยรุ่น (66) “…They looked at each other; Harry wanted to hug her, hold on to her…but before he could act on the impulse there was a great crash from the kitchen.” “ทั้งสองสบตากัน Harry อยากเข้าไปกอดเธอ แล้วประคองกอดเธอไว้นานๆ...แต่ยังไม่ทันจะได้ทำตามที่อารมณ์ปรารถนา ฉับพลันก็บังเกิดเสียงดังโครมมาจากครัว” กว่าโอกาสที่ทั้งสองจะอยู่กันสองต่อสองอีกครั้งก็ต้องคอยจนถึงวันเกิดครบรอบ 17 ปีของ Harry (บรรทัดที่ 12 จากล่าง หน้า 564) “The boy who lived.” เด็กชายผู้รอดชีวิต “The Chosen One” เด็กชายผู้ซึ่งถูกชตาเลือกลิขิต (99) “She took a step closer to him. ‘So then I thought, I would like you to have something to remember me by……..’ ….and then she was kissing him as she has never kissed him before, and Harry was kissing her back, and it was blissful oblivion,...” “เธอขยับเข้าไปใกล้ๆ Harry อีกนิดหนึ่งแล้วกล่าวว่า ‘เราคิดว่าเราอยากจะให้ของขวัญที่จะทำให้เธอไม่ลืมเรา...’ แล้วเธอก็จูบ Harry อย่างที่ Harryไม่เคยได้รับจูบแบบนี้จากเธอมาก่อนเลย, และ Harry ก็จูบตอบ...เป็นภวังค์แห่งความงดงามเอิบอิ่ม บริบูรณ์” ผู้อ่านทุกคนอยากทราบว่าในที่สุด Harry จะพบรักแท้กับเพื่อนคนไหน? แต่เรื่องใหญ่กว่านั้น สำคัญถึงกับอาจต้องแลกกับชีวิตได้นั้น ไม่ใช่ความรักในวัยรุ่น แต่เป็นการตามล่าและทำลาย Horcruxes ทั้งหมดที่ “เขา..ที่เราเองก็ไม่กล้าเอ่ยชื่อ แบ่งแยกวิญญาณเป็น 7 ส่วน ซ่อนไว้ใน Horcruxes 7 อย่าง แต่ว่า The Deathly Hallows ไม่ใช่ Horcruxes ที่จริงนั้น The Deathly Hallows อยู่กับตัว Harry มาโดยไม่รู้ตัว และ The Deathly Hallows ก็อยู่ที่ (255) Godric’s Hollow ด้วย (266) “Where your treasure is, there will your heart be also” “ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ ณ ที่ใด หัวใจของท่านก็อยู่ ณ ที่นั้น” เป็นคำจารึกบนแผ่นศิลาเหนือหลุมศพของ Kendra Dumbledore และ Ariana J.K. Rowling แนะนำความตายให้ Harry Potter และเพื่อนๆได้รู้จักตั้งแต่วัยเด็ก แต่เมื่อมาถึงเล่มสุดท้าย ความตายก็ไม่น่าสะพรึงกลัวเลย เพราะอาจารย์ Dumbledore สอน Harry ว่า: (578) “Don’t pity the dead, Harry. Pity the living, and , above all, those who live without love” “ขอเธออย่าได้สงสารคนตายเลยนะ Harry เธอจงสงสารคนที่ยังอยู่เถิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่อยู่โดยไม่มีความรัก” หนังสือ Harry Potter ทั้ง 7 เล่ม ยืนยันในอานุภาพของความรักต่อเพื่อนมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกสายเลือด ความรักคือพลัง ส่วนอำนาจ คือความอ่อนแอ (575 บรรทัดที่10) อาจารย์ Dumbledore สารภาพกับ Harry ว่า “…that power was my weakness and my temptation. It is a curious thing, Harry, but perhaps those who are best suited to power are those who have never sought it.” “...อำนาจคือความอ่อนแอของอาจารย์ อำนาจทำให้อาจารย์มีกิเลส อำนาจมันเป็นของแปลกนะ Harry อำนาจนั้นมันน่าจะเหมาะที่จะอยู่ในมือของผู้ที่ไม่แสวงหาอำนาจ” ตรงนี้ คืออมตะแห่งปรัชญาการเมืองของ Plato ที่ส่งต่อผ่าน Dumbledore สู่ Harry Potter จากหน้าแรกถึงหน้าสุดท้าย J. K. Rowling กดหัวใจผู้อ่านต่อเนื่องไปถึง (596) ตอนท้ายของบทสุดท้าย ไม่เคยมีตอนไหนเล่มไหนของเรื่อง Harry Potter 6 เล่มก่อนหน้านี้เลยที่จะดึงอารมณ์ผู้อ่านได้แนบแน่นต่อเนื่องตลอด 600 หน้า (601) แถมบทส่งท้ายให้ประทับไว้ในความทรงจำอันเป็นโลกส่วนตัวของผู้อ่าน Harry Potter ทุกคนอีกนาน 19 ปี หลังจากนั้นเราจะอ่านอะไรกันต่อไปดี. Thaivision 26 มิถุนายน 2017/๒๕๖๐ - จบบริบูรณ์ - ปก Scholastic/USA
|
|