สงครามการค้า สหรัฐอเมริกา vs. ไทย
|
Vertical Divider
|
Vertical Divider
สงครามการค้า
สหรัฐอเมริกา vs. ไทย เมื่อวันอังคารที่ 22 เมษายน 2568 มีข่าวว่ารัฐบาลอเมริกันไม่รับนัดคณะเจรจาการค้าเรื่องภาษีศุลกากรจากไทย และขอให้เรากลับไปทบทวนรายละเอียดแล้วค่อยนัดใหม่อีกที การเลื่อนไม่รับนัดครั้งนี้เป็นแบบไม่มีกำหนดว่าจะรับนัดหรือไม่อย่างไรในอนาคต ถือว่าเป็นทำสงครามการค้าที่อเมริกาประกาศรบกับไทยฝ่ายเดียว โดยไม่เจรจาก่อนและหลังสงคราม เป็นการเอาเปรียบประเทศที่เล็กและด้อยกว่า และไม่แยแสต่อกฎเกณฑ์และกฎหมายระหว่างประเทศที่กำกับดูแลการค้าโลกโดยองค์กรที่เรียกว่า “World Trade Organisation” หรือ WTO ซึ่งเป็นองค์กรที่สหรัฐอเมริกาสร้างขึ้นมากับมือในปี 1995 มาบัดนี้สหรัฐอเมริกาแหวกกฎเกณฑ์ของ WTO สร้างกำแพงภาษีกันสินค้าต่างประเทศมิให้เข้าไปขายในสหรัฐฯได้สะดวก โดยเพิ่มภาษีศุลกากร หรือภาษีสินค้านำเข้าให้สูงมากขึ้นผิดไปจากความตกลงที่มีมาแต่เดิม ทำให้ราคาสินค้าขึ้นสูงมากจนอาจขายได้น้อยหรือขายไม่ได้เลย ประธานาธิบดี Donald Trump ต้องการให้คนอเมริกันซื้อสินค้าต่างประเทศน้อยลง เพิ่มภาษีนำเข้าให้สูงเสมือนเป็นกำแพงขวางกั้นการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่น แล้วไปจูงใจให้คนอเมริกันตั้งโรงงานผลิตสินค้าเองขายเองใช้เองในประเทศอเมริกาเอง โดยไม่คำนึงว่าโลกปัจจุบันเป็นโลกที่ตกลงกันแล้วโดย WTO ว่าเป็นโลกที่ต้องพึ่งพากันโดยการค้าแบบเสรี การผลิตชิ้นส่วนประกอบกันจนเป็นตัวสิ้นค้าในที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับหลายๆประเทศร่วมกันแบ่งงานผลิตกันตามความเหมาะสมของต้นทุน แรงงาน วัตถุดิบ เทคโนโลยี การขนส่ง การกระจายสินค้า และองค์ประกอบต่างๆมากมาย กว่าจะนำทั้งหมดทุกชิ้นส่วนมารวมกันประกอบเป็นสินค้าสำเร็จรูปส่งขายได้ต่อไป ในตลาดโลก การผลิตสินค้าทุกอย่างมีที่มาของชิ้นส่วนประกอบจากหลายๆประเทศ แต่รัฐบาลอเมริกันคิดว่าจะต้องจัดการกับทุกประเทศที่ได้เปรียบดุลย์การค้ากับสหรัฐฯ โดยขึ้นภาษีศุลกากรให้สูง ดังนั้นภาษีจึงกระทบทุกประเทศทุกโรงงานที่ผลิตทุกชิ้นส่วนของสินค้า ประเทศไทยโดนสหรัฐฯขึ้นภาษีศุลกากรผ่านการประกาศเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2026 ในอัตรา สูงถึง 36% เพราะไทยได้เปรียบดุลย์การค้ากับสหรัฐสูงเป็น 1 ใน 10 ประเทศในโลกที่ได้เปรียบดุลย์การค้าสูงสุด ความขยันและประสิทธิภาพการผลิตและส่งออกของเรากลายเป็นสิ่งที่สหรัฐต้องการทำลาย ต่อมาสหรัฐเลื่อนกำหนดเก็บภาษีศุลกากรที่จะเก็บจากไทย 36% และประเทศอื่นๆทั้งโลกในอัตราที่ต่างกันไป อีก 90 วัน แต่ยังคงเก็บ 10% ไปก่อน มาวันที่ 22 เมษายน ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศกำแพงภาษีสำหรับสินค้าประเภทพลังงานเซลล์แสงอาทิตย์ หรือ solar cells ถึง 3,521% ซึ่งก็ใช้อัตราเดียวกันนี้กับสินค้าเซลล์แสงอาทิตย์จากมาเลย์เซีย เวียดนาม และ กัมพูชาก่อนที่ข่าวนี้จะมาถึง นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร แถลงหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี วันอังคารที่ 22 เมษายน ดังนี้ (ตามต้นฉบับ ไม่แก้คำผิดหรือคำตกหล่นในเอกสาร) : นายกฯ ชี้แจง เลื่อนการเจรจา “ภาษีสหรัฐ” ย้ำต้องพิจารณาอย่างรอบคอบคลุมทุกมิติ เพื่อผลประโยชน์ของประเทศ* “วันนี้ (22 เมษายน 2568) เวลา 12.00 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงประเด็นการเลื่อนเจราเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจและการปรับขึ้นภาษีกับสหรัฐฯ ว่าในประเด็นการเจรจาเพื่อพูดคุยได้มีการเลื่อน ซึ่งทางด้านประเทศไทยทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องได้มีการพูดคุยกันถึงมาตรการการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ เมื่อมีการส่งทีมล่วงหน้าไป มีสาระสำคัญบางอย่างที่ต้องกลับมาทบทวนในเรื่องที่จะเจรจา ซึ่งจะมีการนัดหารือกันอีกครั้ง แต่ในส่วนของรายละเอียดว่าเป็นเรื่องหรือประเด็นไหน จะให้ทางด้านนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังชี้แจงในรายละเอียดต่อไป นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ในส่วนของประเด็นที่มีฝ่ายค้านเสนอให้รัฐบาลรื้องบประมาณปี 2569 และเห็นด้วยหากรัฐบาลจะออก พ.ร.บ.กู้เงินเพื่อรับมือภาษีสหรัฐ เรื่องดังกล่าวต้องรับฟังทุกความคิดเห็น ซึ่งจะต้องนำมาพิจารณาประกอบกันว่าจะเกิดผลอย่างไร ต้องคำนึงถึงผลกระทบในระยะยาวด้วย หากในระยะยาวมีการเปลี่ยนแปลงจะเป็นประโยชน์มากน้อยแค่ไหนซึ่งก็จะต้องให้ทีมทบทวนเรื่องดังกล่าวอีกทีหนึ่ง ในส่วนของประเด็นที่นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปสหรัฐฯ เพื่อเจรจาด้วยตนเองนั้น จะต้องมีการพิจารณาดูถึงระดับการพูดคุยกันก่อนว่าจะเป็นอย่างไร ทั้งนี้ ตนเองพร้อมที่จะไปพูดคุยเจรจาอยู่แล้ว นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศไม่ได้ช้าเกินไป เนื่องจากสหรัฐฯ ประกาศระยะเวลา 90 วันก่อนขึ้นภาษีจะมีผล ซึ่งตอนนี้ได้ทบทวนและพูดคุยกับทีมเจรจาอย่าไม่เป็นทางการว่า มีเรื่องใดบ้างที่เราควรจะพูดคุยกัน เพราะบางเรื่อง เช่น ภาษีที่เขาเสียให้เราแพงเกินไปก็ดูเหมือนว่าควรจะปรับให้สมเหตุสมผล เช่นเดียวกับอีกหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งขณะนี้ทีมทำงานกันอย่างละเอียด ซึ่งถ้าถามว่ามีความล่าช้าหรือไม่ ย้ำว่า ไม่ช้าเกินไป สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทย นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จริง ๆ แล้วเศรษฐกิจทั่วโลกก็มีความลำบากค่อนข้างที่จะฝืดเคืองพร้อม ๆ กัน ซึ่งเราต้องค่อย ๆ จัดการด้วยความรอบคอบและต้องมีการพูดคุยอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ ทีมทุกคนกำลังทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง และรับฟังความคิดเห็นจากหลายภาคส่วน เพราะฉะนั้นคิดว่าทำดีที่สุดในสถานการณ์นี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปถึงประเด็นการร่วมมือกันของกลุ่มประเทศอาเซียนในการเจรจา ว่า ได้มีการพูดคุยกันกับทางด้าน นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน และได้มีการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการเล็กน้อยในเรื่องของการร่วมมือ และการที่จะตนเองจะเดินทางไปเยือนกัมพูชาระหว่างวันที่ 23 – 24 เม.ย นี้ ก็จะมีการพูดคุยกันอีกครั้งหนึ่ง ในส่วนของประเด็น ผลจากขึ้นภาษีของสหรัฐฯ จะส่งผลให้รัฐบาลต้องทบทวนนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตอนนี้ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ซึ่งต้องรอดูว่าในส่วนที่เราจะปรับปรุงได้เราจะสามารถทำได้แค่ไหน แต่เป็นที่แน่นอนว่าเราต้องดูในเรื่องของผู้ประกอบการและเกษตรกรของเราด้วยว่าที่ส่งออกไปเป็นอย่างไร และการนำเข้าของสินค้าจำเป็นของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นได้หรือไม่เพื่อที่จะให้ได้รับประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ และพยายามรักษาผลประโยชน์เกษตรกรและผู้ประกอบการให้ได้มากที่สุด ในส่วนของประเด็นการบาลานซ์ของไทยกับประเทศมหาอำนาจซึ่งจีนออกมาเตือนว่าหากมีการยอมให้กับสหรัฐฯ มากเกินไปจนกระทบการค้าขายจีน ก็อาจโดนมาตรการตอบโต้ด้วยเช่นกัน นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าการเจรจาของไทยกับสหรัฐฯ ถึงแม้ไทยจะเป็นประเทศเล็ก ๆ ก็ตาม แต่ต้องเจรจาให้เหมือนกับว่าให้ประโยชน์เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย ไม่ได้เจรจาเหมือนกับว่าเป็นประเทศที่เล็กมากต้องยอมทุกอย่าง ซึ่งไม่ได้อยู่แล้ว ทุก ๆ ประเทศมีความสำคัญเหมือนกันเพราะฉะนั้นการเข้าไปคุยต้องมีกระบวนการคิดที่เข้าไปคุยซึ่งตนเองได้คุยกับทีมไปว่า การที่ไปคุยกับไม่ใช่เป็นการเทหมดหน้าตัก เพราะผู้ประกอบการกับเกษตรกรมีความสัมพันธ์กับจีนมากเช่นกัน ซึ่งประเทศไทยมีความสัมพันธ์อันดีกับสองประเทศมหาอำนาจ ก็อยากจะให้เป็นอย่างนั้นต่อไป เพราะฉะนั้นทั้งสองประเทศเราต้องบาลานซ์ให้ดี” หมายเหตุ * ตามต้นฉบับจากหน้า "รัฐบาลไทย" ไม่ปรับแก้ที่พิมพ์ผิดหรือข้อความไม่สละสลวย ตกหล่น _________________ การที่รัฐบาลอเมริกันไม่รับนัดเจรจากับรัฐมนตรีคลังและคณะของไทย แถมประกาศตามใจชอบขึ้นภาษีเพิ่มเติมโดยไม่ปรึกษาหารือกับไทยก่อนเลย ทำแบบนี้ถือได้ว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ ไม่เคารพความเท่าเทียมกันในฐานะประเทศเอกราช สมาชิกองค์การสหประชาชาติ และองค์การการค้าโลก สมควรที่รัฐบาลไทยจะต้องประกาศจุดยืนให้แข็งขัน มิให้ตกเป็นเบี้ยล่างหรือถูกสหรัฐฯเหนียบย่ำทำลายเกียรติภูมิของการเป็นชาติที่เคารพกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศเช่นประเทศไทย รัฐบาลไทยควรประกาศตอบโต้ไปยังสหรัฐอเมริกาดังนี้:
สินค้าไทยแท้ๆที่มิใช่การปลอมแปลงถิ่นกำเนิดสินค้าจากต่างประเทศที่มาแปลง เป็นสินค้าไทย เพื่อการส่งออกอีกต่อหนึ่ง (2) เราขอเก็บภาษีสินค้าพลังงานแสงอาทิตย์จากสหรัฐ 3,521% สินค้า เท่ากัน ก็ เสมอกันอีก (3) และระหว่างนี้เราขอเก็บ 10% ทุกประเภทสินค้า เหมือนกับที่สหรัฐเก็บจากเรา เท่าๆกัน ก็เป็นความทุกข์เท่าๆกัน เราเป็นประเทศเล็ก ขนาดเศรษฐกิจเล็กกว่า หลายพันเท่า เราจำยอมรับทุกข์มากกว่าคนอเมริกันไปจนกว่าเราจะหาตลาดใหม่ ทดแทนได้ (4) ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ 36% ทุกประเภทสินค้า แต่คงรอ ก่อน 90 วัน ถึงหลังวันที่ 8 July 2025 6. ประเทศไทยต้องยกเรื่อง “trade in service” หรือการค้าประเภทบริการขึ้นเจรจาคู่ขนานไปกับสินค้าการผลิตแบบอุตสาหกรรม จะต้องมีตัวเลขชัดเจนว่าประเทศไทยขาดดุลย์สินค้าที่เป็นบริการหรือ “service” เท่าไร โดยยกตัวอย่างเช่นสินค้าบริการประเภทบันเทิง software download, การเงิน, การศึกษาที่คนไทยใช้จ่ายส่งลูกหลานไปเรียนในสหรัฐฯ กิจการที่ปรึกษาการเงินการลงทุน และกฎหมาย ต่างๆ เป็นต้น แน่นอนว่าไทยเราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบดุลย์การค้าประเททบริการนี้อย่างมหาศาล 7. รัฐบาลไทยต้องตอบโต้ทางวิชาการ ด้วยการอธิบายเหตุผลด้านการความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศเรื่องการค้าเสรี WTO ระเบียบทางการค้าของโลกปัจจุบันว่า: (1) WTO หรือองค์การการค้าโลกนั้นทำหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้วโดยมีกฎเกณฑ์หลัก การที่ทุกฝ่ายรับรองและปฏิบัติตารม หากมีเรื่องใดที่ต้องปรับปรุงแก่ไข ซึ่งมีแน่นอน ก็ต้องเจรจากันในกรอบของ WTO จะมาทำอะไรตามอำเภอใจเพราะตนเองเป็น ประเทศมหาอำนาจอย่างที่สหรัฐฯทำกับเรานั้น ทำไม่ได้ ไม่ควรทำ และไทยเราจะไม่ ยอมรับ (2) บอกให้สหรัฐฯสำนึกว่า สงครามการค้านั้น ทุกฝ่ายแพ้ด้วยกันทั้งคู่ เสียหายด้วย. กันทั้งนั้น แต่คนอเมริกันเป็นผู้ซื้อจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้มากกว่า ความอดทนของไทยสูง กว่าเพราะอยู่กับความยากจนและความยากลำบากได้อึดอดทนดีกว่า เราสร้างชาติ และอยู่รอดมาได้ถึงอย่างน้อย 800 ปี ฟันฝ่าสารพัดสงครามมานานก่อนที่จะเกิด ประเทศสหรัฐอเมริกาถึงกว่า 200 ปี เราสู้กับควายากลำบากทางเศรษฐกิจได้แน่นอน และเรามีปรัชญาชีวิตเศรษฐกิจแบบพอเพียง เราพอหาหทางอยู่ได้โดยไม่ต้องมี สหรัฐอเมริกามาค้าขายกับเราแน่ๆ แม้จะไม่เหมือนเดิมก็ตาม 8. การรณรงค์ ไม่ซื้อสินค้าอเมริกัน อาจจะเป็นทางออกที่ทำได้ เพียงเพื่อส่งสัญญาณให้ทราบว่าคนไทยพึ่งตนเอง ผลิตสินค้าใช้เอง และแลกเปลี่ยนค้าขายกับประเทศอื่นๆได้อีกมากมาย เราอยู่ได้แน่นอน 9. การรณรงค์สนับสนุนชาวอเมริกันให้ปฏิเสธรัฐบาล Donald Trump ให้ช่วยกันเรียกร้องประชาธิปไตย ให้มีการเคารพกฎหมายและกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศ และให้คงทัศนะที่ดีต่อชาวอเมริกันเช่นเดิม ไม่ก่อความเกลียดชังระหว่างประชาชน เน้นต้านเฉพาะรัฐบาลที่ไม่เป็นธรรมของประธานาธิบดี Donald Trump เป็นหลัก 10. การแสวงหาตลาดการค้าใหม่ๆจากมิตรประเทศทั่วโลก ตั้งแต่อาเซียน ไปถึงยุโรปและอัฟริกา เรื่องนี้ต้องทำอย่างเข้มข้น การนัดหมายขยายตลาดนั้นไม่ยากนักเพราะทุกประเทศได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าแบบเห็นแก่ตัวของสหรัฐฯเหมือนๆกัน ทุกประเทศที่ต้องการมิตรประเทศเป็นคู่ค้าใหม่เช่นเดียวกับเรา 11. สำคัญที่สุดเป็นเรื่องสุดท้าย คือการทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าระหว่างประเทศ ใหม่แบบ ยกเครื่องหรือ “ปฏิวัติเศรษฐกิจ” ไทยอย่างแท้จริง โดยคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้เป็นรากฐาน: (1) ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (2) การค้าเสรี (3) ปฏิวัติการศึกษาใหม่หมดให้รองรับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยรวม เรื่องวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ การวิจัยและพัฒนา คอมพิวเตอร์ศาสตร์ และ artificial intelligence (AI) ปฏิวัติการศึกษาและคนรุ่นใหม่ให้เป็นผู้นำสร้าง โลกในระดับและมาตรฐานที่นำโลกในวันนี้และอนาคต สมเกียรติ อ่อนวิมล 25 เมษายน 2568 |