หน้าที่พลเมือง และ ศีลธรรม ของคนรุ่นเก่า พุทธศตวรรษที่ 25 หรือ Baby-Boomer Generation สังคมไทยช่วงเข้าสู่ปี พ.ศ. 2500 เป็นเวลาครบสมบูรณ์ซึ่งพุทธศตวรรษที่ 25 เรียกกันว่า “กึ่งพุทธกาล” แล้วจากนั้น จากปี พ.ศ. 2500 เข้าสู่ปี 2501 เป็นการเริ่มต้นพุทธศตวรรษที่ 26 ปี พ.ศ. 2500 จึงเป็นปีสำคัญที่ประเทศไทยในฐานะสังคมพุทธจึงเฉลิมฉลอง 25 พุทธศตวรรษกันอย่างคึกคักตลอดปี ผมยังเด็กอยู่เกิดมาได้เพียง 8 ปี จำได้ว่าผู้ใหญ่เขาพูดกันถึงคำทำนายกันน่ากลัวว่า ปี 2500 และหลังจากนั้นจะเกิดเหตุเภทภัย “น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว” แถม “คนแก่จะมีเมียสาว” อีกต่างหาก ก็เป็นที่หวาดผวาผสมครื้นเครงกันทั่วประเทศ ส่วนที่มีเติมคล้องจองอีกว่า “กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม” หรืออะไรทำนองนั้น ผมเด็กเกินไปที่จะจำได้แม่นยำ มาค้นเพิ่มเติมก็ทีหลังหลายปี ใครต้นคิดคำทำนายนี้ผมก็เด็กเกินไปที่จะตั้งคำถาม ผู้ใหญ่เขาสนุกเฮฮากันผมก็จำๆมาเท่านั้นเอง แทนที่จะกลัวน้ำท่วมโลกจนปลากระโดดไปกินดาวได้ อันว่าคำทำนายว่าน้ำจะท่วมโลกครั้งใหญ่เพื่องล้างบาปในหมู่มวลมนุษย์นั้น มักจะเป็นวิถีประวัติศาสตร์วัฒนธรรมตะวันตกดังเช่นในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่น้ำท่วมโลกจนโนอาห์ต้องสร้างเรือยักษ์ขนสรรพสัตว์อย่างละคู่ตัวผู้ตัวเมียลงเรือยักษ์หนีน้ำท่วมไป เอาไว้เริ่มโลกใหม่หลังน้ำแห้ง และแล้วมนุษย์ที่เกิดมายุคใหม่หลังน้ำท่วมโลกก็จะเบ่งบานเจริญสดใสสุขสงบสมบูรณ์กว่าเดิม มาบัดนี้ พ.ศ. 2568 ผ่านมากว่ากึ่งศตวรรษ น้ำท่วมพื้นที่ต่างๆของโลกและแผ่นดินไทยบ่อยและท่วมหนักมากขึ้น แต่ยังไม่ถึงฟ้า ปลายังไม่ได้กินดาวดังคำทำนาย ทว่าในภาพรวมของลัทธิความเชื่อแบบชาวพุทธและฮินดูนั้น โลกอยู่ในช่วงเวลาแห่งกาลียุค หมายความว่าการเกิดศึกสงครามในหมู่มนุษยชาติ การประพฤติชั่วผิดศีลธรรม จริยธรรม และมินำพาต่อหลักศาสนธรรมจะเพิ่มพูน จนถึงที่สุดแห่งความล่มสลายปลายกาลียุค ซึ่งก็จะใช้เวลาอีกนับหมื่นนันแสนนับล้านปี ความคิดอันเป็นกาลานุกรมอันแสนยาวนานนี้ทำให้เราตายใจ จนแทบมองไม่เห็นกาลียุคทั้งๆที่เราทุกคนก็กำลังอยู่ในกาลียุคนี้ด้วยกันทั้งนั้น และเราหลายคนก็กำลังช่วยเร่งทำลายโลกกาลียุคให้ล่มสลายเร็วมากยิ่งขึ้น จะด้วยรู้หรือไม่รู้ตัวก็ตาม วิธีคิดแบบนี้มีอยู่ในทั้งโลกตะวันออกและโลกตะวันตก ที่มองภาพกว้างและยาวไกล ว่าโลกและมนุษย์กำลังค่อยๆเสื่อมโทรม หรือเสื่อมทรามลงจนถึงวาระจบสิ้นกาลียุค แล้วมนุษย์ก็จะเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ อาจสดใสสุขสมบูรณ์กว่าเดิม หากมนุษย์เรียนรู้ถึงวินาศภัยในกาลียุค สำหรับผมนั้นเกิดมาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนครบ 25 พุทธศตวรรษเพียง 8-9 ปี แล้วก็เฝ้าดูประเทศไทย และโลกมาโดยตลอดว่า เรา ทั้งโลก และสังคมไทย จะขึ้นสูงหรือไถลลงต่ำ กาลผ่านมา 76 ปี ดูชัดเจนมากขึ้นว่าสังคมไทยกำลังตกลงสู่ที่ต่ำในทางจิตสำนึกทางศีลธรรมและจริยธรรม ถ้าไม่ใช่จิตสำนึกของประชาชน ก็เป็นจิตสำนึกของผู้นำประเทศที่กำลังเมินหนีจากการทำหน้าที่ผู้นำพลเมืองที่ควรจะมีศีลธรรมอันดีเป็นเครื่องนำทาง ในช่วงก่อนและหลัง พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา เด็กนักเรียนทุกโรงเรียนทั่วประเทศต้องเรียนวิชา “หน้าที่พลเมือง และ ศีลธรรม” จากแบบเรียนสองเล่มแยกจากกัน คือ “หน้าพลเมือง” เล่มหนึ่ง กับ “ศีลธรรม” อีกเล่มหนึ่ง จากระดับประถมศึกษา ขึ้นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น แบบเรียนก็ปรับเปลี่ยนให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐบาลทั้งระบบเห็นความสำคัญของการสอนให้เด็กและเยาวชนเป็นคนดี ไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร ต้องรู้จักหน้าที่พลเมืองดี และศีลธรรมตามหลักศาสนาแห่งตน วิชา “หน้าที่พลเมือง และ ศีลธรรม” จึงเป็นวิชาบังคับในวัยเรียน ทั้งเด็กเล็ก และเด็กโต จนพร้อมเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย แบบเรียนวิชาหน้าที่พลเมือง สำหรับชั้นประถมปีที่ 5 เรียบเรียงโดย อาจารย์ลำยอง วิมุกตะลพ พิมพ์จำหน่ายปี 2504 แบ่งเป็น 5 บท ดังนี้:
ในบทที่ 3 เรื่อง การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ นั้น เขียนไว้ดังนี้: “คำขวัญของรัฐบาลมีอยู่ข้อหนึ่ง ที่เตือนใจเราให้ใช้เวลาเป็นประโยชน์ คือ ‘อย่าอยู่นิ่งเฉย โดยไม่ทำงาน’ คนเราต้องมีงานประจำทำอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็มีงานอาชีพ ถ้าเป็นเด็กอย่างพวกเรา งานประจำก็คือการเรียนหนังสือ มีงานในบ้านที่เราช่วยพ่อแม่ทำ เช่น ซักรีดเสื้อผ้า กวาด เช็ดถูห้องที่เราอยู่อาศัย เป็นต้น เพียงเท่านี้ยังไม่มากพอจนถึงแก่จะหมดเวลาไปวันหนึ่งๆ เรายังมีเวลาเหลืออยู่อีก ที่เรียกว่าเวลาว่าง จึงควรใช้เวลาว่างนี้ในทางที่เป็นประโชน์ แทนที่จะให้เสียไปเปล่าๆ เช่นนั่งอยู่เฉยๆ อาจจะเป็นทางให้คิดอะไรฟุ้งซ่าน คิดก่อการร้าย เป็นโรคประสาท หรือทำอะไรในทางที่ผิดไปก็ได้ ถ้าหาอะไรที่เป็นเครื่องเพลิดเพลินทำ เราก็จะเกิดความรู้สึกว่าตนเป็นคนมีประโยชน์ ได้ใช้เวลาในชีวิตของเราอย่างคุ้มค่า ไม่เสียไปเปล่าๆ ทำให้ใจสบาย แล้วสุขภาพทางร่างกายก็ดีตามไปด้วย การดื่มเหล้า เล่นการพนัน เที่ยวดูการเล่น หรือเดินเตร่ตามหน้าโรงมหรสพอย่างพร่ำเพรื่อ นั่งดื่มหรือสนทนากันในร้านขายเครื่องดื่มเป็นประจำ เป็นการปล่อยเวลาว่างให้ล่วงไปโดยไร้ประโยชน์ และยังกลับเกิดโทษอีก เสียทั้งเวลาทั้งทรัพย์และสุขภาพ แม้แต่ไปนั่งไปเที่ยวอยู่ในที่นั้นโดยมิได้ร่วมเล่น ร่วมดื่มด้วย ก็อาจเกิดโทษได้ คือเมื่อมีผู้ก่อเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้น เราอาจจะพลอยถูกหาว่าร่วมมือเป็นพวกเดียวกันได้ หรืออาจมีผู้ชักชวนไปทำความชั่วได้ง่าย หรือแม้จะไม่เสียหายในเรื่องใดๆเลย ก็เป็นการสร้างนิสัยเสียทีละเล็กละน้อยให้แก่ตัวเราเอง การใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์มีดังต่อไปนี้ คือ:
นั่นคือการใช้เวลาว่างให้เป็นประโชน์สำหรับเด็กชั้น ป.5 ตอนนั้นซึ่งถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ รุ่น “น้ำจะท่วมฟ้า ปลาจะกินดาว” มาถึงวันนี้ก็กลายเป็นคนรุ่นเก่าไปแล้ว ครั้งนั้นผู้ใหญ่ซึ่งเป็นคนรุ่นเก่า เกรงว่าเด็กๆซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งรวมทั้งผมด้วย เกรงว่าเราเด็กๆจะเล่นการพนันจนเสียคน จึงอบรมสั่งสอนเข้มข้นทุกชั้นปีว่า การดื่มเหล้า เล่นการพนัน เป็นโทษ เสียทั้งเวลาและทรัพย์ และสุขภาพ สร้างนิสัยเสียทีละเล็กทีละน้อย ผมกับเพื่อนๆซึ่งเป็นเด็กรุ่นใหม่สมัยนั้นถูกอบรมสั่งสอนจากกระทรวงศึกษาธิการ พ่อแม่ ครู อาจารย์ ว่าเป็นสิ่งเลวร้าย ต้องไม่ทำ จากเด็ก ป. 5 ขึ้นชั้นมัธยมต้น หรือ ม.ศ. 1 - ม.ศ. 3 แบบเรียนวิชาหน้าที่พลเมืองพิมพ์จำหน่ายและใช้เรียนในปี 2504 สอนเด็กโตขึ้นมาอีกหน่อยเรื่องเดียวกัน คือเรื่องการใช้เวลาว่างให้เป็นประโชน์ ได้อธิบายแบบลึกซึ้งมากขึ้น เฉพาะเรื่องโทษของการพนันและเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวโยงกันไว้ ส่วนหนึ่งดังนี้: “ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำทางวัฒนธรรมในเรื่องการใช้เวลว่างให้เป็นประโยน์ ซึ่งได้ปรารภไว้ว่า มีคนบางจำพวกนิยมเล่นการพนัน เป็นเหตุให้ถูกจับและถูกลงโทษในทางคดีอาญา และยังมีผู้ที่ถูกธรรมชาติลงโทษในด้านจิตใจอีกจนต้องฆ่าตัวตายด้วยวิธีต่างๆ บางทีก็เสียใจถึงกับสติวิปลาสไปก็มี จึงไม่ควรหมกมุ่นในการพนัน และควรใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ดังนี้คือ:
ได้มีตัวอย่างบุคคลผู้รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโชน์ ได้ใช้เวลาว่างของตนฝึกฝนตนเอง มีความก้าวหน้าสูงส่ง จนเป็นนักปราชญ์ เป็นรัฐบุรุษ และเป็นนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งๆที่ตนเองก็ได้ศึกษาเล่าเรียนเบื้องต้นเพียงเล็กน้อยอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ย่อมเป็นเพราะบุคคลเหล่านั้นรู้จักใช้เวลาว่างจากการงาน ทำการฝึกฝนหรือศึกษาเล่าเรียนนั่นเอง นับว่าเป็นแบบอย่างที่ดี” ข้ามมาสู่แบบเรียนวิชาศีลธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ของกระทรวงศึกษาธิการ ปีื พ.ศ. 2505 มุ่งเป้ากำจัดการพนันออกจากสังคมไทย ด้วยการอบรมขัดเกลาเด็กและเยาวชนให้ปฏิเสธการพนันทั้งปวง โดยในบทที่ 6 เรื่อง อบายมุข โดยอธิบายว่า: “อบายมุข แปลว่าเหตุเครื่องฉิบหาย หรือต้นเหตุอันนำไปสู่ความเสียหาย หมายถึงว่า ถ้าผู้ใดขืนประพฤติตามแนวทางที่ระบุไว้ข้างล่างนี้ ก็จะต้องถึงแก่ความป่นปี้เสียหาย พระพุทธเจ้าท่านทรงจำแนกเหตุแห่งความฉิบหายไว้เป็น 2 หมวด หมวดหนึ่งมี 4 ประการ อีกหมวดหนึ่งมี 6 ประการ: อบายมุข 4
อบายมุข 6
อบายมุข 4 มีข้อแตกต่างจากอบายมุข 6 เพียงประการเดียว คือความเป็น “นักเลงหญิง” นอกนั้นจะเป็นเรื่องเดียวกันแต่แยกขยายอธิบายความให้แจ่มชัดเป็นการจำเพาะเท่านั้น และเฉพาะในเรื่องการพนันและการคบคนชั่วเป็นมิตรซึ่งเกียวโยงกับการพนัน แบบเรียนนี้อธิบายไว้ดังนี้: “ (อบายมุข) 3. ความเป็นนักเลงการพนัน จำแนกโทษไว้ 6 สถาน คือ:
(อบายมุข) 4. ความคบคนชั่วเป็นมิตร จำแนกโทษตามบุคคลที่คบไว้ 6 สถาน คือ :
(สรุป) เรามิได้อยู่ลำพังคนเดียวในโลก จะต้องมีการพบปะคบหาสมาคม หรือเกี่ยวข้องกับผู้อื่นบ้างนอกจากพ่อแม่และญาติพี่น้อง บุคคลประเภทที่กล่าวนี้ได้แก่มิตรสหาย ความคุ้นเคยกับมิตรสหายย่อมเขยิบขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยจากการพูดจาไต่ถาม ก็มาถึงขั้นขอร้องให้ช่วยเหลือกันบ้าง ต่อมาเมื่อต่างพอใจกันมากขึ้น ก็ชักนำร่วมงานกันบ้าง กินนอนหรือเที่ยวเตร่ด้วยกันบ้าง รวมเรียกว่าการคบหาสมาคม อันเป็นเหตุขั้นแรกที่ชักพาให้นิสัยใจคอของกันและกันเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมได้ โดยฝ่ายใดมีกำลังใจมากกว่าก็ชักนำให้อีกฝ่ายหนึ่งคล้อยตามได้ เข้าภาษิตที่ว่า ‘คบพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตท่านพาไปหาผล’ ถ้าคบคนชั่วย่อมชักพาผู้ที่คบตนนั้นให้ทำชั่วด้วย เช่นคบนักเลงการพนันก็ชวนเล่นการพนันด้วย คบนักเลงสุราก็จะชวนดื่มสุราด้วย คบนักเลงหัวไม้ก็จะชวนชอบทำเกะกะระรานด้วยเป็นต้น.” นี่คือหลักวิชา “หน้าที่พลเมือง และ ศีลธรรม” สำหรับเด็กชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เช่นผมที่ถูกอบรมสั่งสอนอย่างเคร่งครัด ตอนที่ผมเป็นคนรุ่นใหม่ พ่อแม่รุ่นลูกดก รุ่น Baby Boomer แม่ผมท้อง 15 ท้อง รอดชีวิตมาเป็นพี่น้องผมรวม 10 คน ไม่มีใครติดการพนันแม้แต่คนเดียว แน่นอนผมเป็นคนรุ่น หรือ “generation” ที่เกิดมาในสมัยรัชการที่ 9 ไม่มีนักการเมืองรุ่นไหนเสนอตั้งบ่อนการพนัน หรือ “คาสิโน” จนกระทั่งวันนี้ การที่จะมาเสนอกฎหมายตั้งบ่อนคาสิโนในสถานบันเทิงอบายมุขครบวงจรทั้ง 6 อบายมุข คนรุ่นพุทธศตวรรษที่ 25 จะไม่ยอมให้น้ำท่วมฟ้า หรือปลาจะกินดาว หรือทั้งหนุ่มทั้งสาวจะตบเท้าเดินเข้าเสียชีวิตและอนาคตในบ่อนการพนันเด็ดขาด สมเกียรติ อ่อนวิมล 21 มีนาคม 2568 |