Vertical Divider
สงครามชนชั้นในไทย : ของแท้หรือของเทียม
เขียน ธีระวิทย์ เมื่อขบวนการคนเสื้อแดงได้ขยายตัวร้อนแรงมากขึ้นในเดือนมีนาคม-เมษายน 2553 มีสื่อมวลชนและปัญญาชนบางคนได้ออกมาให้ความเห็นผ่านสื่อต่างๆ ประสานเสียงกับแกนนำม็อบเสื้อแดงว่า สังคมไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสงครามชนชั้น ในการเจรจาสองฝ่ายระหว่างนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับแกนนำม็อบเสื้อแดงที่สถาบันพระปกเกล้านั้น (28-29 มีนาคม) จบลงด้วยคำขู่ (หรือคำเตือน) ของ น.พ.เหวง โตจิราการ ที่กล่าวต่อนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ ว่า ถ้าไม่ยุบสภาภายใน 15 วัน ความขัดแย้งจะบานปลาย นำไปสู่สงครามชนชั้น จากวันนั้นถึงวันนี้ (20 เมษายน) ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับม็อบเสื้อแดงได้ขยายตัวเป็นภาวะสงครามย่อยๆ จริง แต่เป็นสงครามระหว่างชนชั้นหรือไม่นั้นบทความเรื่องนี้จะให้ข้อมูลและข้อคิดเกี่ยวกับแนวความคิดในเรื่องสงครามชนชั้น และความเป็นไปได้เกี่ยวกับการเกิดของสงครามชนชั้นในประเทศไทย ความหมายของสงครามชนชั้น ที่มาของคำนี้ก็คือ ในขณะที่เหมาเจ๋อตุงนำทัพแดงปฏิวัติจีนอยู่นั้น ในปี 2480 ท่านได้เขียนเรื่อง “ว่าด้วยความขัดแย้ง” ในเชิงทฤษฎีไว้ มีข้อความตอนหนึ่งว่าไว้ดังนี้ (ดูใน สรรนิพนธ์เหมาเจ๋อตุง เล่มหนึ่งตอนปลาย สำนักพิมพ์ภาษาต่างประเทศ ปักกิ่ง ค.ศ. 1968, น. 686) “ในสงครามชนชั้น การปฏิวัติและสงครามปฏิวัติเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น หากปราศจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็จะบรรลุการก้าวกระโดดในการพัฒนาของสังคมไม่ได้ ก็จะโค่นชนชั้นปกครองปฏิกิริยาให้ประชาชนได้รับอำนาจรัฐไม่ได้ ชาวพรรคคอมมิวนิสต์จะต้องเปิดโปงการโฆษณาชวนเชื่อของพวกปฏิกิริยาที่ว่า การปฏิวัติสังคมเป็นสิ่งไม่จำเป็น และจะเป็นไปไม่ได้...” นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปฏิวัติของประธานเหมา ซึ่งได้พลิกแพลงความคิดเรื่องชนชั้นของ Marx และ Engels มาใช้เป็นเครื่องมือการปฏิวัติในจีน กล่าวคือ ปรัชญาของ Marx และ Engels ที่ว่าในสังคมอุตสาหกรรมที่นายทุน (ซึ่งอยู่ในจำพวกชนชั้นกฎุมพี, bourgeoisie) ขูดรีดกรรมกร (ซึ่งอยู่ในจำพวกชนชั้นกรรมาชีพ, proletariat) อย่างรุนแรงนั้น ทำให้ชน 2 ชั้นนี้ เกิดจิตสำนึกขัดแย้งกันอย่างรุนแรงในเชิงชนชั้น (คือกรรมกรเห็นหน้านายทุนก็เกลียดทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ในขณะที่นายทุนก็มองกรรมกรอย่างดูถูก เหมือนๆ กันหมดโดยไม่เลือกหน้า) เมื่อความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน พัฒนาถึงจุดๆ หนึ่ง การปฏิวัติทางชนชั้นก็จะเกิดขึ้น นั่นคือที่มาของการปฏิวัติสังคมนิยม หรือการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ เหมามิได้ยึดติดกับปรัชญาดั้งเดิมของ Marx และ Engels ในส่วนที่เกี่ยวกับสำนึกทางชนชั้น (class consciousness) ท่านอาจจะรู้ว่าในจีนนั้น ความสำนึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันระหว่างกรรมกรกับนายทุนหรือชาวนากับราชาที่ดินยังไม่ปรากฏ แต่ความแตกต่างกันระหว่างความคิดหรือฐานะของคนต่างอาชีพนั้นมี การกดขี่ ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบและความอยุติธรรมนั้นก็มี นั่นแหละเป็นพลังของการปฏิวัติที่เหมาและพรรคคอมมิวนิสต์ของเขาต้องการนำมาใช้ในการปฏิวัติ คนไทยที่ใกล้ชิดกับทักษิณ ชินวัตร และแกนนำม็อบเสื้อแดงหลายคนเป็นผู้นิยมลัทธิเหมา บางคนเคยใช้คำสอนของเหมาเป็นคัมภีร์เพื่อปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลในช่วง 10 ปีหลัง 6 ตุลาฯ แต่ไม่สำเร็จ เข้าใจว่าพวกนี้ได้ช่วยทักษิณและม็อบเสื้อแดงโดยการเอาคำสอนของเหมามาปรับปรุงใช้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของไทยในยุคปัจจุบัน คำสอนของประธานเหมามิได้จบแต่เพียงเท่านั้น ท่านยังบอกว่าในสังคมจีนมีความแตกต่าง และมีความขัดแย้ง (ในผลประโยชน์) ดำรงอยู่ในทุกแห่งหน แต่เป็นความขัดแย้งระดับการขัดกัน (contradiction) ซึ่งมีโอกาสพัฒนาเป็นความขัดแย้งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน(antagonism)ได้ ถึงจุดนี้เองสงความชนชั้นจะเกิด ผู้นำเพียงแต่ไปจัดการนำให้พัฒนาไปสู่จุดระเบิดตามธรรมชาติ นั่นแหละจะเป็นชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์ที่ทำแทนชาวนา หรือกรรมกร หรือพันธมิตรระหว่างชาวนากับกรรมกร สำหรับ Marx และ Engels นั้น ท่านว่าจิตสำนึกทางชนชั้นนั้นเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ผู้ถูกกดขี่คือชนชั้นกรรมาชีพซึ่งมีมากกว่า และแรงงานในยุคของพวกเขามีความสำคัญมากกว่าทุน พวกชนชั้นกรรมาชีพต้องชนะ สำหรับจีนนั้น เหมาเจ๋อตุงคิดว่าจิตสำนึกในทางชนชั้นนั้นส่งเสริมให้เกิดขึ้นได้ และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เป็นประโยชน์ต่อการปฏิวัติ เพื่อใคร? ชาวไร่ชาวนามีมากกว่ากรรมกร และพวกเขาเป็นชนชั้นที่ถูกขูดรีดเช่นกัน จึงต้องเป็นฝ่ายชนะ ได้อำนาจเผด็จการในการพัฒนาประเทศไปตามทิศทางของพวกเขา ถ้าผู้เผยแพร่แนวความคิดการปฏิวัติชนชั้นในไทยคิดอย่างเหมาก็คงไม่มีใครห้าม แต่ถ้าเหมายังมีชีวิตอยู่ และเห็นประเทศจีนปัจจุบันที่ยังอยู่ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์ ท่านก็คงต้องร้องไห้--ร้องจนน้ำตาเหือดแห้ง--เมื่อเห็นประเทศของเขาและโซเวียตรัสเซียซึ่งเป็นประเทศต้นแบบของจีนคอมมิวนิสต์ ประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ ทั่วโลกที่กำลังหันมาเดินทางลัทธิทุนนิยมเหมือนกันหมด นับว่าเหมาเจ๋อตุงเป็นคนมีบุญที่ไม่ต้องมีชีวิตอยู่จนตรอมใจตาย ชนชั้นในไทยมีจริงหรือ? ในสังคมไทยในภาคอุตสาหกรรมและบริการ โรงงานอุตสาหกรรมและวิสาหกิจบริการภาคเอกชนบางแห่งมีการจัดการบริหารไม่ดี ในกรณีที่คนงานมีความเข้มแข็งและมีผู้นำที่มีความสามารถในการจัดตั้ง ความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันระหว่างฝ่ายจัดการและฝ่ายคนงานพอมีปรากฏให้เห็นอยู่บ้าง แต่ไม่แพร่หลายเหมือนในยุโรปในกลางคริสตศตวรรษที่ 19 ตามที่ Marx และ Engles บรรยายไว้ ในภาคการเงิน การกู้ยืมเงินนอกระบบ (ซึ่งคิดดอกเบี้ยสูงเกินกฎหมายกำหนด) ความขัดแย้งกันระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ถึงกับฆ่าฟันกัน ให้เห็นเป็นข่าวก็มีบ่อยๆ แต่มักจะเป็นเรื่องเฉพาะรายมากกว่าในเชิงชนชั้น แม้การบุกรุกประเทศไทยโดยบรรษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติที่ทำลายอาชีพของพวกโชห่วย (ร้านขายของชำ) จะแพร่หลายและรุนแรง แต่ยังไม่มีใครสามารถปลุกระดมความรู้สึกของชาวโชห่วยนับล้านให้มีจิตสำนึกร่วมกันต่อต้านบรรษัทข้ามชาติได้สำเร็จ คนไทยที่มีความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อกันในเชิงชนชั้นนั้นมีน้อยมาก โดยพื้นฐานของวัฒนธรรมไทย คนไทยนิยมที่จะอยู่ร่วมกันแบบระบบอุปถัมภ์มากกว่า วัฒนธรรมอุปถัมภ์เป็นศัตรูสำคัญของการเกิดและพัฒนาของสังคมชนชั้น อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางสังคมในรูปแบบอื่นๆ นั้นมีจริง เช่น ความขัดแย้งระหว่างคนต่างศาสนา ความขัดแย้งระหว่างคนเมืองกับคนชนบท คนรวยกับคนจน คนโกงกับคนซื่อสัตย์ ข้าราชการบางจำพวกกับประชาชนบางจำพวก ผู้มีอำนาจกับผู้ไร้อำนาจ ผู้ได้เปรียบกับผู้เสียเปรียบ ฯลฯ ซึ่งเป็นปัญหาที่มีอยู่ในประเทศอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน ไม่ใช่มีรากฐานมาจากชนชั้นทางสังคมตามความหมายของลัทธิมาร์กซ์ดั้งเดิม แต่ความขัดแย้งเหล่านี้เอง เหมาได้เอาไปขยายความใช้สำหรับการปฏิวัติในจีนอย่างได้ผล การเอาแนวความคิดทางชนชั้นกับความขัดแย้งของคนในสังคมมาผสมกัน ทั้งของจริงและของเทียม เพื่อทำให้เป็นประเด็นการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ทั่วโลกนั้น มีผลกระทบที่สำคัญอย่างหนึ่ง คือเชื่อกันว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นอุดมการณ์ของคนยากจน-กรรมกร-ชาวไร่ชาวนาและชาวชนบท เป็นสัญญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และเป็นพลังสำคัญที่นักการเมืองและนักปฏิวัตินิยมดึงมาเป็นพวก เป็นมิตร และเป็นเกาะกำบังในทุกขั้นตอนของการทำงานการเมือง ไทยในยุคประชาธิปไตยพัฒนา ทุนนิยมสามานย์เฟื่องฟูควบคู่ไปกับการเมืองสกปรก สังคมชนบท ชาวไร่ชาวนาและกรรมกรยังมีภาพลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์มากกว่า กระแสความเชื่อเช่นนี้บวกกับกระแสความเชื่อของชาวโลก ทำให้นักการเมืองไทยเกือบทุกคนอยากได้ภาพลักษณ์ที่เป็นมิตรกับชาวไร่ชาวนา มีนักการเมืองจำนวนมากร่วมมือกับนายทุนผู้ค้า “แรงงานทาส” ทำการขูดรีดและโกงชาวไร่ชาวนา ในขณะที่หาคะแนนนิยมให้แก่ตัวเองโดยอ้างว่าตนเป็นชาวไร่ชาวนาบ้าง ช่วยเหลือ (ความจริงคือช่วยเถือ) คนจนบ้าง ฉะนั้น การที่ทักษิณกับพวกประกาศอ้างตัวเองเป็น “ไพร่” เพื่อจะร่วมมือกันชิงอำนาจคืนจาก “รัฐบาลอำมาตย์” โดยพยายามอิงบารมีของคนจน-คนชนบทนั้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจ เขาหลอกใช้คนจนโดยยอมตัวเป็น “ไพร่” ขันอาสาไปรับใช้คนจน ทักษิณและพรรคพวกมีกลยุทธ์ในการเอาชนะศัตรูคล้ายกับ เลนิน สตาลิน และเหมา คือเอาคนยากจนซึ่งเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดของประเทศเป็นข้ออ้าง แต่สิ่งที่ทักษิณทำได้ไม่สนิทคือ เขามีทรัพย์สินสะสมมาจากการฉ้อราษฏร์บังหลวง จนเป็นคนรวยระดับแรกๆ ของประเทศ ในขณะที่เลนิน สตาลิน และเหมาไม่มีรอยด่างพร้อยในด้านนี้เลย คนเสื้อแดงที่ประกาศตัวเป็น “ไพร่” ตามทักษิณเพื่อ “ทำสงคราม” ชิงอำนาจคืนจาก “รัฐบาลอำมาตย์” นำโดยอภิสิทธิ์นั้นไม่ใช่เป็นพวกคนจน-คนชนบท-ชนชั้นล่าง หรือคนไร้อำนาจตามที่ทักษิณและแกนนำม็อบเสื้อแดงประกาศโฆษณาให้คนเชื่อซ้ำซากผ่านสื่อมวลชนที่เป็นเครือข่ายของคนเสื้อแดง เราอาจแยกประเภทของคนเสื้อแดงของทักษิณได้ดังนี้
ไพร่พันธุ์ใหม่ในไทยมีอำนาจมากที่สุดในโลก ภายใต้การอุปถัมภ์ของทักษิณ ซึ่งหนีคุกไปตั้งศูนย์บัญชาการปฏิบัติการป่วนประเทศไทยในต่างแดน โดยโฟนอินบ้าง วีดิโอลิงค์บ้าง เข้ามาสั่งงานให้แกนนำม็อบเสื้อแดงและกล่าวคำปราศัยผ่านจอทีวีของคนเสื้อแดง ให้จัดการโค่นล้มรัฐบาลอำมาตย์ให้สำเร็จโดยเร็ว ไพร่พันธุ์ทักษิณใช้สิทธิ์ชุมนุมทางการเมืองเกินขอบเขตของกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจบาตรใหญ่ชุมนุมปิดถนน จัดเวทีให้แกนนำคนเสื้อแดงพูดจาด่า-ใส่ร้ายป้ายสีคนที่พวกเขาถือว่าเป็นศัตรู ตั้งสถานีโทรทัศ PTV วิทยุชุมชน ปลุกปั้นให้คนเสื้อแดงทำผิดกฎหมายชัดๆ เพื่อยั่วยุให้ตำรวจ-ทหารใช้กำลังปะทะ สั่งการให้ไล่ล่า “อำมาตย์” ตำรวจ-ทหารไม่กล้าบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเพราะกลัวจะเกิดการนองเลือด แต่ยอมให้ม็อบเสื้อแดงมาแย่งอาวุธไป ภาพอย่างนี้หาดูได้ยากในโลกนี้ ไพร่กับอำมาตย์ใครใหญ่กว่ากันแน่? อำมาตย์คือใคร? บนหน้าปกเอกสาร Voice of Thaksin ของผู้นำไพร่พันธุ์ใหม่ฉบับหนึ่ง มีรูปไพ่ 3 ใบ ใบหนึ่งเป็นตัวแจก รูปอภิสิทธิ์ (นายกรัฐมนตรี) ใบที่สองเป็นรูปตัวควีน พลเอกเปรม (ประธานองคมนตรี) และอีกใบหนึ่งเป็นเครื่องหมายคำถามแทนรูป (?) ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับขบวนการเสื้อแดงเห็นแล้วก็จะรู้ทันทีว่าพวกเขาต้องการให้หมายถึงใคร แถมยังแนะว่าระบอบอำมาตยาธิปไตยกำลังจะสิ้นสุด ใช้คำว่า “อาทิตย์อัสดง” เพราะพวกเขากำลังไล่ล่าอำมาตย์ ความจริงรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค แต่ละพรรคมิได้ทำงานการเมืองแทนผลประโยชน์ของชนชั้นใดโดยเฉพาะ เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทยของทักษิณ แต่พวกเขามิได้เลือกที่จะเป็นไพร่พันธุ์ใหม่ของทักษิณเหมือนพรรคเพื่อไทย เชื่อว่าทุกพรรคก็ไม่อยากยอมรับว่าเป็นอำมาตย์ด้วย ความจริงนักการเมืองทุกพรรคต้องหาเสียงกับคนยากจนซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศและการที่ได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส. ก็เนื่องมาจากได้คะแนนเสียงจากคนทุกเหล่าอาชีพ หรือทุกชนชั้น พรรคที่มี “เงินใช้ผีโม่แป้ง” มาก ก็มีโอกาสที่จะได้คะแนนเสียงมาก จะเรียกว่าเป็นส.ส. ของคนรวยหรือของคนจนก็ลองคิดกันดูเอง ทหารเป็นพวกไพร่หรืออำมาตย์? “กองหนุน” ของคนเสื้อแดงสอนให้คนชิงชังทหารเพราะทหารได้ทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ฉีกรัฐธรรมนูญปี 2540 แต่พวกเขาไม่เคยถามตัวเองว่าก่อนมีรัฐประหาร รัฐบาลทักษิณที่ได้รับเลือกตั้งมาได้ใช้อำนาจเผด็จการในรัฐสภา ฉีกรัฐธรรมนูญไปก่อนแล้วหรือยัง เขาว่าทหารรับใช้อำมาตย์ นายทหารเป็นส่วนหนึ่งของอำมาตย์ ทหารภายใต้การนำของพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา (ผบ.ทบ.) ไม่ยอมปราบม็อบเสื้อเหลือง ในสมัยรัฐบาลสมัคร และรัฐบาลสมชาย (29 มกราคม – 2 ธันวาคม 2551) แต่ทำไมจึงยอมสลายม็อบเสื้อแดงสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ (ในวันสงกรานต์ 2552) พวกเขาสรุปการวิเคราะห์ระบบความมั่นคงของไทยในเชิงชนชั้นว่า ทหารไม่ยอมรับใช้รัฐบาลที่นำโดย “ไพร่” แต่รับใช้อำมาตย์อภิสิทธิ์ เราต้องเข้าใจว่าวงการทหารมีการเปลี่ยนยศ-ตำแหน่ง-ฐานะง่าย จิตสำนึกในการแบ่งแยกเป็นชนชั้นในสถาบันทหารคงไม่เกิด การรับใช้รัฐบาลเป็นหน้าที่ การปกป้องสถาบันกษัตริย์ก็เป็นหน้าที่ตามกฎหมาย ถ้านายทหารคนใดเสี่ยงชีวิตทำรัฐประหาร โค่นล้มรัฐบาลที่ชอบหรือมิชอบด้วยกฎหมายก็ตาม ก็คงจะไม่เกี่ยวกับเรื่องชนชั้น แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเงื่อนไขหรือสถานการณ์ทางการเมืองในแต่ละช่วงเวลามากกว่า ปัญญาชนคนเสื้อแดงจะตัดสินการทำหน้าที่ของทหารโดยไม่ดูข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆ ไป คงจะไม่ถูก เป็นต้นว่า ทำไมทหารไม่ช่วยรัฐบาลสมัคร-รัฐบาลสมชายปราบม็อบเสื้อเหลือง ข้อเท็จจริงในขณะนั้นมีอยู่ว่า (1) รัฐบาลในขณะนั้นเชื่อใจตำรวจมากกว่าทหาร ไม่กล้าเสี่ยงที่จะใช้ทหารปราบหรือสลายม็อบเสื้อเหลือง (2) รัฐบาลในขณะนั้นเลือกใช้คนเสื้อแดงเป็นหน่วยจรยุทธทำการข่มขู่คนเสื้อเหลืองเป็นการแสดงพลัง (3) รัฐบาลในขณะนั้นเป็นรัฐบาลที่มิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งกระบวนการยุติธรรมได้กำลังดำเนินการอยู่ทั้งในเรื่องการยุบพรรค ที่เป็นแกนนำของรัฐบาลและตัวนายกรัฐมนตรี ซึ่งในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญก็ได้วินิจฉัยชี้ขาดให้ยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และให้นายสมัครและนายสมชายพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามวาระต่างกัน ทหารที่ไม่ยอมรับใช้รัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมายนั้นต้องเสี่ยงภัยเอาเอง เพราะอาจต้องโทษขัดขืนคำสั่งผู้บังคับบัญชาได้ อาจถูกปลดหรือถูกย้ายได้ ยิ่งกว่านั้น ถ้าผู้คุมกองทัพจะออกมาให้ความเห็นให้รัฐบาล(ที่ชอบด้วยกฎหมายหรือมิชอบด้วยกฎหมาย) ยุบสภาฯ หรือให้นายกรัฐมนตรีลาออกดีกว่าจะให้ทหารออกมาปราบปรามประชาชนก็ย่อมทำได้ (โดยเสี่ยงภัยเอาเอง) ไม่เกี่ยวกับเรื่องสถานภาพทางชนชั้นของทหารแต่อย่างใด เราจะเห็นว่าภายหลังการปะทะกันระหว่างทหารกับม็อบเสื้อแดงที่ใกล้สี่แยกคอกวัว จนมีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมากเมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน แล้ว พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในทำนองเดียวกัน ซึ่งมีนัยสำคัญว่าทหารเลิกรับใช้การเมือง กลับเข้ากรมกอง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับม็อบเสื้อแดงนั้นได้เปลี่ยนสภาพจากการเมืองเป็นเรื่องความมั่นคงไปแล้ว ตำรวจ อัยการ ศาล ( ศาลยุติธรรม, ศาลปกครอง, ศาลรัฐธรรมนูญ) และองค์กรอิสระ (ปปช., กกต.) เป็นชนชั้นอำมาตย์หรือไม่? พวกเขารับใช้ใคร? บุคลากรในสถาบันดังกล่าว เปลี่ยนตัวไปตามกาลเวลาหรือวาระ คุณวุฒิ วัยวุฒิ ควบคู่กันไปกับระยะเวลาในการรับราชการ สำหรับองค์กรอิสระ ก็มีวาระแน่นอนในการดำรงตำแหน่ง ไม่มีหลักวิชาใดๆ ที่สามารถชี้แนะได้ว่า บุคลากรคนใดหรือสถาบันใดสังกัดชนชั้นใด การที่มีคนเสื้อแดงออกมากล่าวหาองค์กรต่างๆ ที่มีอำนาจหน้าที่ในการธำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมว่าเป็นพวกอำมาตย์ หรือรับใช้อำมาตย์มากกว่าคนยากจน โดยใช้ศัพท์ต่างๆ (สองมาตรฐาน, เสนาภิวัตน์, ตุลาการภิวัตน์ ฯลฯ) ซึ่งมีนัยในเชิงกล่าวหาว่าองค์กรดังกล่าวมีอคติในเชิงชนชั้นนั้นคงไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง ความจริงประเทศไทยมีปัญหามากกว่า “สองมาตรฐาน” ถ้าเรามีเพียงสองมาตรฐานจริง ก็น่าจะมีเฉพาะความถูกและความผิด คนทำถูกเท่านั้นที่จะมีโอกาสอยู่ดีมีสุข แต่คนทำผิดก็ควรจะต้องรับโทษ รับกรรมและรับทุกข์ ปัญหาการทำงานของสถาบันและองค์กรดังกล่าวมีมากกว่า “สองมาตรฐาน” แต่ทั้งหมดไม่ใช่มีพื้นฐานมาจากเรื่องชนชั้นทางสังคม อาจจะเป็นปัญหา “โครงสร้างทางสังคม” ก็ได้ (คำนี้กว้างดี) ฝ่ายหัวเสฯ ของคนเสื้อแดงชอบพูดว่า สถาบันหรือองค์กรดังกล่าวมีอคติต่อต้านทักษิณ พวกเขาคงคิดถึงคดีที่ทักษิณถูกปปช. กล่าวหาว่าซุกหุ้น (พ.ศ. 2544) คดีทักษิณถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาให้ทักษิณต้องโทษจำคุก 2 ปี ศาลฎีกาฯ พิพากษาให้ยึดทรัพย์ทักษิณ 46,373 ล้านบาท โทษฐานร่ำรวยผิดปรกติจากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป (26 กุมภาพันธ์ 2553) คดีศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้ยุบพรรคไทยรักไทย (30 พฤษภาคม 2550) ยุบพรรคพลังประชาชน (2 ธันวาคม 2551) เฉพาะที่ทักษิณถูกฟ้องดำเนินคดีซึ่งยังค้างอยู่ก็มีไม่ต่ำกว่า 10 คดี ส่วนคดีที่คนเสื้อเหลืองถูกฟ้อง (มากกว่า 200 คดี) นั้น ไม่มีอะไรคืบหน้า หรือคืบหน้าน้อยมาก คนเสื้อแดงสรุปว่าสถาบันและองค์กรดังกล่าวมีอคติต่อต้านทักษิณ ขวัญใจของคนจน โดยไม่แยกแยะว่าผลประโยชน์ของทักษิณกับของคนจนแตกต่างกันอย่างไร เหตุที่ทำให้คนเสื้อแดงรู้สึกเช่นนั้นเพราะพวกเขาลืมคิดไปว่า ทักษิณและคนเสื้อแดงได้ทำผิดกฎหมายมากผิดปรกติ เรื่องที่ยังไม่มีการดำเนินคดีก็มีอีกมาก เช่นคดีซุกหุ้น (1) ปี 2544 มีกรณีแจ้งความหรือให้การเท็จต่อเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาก็ยังไม่มีตำรวจหรืออัยการที่ไหนได้ริเริ่มดำเนินคดี ที่มีข่าวอื้อฉาวว่ามีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 1-2 คนรับสินบนในคดีนั้น ผู้ให้สินบนหรือผู้รับสินบนก็ยังไม่ถูกดำเนินคดี คดีทักษิณร่ำรวยผิดปรกติในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น นอกเหนือจากหุ้นบริษัทชินคอร์ปแล้ว ยังมีส่วนที่ร่ำรวยผิดปรกติอีกไม่ต่ำกว่า 7 หมื่นล้านบาท (เอาจำนวนทรัพย์สินที่มีอยู่จริงทั้งที่เปิดเผยและซุกไว้ในประเทศและต่างประเทศ ในวันที่พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี วันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นตัวตั้งลบด้วยจำนวนทรัพย์สินที่แจ้งไว้ต่อ ปปช.เมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยแรก คือวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2544) ก็ยังไม่มีใครดำเนินคดี คดีที่ทนายความของทักษิณให้สินบนเจ้าหน้าที่ศาลฎีกาฯ 3 ล้านบาท ก็เงียบหายไป การให้ประกันตัว ทักษิณ และอนุมัติให้เดินทางออกนอกประเทศ ก็ไม่มีใครเอาเรื่องว่าอัยการทำสำนวนคัดค้านการประกันตัวอ่อน หรือศาลบกพร่องปล่อยให้ทักษิณประกันตัว-ออกนอกประเทศและหนีคุกไปทำร้ายประเทศไทยจากต่างประเทศ เกี่ยวกับการดำเนินคดีกับแกนนำคนเสื้อแดง ตั้งแต่วันสงกรานต์ ปี 2552 นั้น ในจอทีวีมีใครบ้างที่มองไม่เห็นว่าผู้ร้ายที่ไล่ล่านายกรัฐมนตรี และเลขาธิการนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นใคร พวกเขาได้ร่วมมือกันรุมทุบรถยนต์ทำลายทรัพย์สมบัติของหลวงอย่างอุกอาจเหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อแป มีการจับหรือไม่จับตัวคนร้ายที่เห็นตัวกันชัดๆ มาลงโทษกันแล้วกี่คน เฉพาะที่จับได้ไม่กี่คนศาลก็ให้ประกันตัวออกไปทำร้ายประเทศไทยอย่างต่อเนื่องอีก การกระทำอย่างนี้เป็นพฤติกรรมของคนในระบอบ “บาทาธิปไตย” ไม่ใช่ “ประชาธิปไตย” ตามที่พวกเขาเรียกร้องแน่นอน ตำรวจ อัยการทำอะไรกันอยู่ หรือเป็นความบกพร่องซ้ำซากของศาลที่ให้ประกันตัวคนร้ายออกไปทำร้ายประเทศไทยให้บอบช้ำยิ่งๆ ขึ้น ที่กล่าวมานี้ ยังต้องการชี้ให้เห็นด้วยว่า สถาบันและองค์กรเหล่านี้ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ต่างกันนั้นมิได้ทำตามอำนาจหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์ เกี่ยวกับการดำเนินคดี คนเสื้อเหลืองด้วย (ที่ฟ้องร้องแล้วแต่คืบหน้าช้ามากกว่า 200 คดี) การที่คนเสื้อแดงยกเอาเรื่องนี้มาโจมตีรัฐบาลก็คงไม่ยุติธรรมนัก ประการแรกตำรวจในกรุงเทพฯที่มีอยู่ถูกระดมมาดูแลปัญหาที่พวกคนเสื้อแดงสร้างขึ้นทั้งวันทั้งคืน ประการที่สอง รัฐบาลอภิสิทธิ์-สมชาย-สมัคร ทำงานเหมือนกันคือไม่ยอมเร่งคดีที่ฝ่ายตนหรือพรรคพวกของตนตกเป็นผู้ต้องหา แต่ก็คงจะมียางอายเหลืออยู่บ้างที่ไม่กล้าไปเร่งคดีที่ผู้ต้องหาเป็นฝ่ายตรงกันข้าม หรือไม่ก็เพราะกลัวจะถูกกล่าวหาว่าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ถ้าข้อสังเกตที่กล่าวมาแล้วไม่ผิด การวิเคราะห์องค์กรหรือสถาบันดังกล่าวในเชิงชนชั้นจึงเป็นเรื่องอารมณ์มากกว่าเหตุผล การกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นอำมาตย์หรือรับใช้อำมาตย์ก็ไร้เหตุผล แต่เงินอาจจะ “จ้างผีโม่แป้งได้” คนร่ำรวยมีเงินมากก็ดี คนมีเส้นสายต่อถึงผู้มีอำนาจหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมก็ดี อาจทำให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ทำหรือไม่กระทำตามหน้าที่ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะเรื่องการเมืองหรือการชุมนุมทางการเมืองในไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้เท่านั้น คดีบุคคลสำคัญที่ถูกเตะถ่วงให้ล่าช้าเนิ่นนานไปจนหมดอายุความไปก็มีมาก จนผู้ต้องหาหรือจำเลยตายไปก่อนต้องโทษจำคุกก็มีไม่น้อย เจ้าพนักงานที่ประพฤติมิชอบเช่นนี้ อาจจะทำหรือละเว้นการกระทำเพราะรับสินบนหรือมีเส้นสายหรือเหตุผลอื่นๆ จะต้องดูเป็นกรณีๆ ไป แต่คงไม่ใช่เพราะพวกเขามีจุดยืนอยู่ข้างฝ่าย “อำมาตย์” หรือฝ่าย “ไพร่พันธุ์ทักษิณ” ตามที่มีการกล่าวหากันมาก ระบบความยุติธรรมของไทยด้อยพัฒนาจริงๆ ไม่เกี่ยวกับชนชั้นหรือ “สองมาตรฐาน” แต่ประการใด ⤴︎ |
Vertical Divider
สงครามชนชั้นในไทย?
เมื่อ Marx และ Engels พูดถึงสงครามชนชั้นของสังคมอุตสาหกรรมในยุโรป ว่ามันเป็นการพัฒนาของสังคมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พวกเขาไม่ได้บอกว่าปล่อยให้มันพัฒนาไปตามธรรมชาติของระบบทุนนิยม กลับแนะว่าเราเร่งระยะให้เร็วขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ ท่านปลุกปั่นให้ “ผู้ใช้แรงงานทั่วโลก จงสามัคคีกัน ท่านไม่มีอะไรที่จะสูญเสีย นอกจากโซ่ตรวน” (ดู Communist Manifesto, ใน Essential Works of Marxism, New York: Bantam Books, 1961, p.44) หมายความว่า ถ้าเงื่อนไขของสังคมยังไม่สุกงอม ท่านจะใช้วิธีอะไรก็ตามที่สร้างเงื่อนไขต่างๆเพื่อให้สุกงอมแล้ว คอมมิวนิสต์ก็ได้โอกาสออกมานำขบวนการปฏิวัติทำให้เป็นสังคมคอมมิวนิสต์ตามเป้าหมาย เลนินและสตาลินใช้กลยุทธ์นี้ทำรัสเซียให้เป็นคอมมิวนิสต์ เหมาเจ๋อตุงปฏิวัติในจีนได้สำเร็จก็ต้องอาศัยการเร่งรัดความขัดแย้งภายในและสงครามกับญี่ปุ่นเป็นปัจจัยช่วย และใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ปัจจัยเรื่องชนชั้นที่แท้จริงมีส่วนส่งเสริมความสำเร็จน้อยมาก ทั้งในรัสเซีย จีนและประเทศคอมมิวนิสต์อื่นๆ ในประเทศไทย ตั้งแต่ทักษิณถูกทำรัฐประหารโค่นล้มอำนาจไปเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ทักษิณและพรรคพวก ต้องการต่อสู้เพื่อทวงอำนาจคืน จึงต้องใช้กลยุทธ์ทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย ผู้ร่วมงานใกล้ชิดของเขาหลายคนเคยเข้าไปร่วมงานกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พวกเขาคงจะได้ศึกษากลยุทธ์การปฏิวัติคอมมิวนิสต์จีนและเอามาเป็นแนวทางการปฏิวัติในไทย เงื่อนไขอย่างหนึ่งที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำอย่างได้ผลคือ จุดประเด็นเอาใจคนจนมาเป็นพรรคพวก แพร่กระจายความรู้สึกต่อต้านชนชั้นกลางและชนชั้นสูง ทักษิณและคณะเป็นคนที่รู้ปัญหาของสังคมไทย โครงสร้างอำนาจทางการเมืองและพลังอำนาจมืดและสว่างต่างๆ ของสังคมดี พวกเขาเป็นคนฉลาดรู้จักใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาชนะศัตรูหรือคู่แข่ง ทักษิณได้สะสมเงินทุนในการทำการต่อสู้กับศัตรูไว้เป็นจำนวนมากด้วยวิธีการทั้งสุจริตและทุจริต ยุทธศาสตร์ที่ทักษิณและพรรคพวกของเขาใช้เพื่อเอาชนะศัตรูในคราวนี้มีทั้งที่เกี่ยวกับชนชั้นและปัจจัยเสริมอื่นๆ ในที่นี้ จะกล่าวเฉพาะส่วนที่เกี่ยวพันกับสงครามชนชั้น ซึ่งทักษิณและพรรคพวกนำมาใช้รณรงค์โค่นล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ ดังนี้ (1) ใช้คนเสื้อแดงเป็นหัวหอกในการทำลายเสถียรภาพของรัฐบาล ระดมคนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อแสดงต่อชาวโลกว่า ทักษิณยังมีคนนิยมและมีฐานอำนาจอยู่ในประเทศ พวกเขาได้อาศัยความอ่อนแอของเจ้าพนักงานผู้บังคับใช้กฎหมายของสังคมไทย ปรับปรุงวิธีการชุมนุมประท้วงรัฐบาลของคนเสื้อเหลือง ระดมม็อบเสื้อแดงป่วนกรุงเทพฯ เป็นครั้งคราว หน้าฉากทำการชุมนุมโดยสันติตามรัฐธรรมนูญ หลังจากมีกองกำลังติดอาวุธ และวางระเบิดข่มขู่รัฐบาลและประชาชนเกือบทุกวันตลอดระยะเวลาการชุมนุมตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม จนถึงวันที่เขียนนี้ (20 เมษายน) ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า ม็อบเสื้อแดงที่ชุมนุมกันอย่างต่อเนื่องนั้น ไม่ใช่เป็นการชุมนุมโดยชอบด้วยกฎหมายตามหลักสากล เพราะส่วนใหญ่เป็นม็อบรับจ้าง ครั้งที่มีการชุมนุมกันมากถึง 100,000 คน ประมาณว่ามีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยวันละ 200 ล้านบาท 100 ล้านบาท สำหรับเป็นค่าจ้างคนชุมนุม อีก 100 ล้านบาท สำหรับค่าจ้างรถยนต์ รถกระบะ รถจักรยานยนต์ อุปกรณ์การชุมนุมและการบริหารการจัดการ รวมถึงการทำประชาสัมพันธ์ด้วย ทั้งนี้ไม่รวมรายจ่ายของสถานีโทรทัศน์ PTV สถานีวิทยุชุมชนทั่วประเทศอีกมากมาย ทักษิณมีเงินเหลือจากการเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วร่ำรวยผิดปรกตินอกจากที่ได้จาก บริษัทชินคอร์ป ที่ถูกยึดไปแล้ว เฉพาะส่วนที่ยังไม่มีใครฟ้องอีกประมาณ 70,000 ล้านบาท หมายความว่าทักษิณสามารถจ้างคนทำร้ายประเทศไทยได้ประมาณ 350 วัน ไม่มีใครอื่นแล้วในโลกนี้ที่โกงประเทศของตนได้มากเท่าทักษิณ และไม่มีใครอื่นแล้วในโลกนี้ที่ได้ทำร้ายประเทศของตนได้เจ็บปวดเท่ากับทักษิณ (2) ทักษิณและพรรคพวกรู้จักใช้สื่อมวลชนและเทคโนโลยีสมัยใหม่ส่งเสริมขบวนการปฏิวัติของตน เขามีประสบการณ์ในการใช้ ITV ส่งเสริมพวกเขาให้ขึ้นไปกุมอำนาจรัฐและรู้ดีว่า สื่อมวลชนจำพวกโทรทัศน์และวิทยุสำคัญเพียงใด จึงลงทุนจัดตั้ง PTV และเคเบิลทีวี ขึ้นและจัดตั้งสถานีวิทยุชุมชนขึ้นทั่วประเทศมากมาย เพื่อเป็นปากเสียงของขบวนการคนเสื้อแดง นอกจากนั้นพวกเขามีเทคนิคในการแย่งพื้นที่ ในสื่อมวลชนไทย เพราะโดยหลักการสื่อมวลชนในระบอบประชาธิปไตย ต้องเสนอข่าวเป็นกลาง แต่หนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์จำนวนมากมักเข้าใจผิดๆ คิดว่าถ้ามีคนสองฝ่ายโต้เถียงกัน ต้องแพร่ข่าวของทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน ฝ่ายตัวโกงใช้ผรุสวาจา หรือใส่ร้ายป้ายสี หรือโกหกพกลม ก็ต้องแพร่ให้ทั้งหมด ฝ่ายสื่อของรัฐซึ่งมีระเบียบวินัยในการเสนอข่าวเข้มงวดกว่า ก็จะได้พื้นที่น้อยกว่า สงครามแย่งชิงพื้นที่ในสื่อระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดง ฝ่ายเสื้อแดงเป็นฝ่ายรุกมากกว่า จึงได้พื้นที่มากกว่า ฝ่ายเสื้อแดงยังมีความสามารถในการแพร่ข่าวที่บิดเบือนให้ตื่นเต้นได้มากกว่าด้วย (3) ทักษิณและแกนนำคนเสื้อแดงเป็นคนพันธุ์เดียวกับ Hitler กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงโฆษณาการของเขา Joseph Goebbels ในขณะที่ Hitler กุมกลไกของรัฐได้ เขามีคนเลือดร้อนพูดจาโผงผาง โกหกสมจริง กริยา-ฝีปาก ชวนฟัง-ชวนชม-ชวนเชื่อ อย่างจอมยุทธทางฝีปากคือนาย Goebbels. แม้ทักษิณสูญเสียอำนาจรัฐไปแล้ว แต่ก็ยังสามารถใช้เงินไม่อั้นสร้างเวทีม็อบเสื้อแดงขึ้นมา และใช้เวทีนี้ ถ่ายทอดพฤติกรรมและวาทกรรมของทักษิณ (โดยโฟน-อิน วีดีโอลิงค์) และแกนนำคนเสื้อแดง พวกนี้ มีพรสวรรค์พิเศษในการพูดเท็จให้สมจริง มีศิลปะในการใส่ร้ายป้ายสีคนที่เป็นศัตรู มีความสามารถพิเศษในการปั้นเรื่องสร้างเครดิตให้ฝ่ายตนและทำลายความน่าเชื่อถือของศัตรู มีพรสวรรค์ในการปลุกเร้าใจฝูงชนให้หึกเหิม ก้าวร้าว บ้าบิ่นและรุนแรง ผ่านเครือข่ายสื่อมวลชนคนเสื้อแดงและดึงดูดสื่อมวลชนในระบบเสรีของรัฐบาลเอาไปถ่ายทอดต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเขาใช้จิตวิทยามวลชนทำสงครามจิตวิทยากับประชาชนและรัฐบาลไทย โดยพูดจาบจ้วงใส่ร้ายป้ายสี “อำมาตย์” ซ้ำซาก จนในที่สุดชาวบ้านและชาวแฟลตที่รับจ้างมานั่งหน้าเวทีก็ค่อยๆถูกล้างสมองคล้อยตามไปด้วย (4) ทักษิณและคนเสื้อแดงมีความสามารถสร้างภาพลักษณ์ให้ทักษิณว่าเป็นคนเก่ง ทำเศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้น ทำให้คนระดับรากหญ้าลืมตาอ้าปากได้ ด้านนี้เขาใช้สื่อมวลชนแพร่ข่าวความเก่งของทักษิณตั้งแต่เขายังอยู่ในอำนาจ ไม่มีใครกล้าพูดตรงๆว่าที่เขาเก่งจริงคือเก่งในการโกง แต่คนเก่งจริงๆทำแล้วจะต้องมีแผ่นดินอยู่ คนเก่งเพื่อทำประโยชน์ให้แก่ประชาชนจริงเมื่อพูดแล้วจะต้องทำได้ตามพูด ตอนยังไม่ได้เป็นรัฐบาลบอกว่าจะแก้ปัญหาจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ ให้ได้ภายใน 6 เดือน แต่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างมีอำนาจเบ็ดเสร็จถึง 5 ปี 7 เดือน ( 17 กุมภาพันธ์ 2544 - 19 กันยายน 2549 ) ภาวะรถติดในกรุงเทพฯหนักยิ่งกว่าเดิม โครงการ “30 บาท รักษาได้ทุกโรค” ถึงคนไทยในระดับรากหญ้าจริง แต่นั่นเป็นการเอาเงินภาษีของราษฎรไปซื้อเสียงจากคนรวยและคนจน แล้วทักษิณรวยจากโครงการนี้เป็นเงินเท่าไรไม่มีใครบอกบนเวทีคนเสื้อแดง ทักษิณซื้อหุ้นโรงพยาบาลเอกชนมารองรับเงินเข้ากระเป๋าส่วนตัวเท่าไรก็ไม่มีใครบอก (5) ทักษิณและแกนนำคนเสื้อแดงใช้วิธีการโฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยเห็นใจเขาในเรื่องต่างๆที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม องค์กรอิสระ และกลไกในกระบวนการยุติธรรมดำเนินคดีต่อเขาอย่างไม่เป็นธรรม อะไรที่เขาถูกวินิจฉัยหรือพิพากษาว่ามีความผิดล้วนแต่ไม่ยุติธรรม เขาและพรรคการเมืองของเขาถูกรังแกข่มเหง เขาเป็นไพร่พวกเดียวกับคนจน ฯลฯ เขาไม่ยอมรับใช้ “อำมาตย์” แต่ยินดีจะรับใช้ “ไพร่” เขาต้องการปลุกระดมคนไทยผู้อ่อนแอจำนวนมากที่เคยไม่ได้รับความเป็นธรรมจากอำนาจรัฐสร้างกระแสให้พวกนี้เคียดแค้นรัฐบาลปัจจุบันโดยมีอารมณ์ร่วมกับคนเสื้อแดง (6) คนเสื้อแดงจัดการชุมนุมใหญ่ครั้งล่าสุดนี้ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุบสภาผู้แทนราษฎร เลือกตั้งใหม่ คืนอำนาจให้ประชาชน พวกเขาพยายามชี้แนะต่อประชาชนว่า ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ถ้ารัฐบาลไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้อง แสดงว่ารัฐบาลนี้ไม่เชื่อใจคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนยากจน พวกเขาเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยของทักษิณจะต้องชนะการเลือกตั้ง เพราะมีเงินซื้อเสียงและแจกหัวคะแนนมากกว่าพรรคอื่นๆรวมกันหลายสิบเท่า แต่แกนนำม็อบเสื้อแดงปกปิดเจตนาที่แท้จริงว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแล้วจะหาทางแก้รัฐธรรมนูญทำให้ทักษิณและพรรคพวกพ้นโทษและกลับมาเป็นใหญ่ในแผ่นดินมากกว่าจะช่วยคนยากจน จึงไม่สามารถอธิบายให้คนเข้าใจได้ว่า ยุบสภาฯ - เลือกตั้งใหม่เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากจนอย่างไร และที่สำคัญเมื่อกติกาการยุบสภามีกำหนดไว้แล้วในรัฐธรรมนูญ ม็อบเสื้อแดงซึ่งมีไม่ถึง หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของประชากรผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง สามารถเปลี่ยนกติกาที่กำหนดไว้แล้วในรัฐธรรมนูญหรือ (7) คนเสื้อแดงเรียนกลวิธีการปฏิวัติจากจีนคอมมิวนิสต์ซึ่งได้ผลดี นั่นคือจุดประเด็นเอาใจคนจนมาเป็นพรรคพวก เผยแพร่กระแสความรู้สึกต่อต้านชนชั้นสูงและชนชั้นกลางเช่น บอกว่า หมาของคนรวยในเมืองอยู่ดีกินดีกว่าคนในชนบท ความจริงข้อนี้ จะพูดกันในประเทศไทยก็ไม่ผิดความจริง แต่พวกคนเสื้อแดงจะทันสมัยกว่าพวกนิยมเหมาในจีนเสียอีก กล่าวคือเมื่อพวกเขาปลุกระดมคนชนบทให้เอารถอีแต๋น-รถแทรกเตอร์ เข้ากรุงเทพฯ ร่วมการชุนนุมต่อต้านรัฐบาล แต่ถูกทางการห้ามตามพ.ร.บ.การจราจร คนเสื้อแดงเอาเรื่องนี้ไปยุแหย่ให้คนชนบทเกลียดชังรัฐบาลอำมาตย์ที่ดูถูกคนจนในชนบท เรื่องนี้ฟังดูผิวเผินแล้วดูเหมือนจะน่าเชื่อ คนทั่วไปลืมคิดไปว่าคนชนบทที่มีรถอีแต๋นก็ดี รถแทรกเตอร์ก็ดี ปรกติไม่ใช่คนยากจน แต่เป็นคนรวยชนบทที่เป็นหัวคะแนนให้นักการเมืองได้เป็นอย่างดี เรื่องการหาคะแนนนิยมโดยวิธีการยุแยกให้แตกร้าวกันนี้ ในประเทศไทยทำกันได้ ปัจจุบันคนนิยมใช้เสรีภาพโดยขาดความรับผิดชอบกันมากขึ้น ถ้าจะผิดกฎหมายบ้างก็รู้กันทั่วไปว่า ตำรวจไม่เอาเรื่องแต่ในประเทศที่เจริญแล้ว การแพร่ข่าวปลุกปั่นให้คนเกลียดชังกัน หรือการยุยงให้คนในสังคมมีความขัดแย้งกันหรือแตกแยกกัน จะถูกลงโทษอย่างหนัก (8) สื่อมวลชนของคนเสื้อแดงและสื่อมวลชนที่อยากได้ภาพพจน์ที่วางตัวเป็นกลางในความขัดแย้ง พยายามสร้างภาพว่าตนเห็นใจคนจนและคนเสื้อแดง (โดยถือว่าเป็นพวกเดียวกัน) โฆษณาว่าคนเสื้อแดงเป็น “ชนชั้นล่าง” เป็นคนยากจน ถูกคนกรุงเทพฯชนชั้นกลาง และชนชั้นสูงดูถูก บางรายสรุปโดยขยายความเอาว่า คนชั้นล่างมีจิตสำนึกเกลียดชังคนกรุงเทพฯ ชนชั้นกลางและชนชั้นสูงมากขึ้น ดูเหมือนจะวิเคราะห์ตามแนวความคิดของลัทธิมารกซ์-เหมาว่าสำนึกทางชนชั้นได้เกิดขึ้นแล้วในสังคมไทย ความจริงมีอยู่ว่าเราไม่รู้ว่าคนจนหรือคนรวยที่มีจุดยืนเข้าข้างคนจนที่มีสำนึกเกลียดชังคนรวยมีอยู่กี่เปอร์เซ็นต์ แต่ก็เป็นไปได้อย่างมากว่าเมื่อมีคนออกมาชูประเด็นมากๆ รวมทั้งนักสังคมวิทยาที่เห็นใจคนจนก็ออกมาพูดในเชิงสนับสนุนด้วยแล้ว ความสำนึกทางชนชั้นในหมู่คนจนก็จะเพิ่มมากขึ้น ไม่มีใครออกมาเตือนภัยให้คนจนจริงๆทราบว่า การเอาตัวเข้าไปเติมพลังให้ขบวนการปฏิวัติของทักษิณแล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร (9) เพื่อให้เป็นรูปธรรมชัดเจนยิ่งขึ้น คนเสื้อแดงแบ่งชนชั้นในไทยเป็น “ไพร่” และ “อำมาตย์” ทักษิณประกาศตัวผ่านวีดีโอลิ๊งค์มาบอกม็อบเสื้อแดงว่า เขาเป็น “ไพร่” เห็นภาพจากจอโทรทัศน์แล้วชวนให้คิดถึง “Hi...Hitler” ฮิตเลอร์คนมีบารมีเหนือคนในยุคนั้น สามารถนำคนเยอรมันให้เชียร์เขาอย่างคลั่งไคล้จนนำประเทศไปสู่ความหายนะ ทักษิณประกาศว่า คนเสื้อแดงเป็นชนชั้นไพร่ ตัวเขาเองก็เป็นไพร่ ม็อบเสื้อแดงพากันดีใจ ชูป้ายแดงรูป “เรารักทักษิณ” โบกย้ายไปมาก็มี ตบป้ายรูปฝ่าเท้าตะโกนส่งเสียงเชียร์ชัยโยโห่หิ้วก็มาก พวกนายว่าขี้ข้าพรอย ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายทหารยศ พลเอก พลโท ฯลฯ ที่เกษียณอายุราชการแล้วและเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยแล้ว พากันสมัครเป็น “ไพร่” กันเป็นทิวแถว แต่ความจริงใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อเหมือนเป็น “อำมาตย์” มีที่ไหนในโลกนี้ที่ไพร่ เป็นนายกรัฐมนตรี เลี่ยงกฎหมายเอาหุ้นไปซุกไว้กับคนใช้ คนขับรถ คนสวนจนเกิดเป็นคดี อื้อฉาวในการเมืองไทย ยังมีหุ้นและทรัพย์สินอีกมากมายที่ไปซุกไว้ในต่างประเทศโดยไม่แจ้งทรัพย์สินตามกฎหมาย เมื่อต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องหนีคุกออกไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ยังมีเครื่องบินส่วนตัวใช้ ยังมีเหมืองทองแดงอยู่ในแอฟริกาใต้ และยังมีเงินหลายหมื่นล้านบาทสนับสนุนม็อบเสื้อแดงให้ทำประเทศไทยให้ปั่นป่วนดังที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ (10) ทักษิณโฆษณาหาเสียงกับคนไทยว่าเขาไม่ยอมรับใช้ “อำมาตย์” จึงถูกยึดอำนาจ เขาต้องการรับใช้ไพร่ จึงไม่ได้รับความเป็นธรรม ปัญหาของคนเสื้อแดง คือ พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะรู้ว่าที่ทักษิณถูกยึดอำนาจนั้นเพราะ เขาได้ใช้เงินซื้อเสียงในการเลือกตั้ง ซื้อตัวส.ส. ซื้อพรรคการเมืองหลายพรรค ใช้อำนาจเผด็จการแทรกแซงกระบวนการ ยุติธรรม องค์กรอิสระ และฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างโจ่งแจ้ง ซึ่งเท่ากับเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญไปโดยพฤตินัย ก่อนถูกยึดอำนาจเสียอีก (11) ม็อบเสื้อแดงย้ายเวทีชุมนุมใหญ่จากถนนราชดำเนินมาชุมนุมปิดธุรกิจย่านราชประสงค์ และประกาศขู่ว่าจะปิดธุรกิจถนนสีลมด้วย แต่ที่ทำจริงๆนั้นคือปิดราชประสงค์ (ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน เป็นต้นมา) ดูอย่างผิวเผินอาจถือว่าเป็นการทำสงครามระหว่างชนชั้น สองแห่งนี้เป็นย่านคนรวยแทนชาวกรุง ใช้เป็นประเด็นปลุกกระแสสำนึก “ม็อบเสื้อแดง” ได้ดี ใช้ความรวย-ความจนเป็นปฎิปักษ์ต่อกัน ใช้อารมย์ทางชนชั้นกลบเกลื่อนจิตสำนึกของคนไทยให้ละเลยความเห็นอกเห็นใจของประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งๆที่มิได้เป็นคู่ขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม เหตุผลส่วนลึกที่พวกเขาปิดราชประสงค์ อาจจะเป็นเพราะเจ้าของกิจการใหญ่ๆ บริเวณราชประสงค์เผอิญเป็นผู้ที่สนับสนุนทางด้านการเงินของพรรคประชาธิปัตย์และพลเอกเปรมมากกว่าเหตุผลอื่นและการที่ม็อบเสื้อแดงอยากจะไปปิดถนนสีลมด้วยนั้น ก็เพราะนั่นเป็นแหล่งธุรกิจคนรวยเช่นกัน ที่สำคัญคือบริเวณที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด อันมีพลเอกเปรม เป็นที่ปรึกษาอยู่ นี่คือการต่อสู้ระหว่างชนชั้นแบบไทยๆที่แท้จริง ศัลยา ประชาชาติ วิเคราะห์ไว้ในมติชนสุดสัปดาห์ (9-15 เมษายน 2553, น.12) อย่างน่าฟังว่า “วันนี้ถ้าหากเซ็นทรัลเวิลด์ ยังเป็นสมบัติของนาย วิรุฬ เตชะไพบูลย์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย อดีต รมช.พาณิชย์ คนใกล้ชิดพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ พรรคเพื่อไทย อาจไม่เห็นการบุกยึด “ราชประสงค์”เกิดขึ้น” (12) กล่าวโดยสรุป “สังคมชนชั้น” ในไทยขนานเทียมได้เกิดขึ้นแล้ว “ไพร่พันธุ์ทักษิณ”เป็นไพร่เทียม “รัฐบาลอำมาตย์”ที่คนเสื้อแดงเรียกรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็เป็นเพียงชื่อที่คู่ปฏิปักษ์ป้ายสีตั้งขึ้น เพื่อเป็นเป้าในการต่อสู้เท่านั้น ไพร่เทียมพันธุ์ทักษิณมิได้เกิดจากชนชั้นทางสังคม หรือความเหลื่อมล้ำต่ำสูงในด้านฐานะหรือแม้กระทั่งความรู้สึกร่วมในด้านอุดมการณ์ แต่คนเสื้อแดงที่รวมกลุ่มกันได้จำนวนนับหมื่นนับแสนนั้น ถ้าไม่มีผู้อุปถัมภ์ที่ใช้อำนาจเงิน (ที่โกงมาจากคนไทย) เลี้ยงไพร่พลไว้จำนวนมากนอกระบบตั้งแต่สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วแจก-จ่ายกันมาช่วยทวงอำนาจคืน ดังที่เห็นกันอยู่ ม็อบเสื้อแดง ก็คงไม่เกิดหรือถ้าจะเกิดก็ไม่โตได้ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทักษิณมีบทบาทสำคัญในการสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งกันของคนไทยในชนบท ใช้นโยบายประชานิยมเข้าไปกระตุ้นให้คนเกิดกิเลศในการเสพวัตถุ พร้อมกับให้สัญญาหรือหลอกล่อประชาชนว่าจะให้อะไรต่างๆมากมาย ทำให้คนชนบทเกิดความคาดหวังและตื่นตัวในการเรียกร้องผลประโยชน์ให้แก่ตนเองมากขึ้น ความไม่พอใจขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อความคาดหวังไม่เกิดขึ้นให้เห็นทันตา ภายหลังอำนาจรัฐได้เปลี่ยนขั้ว เปิดโอกาสให้ทักษิณผู้สูญเสียอำนาจสร้างเวทีคนเสื้อแดงและเครือข่ายการประชาสัมพันธ์ขยายความขัดแย้งให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ รวมทั้งเอาเรื่องชนชั้นทางสังคมมาส่งเสริมความขัดแย้งให้รุนแรงมากขึ้น สงครามชนชั้นขนานเทียมจึงเกิดขึ้นดังที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ คนเสื้อแดงภายใต้การนำของทักษิณได้ประสบความสำเร็จแล้วในการสร้างปัจจัยสำคัญในการปฏิวัติ 3 ประการ ตามทฤษฎีของเหมา นั่นคือ พรรคการเมือง (ไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย) มวลชน (คนเสื้อแดงจากหลายชนชั้น) และกองกำลังติดอาวุธ (ที่อารักขาแกนนำเสื้อแดงและวางระเบิดข่มขวัญฝ่ายรัฐบาลอยู่เกือบทุกวัน) ความจริงสิ่งที่ทักษิณประกาศว่าจะปลดแอกไพร่ให้เป็นอิสระจากระบอบอำมาตยาธิปไตยนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าการเปลี่ยนความจงรักภักดีจาก “อำมาตย์” (ที่ทนการโกงกินชาติของทักษิณไม่ไหว) มาเป็นจักรพรรดิราชวงศ์ใหม่ นั่นคือที่มาของคำขวัญที่ว่า “อำมาตยาธิปไตยจงพินาศ” และ“ประชานิยมทักษิณจงเจริญ” ที่ม็อบเสื้อแดงชูป้ายให้สื่อมวลชนถ่ายไปเผยแพร่อย่างกระตือรือร้นหน้าเวทีชุมนุมม็อบเสื้อแดง ปัญหาและลู่ทางของคนยากจนในสังคมไทย คนไทยที่พูดถึงชนชั้นและ การต่อสู้ระหว่างชนชั้นในสังคมไทยนั้น ได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิมารกซ์-เลนิน-เหมา รัสเซียและจีนได้เอาปัญหาเรื่องชนชั้นในประเทศของพวกเขามาชู เป็นประเด็นหนึ่งในหลายๆประเด็นสำหรับใช้โค่นล้มอำนาจเก่าที่มีอยู่จนประสบผลสำเร็จ เมื่อยึดอำนาจได้แล้ว ผู้นำการปฏิวัติในประเทศคอมมิวนิสต์เหล่านั้น ได้สิทธิปกครองประเทศอย่างเผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ แต่ภายหลังที่พวกเขาได้อำนาจแล้ว ไม่นานพวกเขาก็เลิกพูดถึงเรื่องชนชั้นในสังคมอีกต่อไป การที่มีแกนนำคนเสื้อแดง สื่อมวลชน และปัญญาชนเอาเรื่องความยากจนของคนไทยในชนบทมาพูดนั้นเป็นเรื่องดี เพราะนี่เป็นปัญหาสำคัญของชาติที่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยชอบพูดแต่ไม่มีใครทำจริง ด้วยเหตุนี้นโยบาย ประชานิยมของรัฐบาลทักษิณ (เช่น 30 บาทรักษาได้ทุกโรค) แม้จะมีส่วนที่ “ช่วยเถือ” แฝงอยู่ด้วย ชาวบ้านก็มองไม่เห็น ถ้าจะมองทักษิณในแง่ดี เราต้องให้ความชอบเขาในฐานะทำให้พวกคนจนตื่นตัวและเกิดจิตสำนึกในการเรียกร้อง (แม้จะเป็นการเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือในลักษณะพึ่งพาก็ตาม) คนจน-คนชนบทโดยทั่วไปเป็นคนดี – บริสุทธิ์และมีเกียรติ (คนที่ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้างไปรับใช้นักการเมืองที่สกปรกจะมีเกียรติยิ่งขึ้น) และได้ถูกรังแก - ขูดรีดตลอดมาตามครรลองของระบบทุนนิยมสามานย์ สังคมต้องยอมรับความจริงตามที่ ดร.อัมมาร์ สยามวาลา ได้ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างถูกต้องว่า คนรวยได้สร้างปัญหาให้ชาติแก้มากกว่าคนจน อาจจะไม่ผิดที่จะเพิ่มเติมเข้าไปอีกนิดว่า คนเมืองได้ดึงดูดเอาทรัพยากรธรรมชาติมาสะสมไว้ในเมืองอย่างคลั่งไคล้ ถึงเวลานานแล้วที่ทรัพยากรของชาติ ควรจะถูกถ่ายเทจากเมืองกลับไปสู่ชนบท แต่เราต้องเข้าใจว่าวิธีการจัดสรรทรัพยากรของชาติไปสู่ชนบทให้เป็นธรรมและยั่งยืนนั่นไม่ใช่นโยบายประชานิยมสามานย์โดยเอาเงินของรัฐไปแจกเป็นการให้ทานหรือซื้อเสียงเป็นหลัก แต่ต้องสร้างคุณภาพของคนชนบทในด้านภูมิปัญญาในการประกอบอาชีพ การจัดการ การตลาดและการมีส่วนร่วมในการตัดสินปัญหาสังคมระดับท้องถิ่นและระดับชาติ คนไทยทุกหมู่เหล่ารวมทั้งคนเสื้อแดงควรเข้าใจว่าทักษิณและแกนนำม็อบเสื้อแดงนั้นมิได้เป็นคนยากจนทั้งในรูปธรรมและนามธรรมแต่ประการใด การที่เรียกร้องให้ยุบสภาฯ นั้นเป็นผลประโยชน์ของทักษิณและพรรคพวก แต่ไม่ใช่ผลประโยชน์ของคนยากจนที่แท้จริงแต่ประการใด ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยที่มีอำนาจมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยนานถึง 5 ปี 7 เดือน และเป็นเจ้าของพรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน-เพื่อไทย มาจนถึงบัดนี้ สิ่งที่เขาทำแก่ชาติบ้านเมืองชัดเจนที่สุดคือ ความแตกแยกภายในประเทศตั้งแต่ครอบครัวจนถึงระดับชาติดังที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ถ้าเขากลับมามีอำนาจอีกครั้ง อย่าคิดดีกว่าว่าอะไรจะเกิดแก่ประเทศไทยและตัวท่านเอง การเอาคนชนบท-คนจนที่บริสุทธิ์มาผสมพันธุ์กับคนเสื้อแดงของทักษิณที่มีประวัติในการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่ยิ่งใหญ่ของโลกนั้น ทำให้ภาพลักษณ์ชนบทของไทยเสื่อมเสีย คนชนบทถูกชักจูงมาผิดทางแล้ว นายไพร่ได้เอาชื่อเสียงในทางที่ดีของคนจนไปใช้ในทางที่ผิด คนจนอาจจะช่วยให้เขายึดอำนาจรัฐคืนจาก “รัฐบาลอำมาตย์” ได้ก็จริง แต่พอพวกเขาได้อำนาจแล้วถึงตอนนั้นระบบเผด็จการจะกลับคืนมา ไม่มีนายไพร่ที่อยู่ในอำนาจจะยินยอมให้ไพร่ออกมาเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมกันได้ต่อไปอีก คนเสื้อแดงที่เป็นคนจนและผู้ที่มีความคับแค้นใจ เพราะผู้มีอำนาจรังแกข่มเหงนั้น มีทางเดินที่ดีกว่า เชื่อว่าปัญหาของพวกเขาคนไทยไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งเข้าใจและเห็นใจเพราะเกือบทุกคนได้รู้-ได้เห็นหรือได้ประสบมาด้วยตนเองแล้ว จึงพร้อมที่จะออกมาแสดงพลังร่วมแก้ไขปัญหาของพวกเขา ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475 เป็นต้นมา เรามีรัฐธรรมนูญ รัฐบาลและรัฐสภาในรูปแบบต่างๆมาแล้วมากมาย ชีวิตความยากจนของชาวไร่ชาวนาในชนบท ความอยุติธรรมที่พวกเขาและญาติมิตรได้รับ ได้สะสมกันมานานและยั่งยืนดักดาน และพวกเขาได้เสียภาษี(ทางตรง-ทางอ้อม) ไปเป็นค่าใช้จ่ายของรัฐสภามาแล้วมากมาย แต่รัฐสภาได้ทำอะไรให้พวกเขาบ้าง ส.ส.ส่วนมากเสแสร้งทำเป็นคนดี แต่ส.ส.ของไทยที่มีคุณภาพดีตามมาตรฐานสากลมีไม่เกิน 25% ส่วนที่เหลือชอบ “โดดร่ม” ไม่เข้าร่วมประชุม และทำตัวเหมือนฝูงแกะ ถึงเวลาลงมติ ผู้นำฝูงแกะประจำพรรคก็ไปต้อนกันมาจากห้องอาหาร ห้องกาแฟ โรงแรม(ม่านรูด) ฯลฯ การประชุมสภาฯ “ล่ม” บ่อยๆ ท่านเคยสังเกตเห็นภาพจากจอโทรทัศน์หรือไม่ว่าการประชุมรัฐสภาของจีนนั้นสมาชิกนั่งประชุมกันพร้อมเพรียงเพียงใด หาที่นั่งว่างไม่ค่อยได้ ของอังกฤษนั้น สมาชิกนั่งประชุมกันในห้องแออัดยัดเยียด แต่พวกเขาก็อภิปรายถกเถียงกันอย่างมีสาระไม่ใช่เสียเวลาด่าทอ – เสียดสี – ประท้วง กันจนไม่มีเวลาใช้เหตุผลโต้แย้งกัน ไม่เคยได้ข่าวว่าพวกเขาร้องเรียกหาห้องประชุมใหม่ที่สมศักดิ์ศรีมากกว่า หรือตึกรัฐสภาใหม่ที่ใหญ่กว่ารัฐสภาของไทยขณะนี้นั้นมีห้องประชุมใหญ่โตโอ่โถงกว่าของอังกฤษมาก แต่เวลาประชุมมีส.ส.นั่งอยู่โหรงเหรง ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ 5 ปี 7 เดือน รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ บริหารประเทศภายใต้กำกับของทักษิณ อีก 11 เดือน ไม่ได้ออกกฎหมายสำคัญอะไร และกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมทางการเมืองของประชาชนก็ไม่มี รัฐบาลและรัฐสภาบกพร่องในหน้าที่มิได้ออกกฎหมายรองรับตามกรอบที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ คือจะต้องออกกฎหมายกำหนดกฎเกณฑ์การมีส่วนร่วมของคนในชุมชนเกี่ยวกับการส่งเสริมบำรุงรักษา และคุ้มครองสิ่งแวดล้อม ตามหลักการการพัฒนาที่ยั่งยืน ตลอดจนควบคุมและกำจัดภาวะมลพิษที่มีผลต่อสุขภาพ อนามัย สวัสดิภาพ และคุณภาพชีวิตของประชาชนตามรัฐธรรมนูญปี 2540 มาตรา 79 หรือรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 85(5) จึงมีผลทำให้ นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งมีศักยภาพในการรับคนงานจากผู้ยากจนเป็นจำนวนมากต้องหยุดชะงัก เพราะศาลปกครองมีวินิจฉัย (29 กันยายน 2552) ให้ระงับโครงการลงทุนในพื้นที่มาบตาพุดและบริเวณโดยรอบเพื่อบรรเทาความทุกข์ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ความเสียหายเช่นนี้ มีมูลค่าหลายพันล้านบาทไม่เห็นมีสมาชิกรัฐสภาหรือนายกรัฐมนตรีคนใดออกมาแสดงความเสียใจและรับผิดชอบ ขณะนี้เรามา “ทำสงคราม” กันเรื่องจะยุบหรือไม่ยุบสภาฯ อันไร้ประโยชน์นี้คุ้มแล้วหรือ? สงครามระหว่าง “ไพร่” ทักษิณกับ “รัฐบาลอำมาตย์” อภิสิทธิ์ คงจะไม่ใช่“สงครามชนชั้น” ดังที่ทักษิณกับสหายเสื้อแดงของเขาพยายามจะหลอกคนจนให้ไปช่วยพวกเขา สงครามนี้คงจะไม่ยุติกันที่ยุบหรือไม่ยุบสภาฯ คงจะยืดเยื้อต่อไปจนกระทั่งทักษิณตายและขุมทรัพย์ของเขาพังทลาย แต่รัฐบาลไทยจะต้องอยู่คู่กับคนไทยไม่ว่าจะมีนายกรัฐมนตรีที่มีชื่อ อภิสิทธิ์ หรือใครก็ตาม เราในฐานะที่เป็นคนไทย มีสิทธิและหน้าที่ที่จะช่วยกันสร้างระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ไม่ใช่ธนาธิปไตยหรือบาทาธิปไตย และร่วมกันลดความชั่วร้ายที่แฝงมากับระบบเศรษฐกิจทุนนิยมสามานย์ให้น้อยลง ภาระร่วมของเรานั้นไม่ต้องรอให้ใครแพ้ใครชนะ คนยากจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศจงมาช่วยกันสร้างบรรยากาศการเมืองใหม่ เป็นการปลอบขวัญกันและกัน ในทางสร้างสรรค์ คนที่อยู่ในชนบทน่า จะลองปรึกษากับผู้นำชุมชนดูว่าเพื่อประโยชน์ของชุมชน ท่านมี “วาระแห่งชุมชน” อะไรบ้างที่อยากจะทำภายในช่วงระยะเวลา 1 ปี – 3 ปี – 5 ปี โดยจัดอันดับความสำคัญให้แจ้งชัด ในแต่ละกิจกรรมท่านต้องการความช่วยเหลืออะไรจากรัฐบาลอย่างไร ในระดับชาติ (ไม่ว่าเป็นรัฐบาล “ไพร่” หรือ “อำมาตย์”) อย่าไปสนใจเรื่อง ยุบหรือไม่ยุบสภา แต่หันมาสนใจเรื่องใกล้ตัว เช่นผลักดันรัฐบาลให้หามาตรการป้องกันปราบปรามข้าราชการฉ้อราษฎร์บังหลวง รักแก ข่มเหงประชาชน กำจัดนักเลงที่ใช้อิทธิพลรังแกคนสุจริต ช่วยกันดูแล การบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและเที่ยงธรรม ให้รัฐบาลปรับระบบเงินเดือนข้าราชการ เพิ่มให้เฉพาะข้าราชการชั้นล่าง ให้รัฐบาล-รัฐสภาออกกฎหมายเก็บภาษีมรดก เก็บภาษีแบบก้าวหน้าสำหรับที่ดินที่มิได้ใช้ประโยชน์ ฯลฯ ประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องความเป็นธรรมในทางสังคมและเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของชนชั้นล่าง เราต้องสร้างพลังกดดันจากเบื้องล่าง รัฐบาลจึงยอมแก้ไข อย่าไปหวังว่ารัฐสภาในระบบทุนนิยมสามานย์จะริเริ่มทำเรื่องทำนองนี้ พวกเขามีผลประโยชน์ร่วมกับชนชั้นปกครองอื่นๆ เรื่องทำนองนี้ ต้องมีแกนนำจากท้องถิ่นประสานงานกับผู้นำที่มีคุณธรรมทางสังคมระดับชาติ ร่วมกันเปลี่ยนประเทศของเราให้มีพลังอำนาจในระดับรากหญ้ามากกว่าให้รัฐบาลเบื้องบนมาบงการ ถึงจุดนั้น อำนาจของท่านจึงจะได้รับการเคารพจากนักการเมืองและชนชั้นสูง และถึงจุดนั้นเท่านั้น จึงจะไม่มีใครกล้ามาดูถูกท่านได้อีกว่าเสียงของท่านซื้อขายได้ เขียน ธีระวิทย์ 2533 ศาสตราจารย์ ดร.เขียน ธีระวิทย์ อดีตเป็นอาจารย์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน, ญี่ปุ่น และเอเชียศึกษา เป็นผู้ก่อตั้งสถาบันเอเชียศึกษาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นผู้อำนวยการคนแรกของสถาบันฯ ปัจจุบันท่านเกษียณจากราชการแล้ว |