หนังสือเกี่ยวกับ Soft Power โดย Prof. Joseph Nye, Jr.
บริบทที่หนึ่ง Soft Power [1] บทนำทาง ปัญหา และ ความเป็นมา (Introduction to the Misunderstanding of Soft Power) ศาสตราจารย์ Joseph S. Nye, Jr., อดีตคณบดี The Kennedy School of Government เทียบเท่ากับคณะรัฐศาสตร์การปกครอง ในมหาวิทยาลัย Harvard, เมือง Cambridge, รัฐ Massachusetts, สหรัฐอเมริกา, มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก, เป็นอดีตประธานสภาการข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐอเมริกา, และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมในรัฐบาลประธานาธิบดี Bill Clinton, ตลอดชีวิตงานวิชาการรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และงานการเมืองของท่าน - เริ่มแรกที่ Harvard ปี 1964 มาปัจจุบันปี 2024 ท่านมีอายุถึง 87 ปีแล้ว ท่านก็ยังคงเป็นเสาหลักแห่งความคิดด้านรัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในฐานะศาสตรจารย์พิเศษอาวุโสหรือศาสตราจารย์กิตติคุณ ที่ Harvard และเป็นนักคิดนักเขียนงานวิชาการต่อไป ปี 2011 ในการสำรวจความคิดเห็นของนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั่วโลก 1,700 คน โดยองค์กรที่ชื่อว่า Teaching, Research, and International Policy (TRIP) ศาสตราจารย์ Joseph Nye ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดมากที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ของโลก ในรอบ 20 ปี (Wikipedia) นอกจากนั้นก็ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ, ปี 2011 นิตยสาร Foreign Policy จัดท่านเข้าอยู่ในอันดับต้นๆของรายชื่อนักคิดระดับโลก, ต่อมาในปี 2014 นิตยสาร Foreign Policy อีกเช่นกัน รายงานว่า นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและผู้นำรัฐบาลผู้กำหนดนโยบายของประเทศต่างๆลงคะแนนยกย่องท่านว่าเป็นนักคิดนักวิชาการที่ทรงอิทธิพลในสาขางานของท่านมากที่สุดในโลกคนหนึ่ง ศาตราจารย์ Joseph Nye, Jr. เป็นต้นคิดทฤษฎี “neoliberalism” หรือ “เสรีนิยมใหม่” ซึ่งอธิบายว่าความร่วมมือระหว่างรัฐกับรัฐในโลกทำได้และเมื่อได้ทำแล้วจะก่อให้เกิดสันติภาพยั่งยืนถาวรได้ โดยไม่ต้องมีสงครามหรือความขัดแย้ง และในบริบทการเมืองระหว่างประเทศในสหัสวรรษใหม่ ท่านคือผู้ให้กำเนิดหลักการ ผู้เขียนตำรา และเป็นผู้ประดิษฐ์คำว่า “SOFT POWER” จนรัฐบาลประเทศต่างๆในโลกปัจจุบันพอได้ยินคำว่า “soft power” ก็ตีความตามใจปราถนา ลอกเลียนไป-มา เอามาใช้ผิดบ้าง ถูกบ้าง โดยหวังว่าจะยังให้เกิดผลบวกทางการเมืองในระยะเฉพาะหน้าในสารพันเรื่องเป็นสำคัญ ความเข้าใจเรื่อง soft power อลวน-อลเวง ผิดเพี้ยนไปจากความหมายดั้งเดิมของผู้ให้กำเนิดความคิด จนในที่สุดก็เห็นว่าจำต้องกลับมานั่งคิดทบทวนและจัดการอธิบายกันใหม่ให้ชัดเจนเสียที SOFT POWER พลังอำนาจนุ่มนวลชวนให้หลงรัก ในบทนำหนังสือปี 2004 ของท่านชื่อ “Soft Power: The Means to Success in World Politics” (Joseph S. Nye, Jr. - 2004) หรือ “พลังอำนาจนุ่มนวล: หนทางสู่ความสำเร็จในการเมืองโลก” อาจารย์ Joseph Nye เล่าถึงความสับสนในแนวคิดเรื่อง Soft Power ในหมู่นักคิดและนักปฏิบัติด้านนโยบายการต่างประเทศไว้ว่า: “ในปี 2003 ผมเข้าร่วมเป็นผู้ฟังในที่ประชุม World Economic Forum ที่เมือง Davos ประเทศ Switzerland ตอนที่ George Carey อดีต Archbishop of Canterbury ถามรัฐมนตรีต่างประเทศ Colin Powell ว่า ทำไมจึงดูเหมือนว่าสหรัฐอเมริกามุ่งจะให้ความคำคัญแต่ในเรื่อง ‘hard power’ (ซึ่งหมายถึงอำนาจที่มาจากการใช้นโยบายแข็งกร้าว ใช้พลังยุทธโทปกรณ์ และอำนาจเศรษฐกิจการเงิน - ส.อ.-สมเกียรติ อ่อนวิมล ผู้แปล) มากกว่าเรื่อง ‘soft power’ (ซึ่งหมายถึงพลังอันนุ่มนวลแห่งความดีงามเชิงนโยบายและวัฒนธรรม- ส.อ.). ผมเองนั้นก็สนใจในคำถามนี้เพราะผมเป็นคนคิดว่า “soft power” นี้ขึ้นมาเองเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว ท่านรัฐมนตรี Powell ก็ตอบได้ถูกต้องว่า สหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องใช้ “hard power” (ขอแปลตรงตามตัวอักษรว่า “อำนาจแข็ง” - ส.อ.) เพราะต้องการชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ท่านก็พูดต่อไปว่า ‘แล้วอะไรล่ะที่จะเกิดตามมาทันทีหลังอำนาจแข็ง hard power? สหรัฐอเมริกาเข้าไปเรียกร้องต้องการครองครองดินแดนชาติใดในยุโรปบ้าง ก็ไม่มีใช่ไหม? นั่นซิ ไม่มีเช่นนั้นเลย ที่ตามมาคือแผน Marshall Plan ช่วยฟื้นฟูบูรณะประเทศชาติผู้แพ้สงคราม...ที่ญี่ปุ่นเราก็เข้าไปช่วยฟื้นฟูด้วย Marshall Plan’. ต่อมาในปีเดียวกันนั้นผมก็ได้ไปบรรยายเรื่อง soft power ในการประชุมที่สนับสนุนโดยกองทัพบกในกรุง Washington ผู้ร่วมบรรยายคนหนึ่งคือท่านรัฐมนตรีกลาโหม Donald Rumsfeld ตามรายงานของสื่อมวลชนระบุว่า “ผู้นำกองทัพระดับสูงฟังความคิดของผมอย่างเห็นอกเห็นใจ” แต่ตอนต่อมาผู้ฟังในที่ประชุมถามท่านรัฐมนตรี Rumsfeld ว่ามีความเห็นอย่างไรเรื่อง soft power ท่านรัฐมนตรีก็ตอบว่า “ผมไม่รู้เลยว่า soft power มันหมายความว่าอะไร” (“Old Softie”,Financial Times, 30 September 2003, page 17) "นี่คือส่วนหนึ่งของปัญหาของเรา ผู้นำของเราบางคนไม่มีความเข้าใจในความสำคัญอันยิ่งยวดของของเรื่อง soft power ในโลกยุคหลังเหตุการณ์ 9/11 (ที่มีเหตุผู้ก่อการร้ายจี้และขับครื่องบินชน ระเบิดอาคาร The World Trade Center ที่ New York และอาคารกระทรวงกลาโหม ณ กรุง Washington, D.C. วันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 - ส.อ.) ก็อย่างที่ท่านอดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร Newt Gingrich ให้ข้อสังเกตุเกี่ยวกับนโยบายต่อ Iraq ของรัฐบาลประธานาธิบดี George W. Bush ว่า “กุญแจดอกสำคัญไม่ใช่เรื่องว่าผมฆ่าศัตรูไปกี่คน แต่เป็นเรื่องว่าผมสร้างพันธมิตรได้เพิ่มกี่คนต่างหาก และนั่นคือมาตรวัดสำคัญมากๆที่ใครต่อใครมักจะมองไม่เห็นกัน” “กฎ"ของรัฐมนตรีกลาโหม Rumsfeld นั้นมีว่า “ความอ่อนแอนั้นมันเย้ายวนและท้าทายศัตรู” ท่านรัฐมนตรีพูดถูก ณ จุดนี้ ในฐานะที่ผมเคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกลาโหมมาก่อนด้วย ผมจะเป็นคนสุดท้ายที่จะที่ปฏิเสธความสำคัญของการคงไว้ซึ่งอำนาจการทหารของเรา ดั่งที่ Osama bin Laden เคยสังเกตุไว้แล้วว่า คนเรานั้นชอบม้าที่มีพลังแข็งแรง แต่ว่าพลังอำนาจนั้นมีหลากรูปแบบแฝงมาในหลายรูปทรง และ soft power นั้นก็มิใช่ความอ่อนแอ มันเป็นรูปแบบหนึ่งของอำนาจ และความล้มเหลวที่จะรวมมันไว้เข้าในยุทธศาสตร์ชาติถือเป็นความผิดพลาดอันมหันต์ “Soft Power คืออะไร? “มันคือความสามารถที่จะให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ท่านต้องการ ผ่านการโน้มน้าวดึงดูดใจ แทนที่จะโดยการบังคับขู่เข็นหรือจ่ายเงินสินจ้างรางวัล soft Power นั้นเกิดจากพลังดึงดูดให้หลงรักทางวัฒนธรรมของประเทศ อุดมการณ์และความคิดทางการเมือง และนโยบายของรัฐ (ที่ดึงดูดใจและสร้างมิตร-ส.อ.) เมื่อชาติอื่นคนอื่นเขาเห็นนโยบายของเราว่าเป็นของแท้ จริงใจ ชอบด้วยเหตุผล พลังอำนาจนุ่มนวลหรือ soft power ก็ได้รับการเสริมสร้างให้ทรงพลังแข็งขันเพิ่มขึ้น อเมริกานั้นมี soft power มากมาย และมีมาเป็นเวลายาวนาน ลองคิดดูก็ได้ในเรื่องหลักเสรีภาพสี่ประการสำหรับยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ตามแนวคิดและนโยบายของประธานาธิบดี Franklin Roosevelt (Franklin Roosevelt’s Four Freedoms) ว่าก่อให้เกิดผลกระทบอย่างไร; คิดต่อไปอีกก็ได้ในเรื่องคนหนุ่มสาวหลังม่านเหล็ก (ประเทศนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ เช่น สหภาพโซเวียต เยอรมนีตะวันออก, จีน, etc. - ส.อ.) ที่เขาชอบฟังดนตรีอเมริกัน ฟังข่าววิทยุจาก Radio Free Europe (วิทยุยุโรปเสรี) ; เรื่องนักศึกษาจีนใช้สัญญลักษณ์รูปปั้นจำลองอนุสาวรีย์เทพีแห่งเสรีภาพของเราในการประท้วงที่จตุรัสเทียนอันเหมิน; เรื่องการปลดปล่อยชาวอัฟกานให้ได้เสรีภาพในปี 2001 แล้วพวกเขาก็ร้องขอ “Bill of Rights” หรือร่างกฎบัตรว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของปวงชน (ตามแบบในอเมริกา-ส.อ.) ; เรื่องคนหนุ่มสาวชาวอิหร่านที่ต้องแอบๆซ่อนๆในบ้านตนเองเพื่อจะดูหนังวิดีโออเมริกันและข่าวสารผ่านสัญญาณดาวเทียมจากอเมริกาที่ถูกทางการห้าม ทั้งหลายเหล่านี้นั่นเองที่เรียกว่า soft power ถ้าหากว่าคุณสามารถทำให้คนอื่นชื่นชมในความคิดและอุดมการณ์ของคุณ และทำให้เขาต้องการในสิ่งที่คุณต้องการให้เขาต้องการทำได้ ดังนั้นคุณก็ไม่ต้องออกแรงเสียเงินงบประมาณอะไรให้มากมาย หรือจะต้องไปกดดันลงโทษข่มขู่อะไรใคร คุณก็สมารถทำให้เขาเดินไปตามทิศทางที่คุณประสงค์ได้โดยง่าย การโน้มน้าวดึงดูดใจนั้นมันได้ผลมีประสิทธิภาพมากกว่าการบังคับขู่เข็นเป็นไหนๆ และค่านิยมเช่นเรื่องประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน การให้โอกาสแก่บุคคล ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องดึงดูดใจให้หลงรักทั้งสิ้น ดังที่ท่านพลเอก Wesley Clark พูดไว้ว่า: soft power “ให้เราได้มีอิทธิพลกว้างไกลจนข้ามขอบเขตของพรมแดนอันแข็งกร้าว ของการเมืองตามแบบแผนดั้งเดิมว่าด้วยดุลย์แห่งอำนาจการเมืองระหว่างประเทศ มากมายนัก” แต่ทว่าพลังอำนาจนุ่มนวลดึงดูดใจนั้นบางทีมันก็ก่อให้เกิดแรงโต้สวนทางกลับเป็นการไม่ยอมรับได้เหมือนกันถ้าเราไม่ระมัดระวัง ถ้าเราทำตัวกร่าง หยิ่งผยอง ไปทำลายคุณค่าทางสังคมและวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งงดงามแท้จริงของเรา. “สหรัฐอเมริกาอาจจะเป็นประเทศที่มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าใครนับจากยุคอาณาจักรโรมัน แต่ก็เป็นเช่นกรุงโรมนั่นแหละ อเมริกาก็มิได้มั่นยืนตลอดกาล อเมริกาก็พังทลายได้ อเมริกาก็มิอาจปลอดจากภยันตรายในตัวเองได้ โรมมิได้สิ้นสลายด้วยพลังทำลายจากอาณาจักรอื่นที่รุ่งเรืองกว่า หากแต่โรมถูกทำลายโดยพวกคนป่าเถื่อน (Barbarians) ที่รุกเข้ามาหลายระลอก มาวันนี้ผู้ก่อการร้ายโดยเทคโนโลยีขั้นสูงคือพวกคนป่าเถื่อนยุคใหม่ และโลกก็กำลังตกอยู่ในอันตรายจากการต้องต่อสู้กับการก่อการร้ายที่ว่านี้ ยิ่งนานไปก็ยิ่งรู้ชัดว่ามีองค์ประกอบมากมายหลายอย่างที่อยู่เหนือการควบคุมของสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาไม่สามารถจะไล่ล่าผู้ก่อการร้ายหรือผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นพวก Al Qaeda ไปทุกหนแห่งที่พวกเขาหลบซ่อนทุกซอกมุมของโลกด้วยตัวอเมริกาเองแต่ฝ่ายเดียว แถมอเมริกาจะเที่ยวไปริเริ่มทำสงครามกับใครต่อใครตามใจตัวเองโดยลำพังโดยไม่ทำให้ประเทศอื่นชิงชังตีตัวออกห่างเลิกคบกับเราไปก็ไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นเราก็จะมิได้รับความร่วมมือจากมิตรประเทศใดๆเพื่อเอาชนะสงครามเพื่อสร้างสันติภาพได้เลย “สงครามสี่สัปดาห์ในอิรักเมื่อฤดูใบไม้ผลิปี 2003 เป็นการแสดงพลานุภาพแห่งอำนาจการทำสงครามด้วยกำลังทหารอันเป็นอำนาจแข็งของอเมริกา จนสามารถกำจัดจอมเผด็จการออกไปได้ แต่มันก็มิได้แก้ปัญหาละเอียดอ่อนและอ่อนไหวที่เรายังคงต้องเผชิญกับขบวนการก่อการร้ายทั้งหลายต่อไปอยู่ดี แถมยังมีค่าความเสียหายอย่างมหันต์ต่อ soft power ของเราอีกต่างหาก นั่นคือการที่เราสูญเสียอำนาจดึงดูดคนอื่นให้เข้ามาอยู่ข้างเดียวกับเรา หลังสงครามกับอิรัก ผลการสำรวจของ Pew Research Center พบว่าความนิยมในสหรัฐอเมริกาตกต่ำลงมากเทียบกับปีก่อนหน้า ตกต่ำลงแม้ในประเทศสเปนและอิตาลีทั้งๆที่สองประเทศนี้เคยสนับสนุนเราในสงครามกับอิรักด้วย ความน่าชื่นชอบน่านิยมของสหรัฐอเมริกาในหมู่ชาติอิสลามลดต่ำลงมาก จาก Morocco ถึง ตุรกี ไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ว่าสหรัฐอเมริกาก็ยังคงต้องพึ่งชาติเหล่านั้นในระยะยาวในการทำงานติดตามเส้นทางของผู้ก่อการร้ายทั้งหลาย การเคลื่อนย้ายฟอกเงินที่แปดเปื้อน และการค้าอาวุธสงครามอันเป็นอันตรายยิ่ง ขออ้างบทความจาก Financial Times ที่เขียนว่า “เพื่อการที่จะได้สันติภาพเป็นชัยชนะ สหรัฐอเมริกาจะต้องแสดงให้เห็นถึงทักษะเรื่อง soft power ว่ามีสูงพอๆกับทักษะในการชนะสงครามที่สู้รบด้วยกองทหารและอาวุธ (อันเป็น hard power-ส.อ.)” ที่แปลและอ่านมาให้ฟังนี้ คือการเกริ่นนำเรื่องความไม่รู้ ไม่เข้าใจของคนอเมริกัน และผู้มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง รวมถึงในโลกตะวันตกด้วยในเรื่อง soft power ที่ท่านศาสตราจารย์ Joseph Nye ไปได้ยินได้พบเห็นด้วยตนเองในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ สะท้อนความสับสนไม่เข้าใจถึงเรื่อง soft power ที่ท่านคิดและเขียนมาก่อนหน้าแล้วตั้งแต่ปี 1990 ผ่านไปกว่า 10 ปี นักการเมือง และนักคิดผู้มีหน้าที่วางแผนกำหนดนโยบายรัฐก็ยังตอบไม่ได้ หรือตอบผิด ใช้ผิดกันอยู่ทั่วไปในเรื่อง soft power หรืออำนาจนุ่มนวลที่เป็นขุมพลังทรงประสิทธิภาพในทางนโยบายการต่างประเทศ ทรงพลังยิ่งกว่าอำนาจแข็งกร้าวทางเศรษฐกิจและการทหารอย่างแท้จริง “soft power” เป็นอำนาจในการทำให้ชนะสงครามโดยการรบด้วยพลังนุ่มนวลทางวัฒนธรรมและนโยบายต่างประเทศที่อุดมด้วยการทำความดีในอุดมการณ์ประชาธิปไตย ในบทนำของหนังสืออันเป็นตำราหลักเรื่อง Soft Power ของ ศาสตรจารย์ Joseph Nye นี้ ท่านบอกว่ามีทั้งเพื่อนๆและนักวิจารณ์บอกท่านกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ในเมื่อผู้คนทั้งโลกเริ่มรู้จักเรื่อง soft power อันเกิดจากความคิดของท่านกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจแจ่มชัด นำไปใช้ทำนโยบาย หรือเอาไปวิพากษ์วิจารณ์กันผิดเพี้ยน ท่านก็น่าที่จะต้องลงมือเขียนหนังสือเรื่อง soft power กันใหม่ให้ละเอียด ลึก จนแจ่มชัดไร้ข้อกังขา ผู้ทำนโยบายหรือผู้นำความคิดไป ก็จะใช้ได้ถูกต้อง คนวิจารณ์ก็จะวิจารณ์ได้อย่างมีเหตุผล ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือจะโต้แย้ง นี่ก็คือที่มาของหนังสืออันเป็นตำราหลักของเรื่อง “Soft Power” ที่โลกต้องอ่านก่อนให้เข้าใจ แล้วค่อยนำไปใช้ หรือวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป หนังสือนี้ชื่อ “Soft Power: The Means to Success in World Politics” (Joseph S. Nye, Jr. - 2004) หรือ “พลังอำนาจนุ่มนวล หนทางสู่ความสำเร็จในการเมืองโลก” BOUND TO LEAD 14 ปี ก่อนจะถึงหนังสือ “Soft Power: The Means to Success in World Politics” (Joseph S. Nye, Jr. - 2004) เล่มนี้ ศาสตราจารย์ Joseph Nye เขียนหนังสือชื่อ “Bound to Lead” ก่อน จัดพิมพ์เผยแพร่ปี 1990 ถือเป็นเล่มแรกและครั้งแรกเริ่มในการพัฒนาความคิดรวบยอด หรือ concept ในเรื่อง soft power ซึ่งก็ใช้อ้างอิงเป็นทางการในทางวิชาการได้ว่าพัฒนาการทางความคิดเรื่อง soft power นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1990 หมายความว่าปรากฏการณ์ใดๆก็ตามในเรื่องการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีมาแต่เก่าก่อนหน้านั้นได้ถูกรวบรวมกลั่นกรองค้นหาหลักการจนสามารถสร้างเป็นสมมุติฐานและอธิบายเป็นทฤษฎีความสัมพันธระหว่างประเทศอันพึงพิสูจน์ได้ ในหนังสือ “Bound to Lead” ในปี 1990 นั้น Joseph Nye ให้ความเห็นที่สวนทางกับทัศนะที่นักคิดส่วนใหญ่ลงความเห็นกันไปแล้วว่าพลังอำนาจของอเมริกากำลังอยู่ในช่วงขาลง ตกต่ำ ถดถอย (“America was in decline”) Joseph Nye กล่าวว่า: “ผมได้พัฒนาความคิดรวบยอดเรื่อง “soft power” เป็นครั้งแรกในหนังสือชื่อ “Bound to Lead” ที่ผมพิมพ์เผยแพร่ในปี 1990 เป็นหนังสือที่มีความเห็นสวนทางกับความเห็นที่เป็นที่ยอมรับกันเป็นส่วนใหญ่ในเวลานั้นว่าอำนาจของอเมริกากำลังลดน้อยถอยลง ผมชี้ให้เห็นว่าอเมริกายังอยู่ในสถานะชาติที่เข้มแข็งที่สุด ไม่เพียงแต่ในด้านอำนาจการทหารและอำนาจเศรษฐกิจ, แต่ยังยิ่งใหญ่ในมิติที่สามที่ผมเรียกว่า soft popwer อีกด้วย ในปีต่อๆมาผมก็รู้สึกยินดีที่ความคิดเรื่อง soft power ของผมได้รับการพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์ในเวทีสาธารณะต่างๆ ถูดพูดถึงโดยท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ, ใช้อ้างถึงโดยรัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ ตลอดไปจนถึงผู้นำทางการเมืองคนอื่นๆ, ตลอดจนนักเขียนบทบรรณาธิการ และนักวิชาการทั่วโลก ในเวลาเดียวกันบางคนก็เข้าใจผิด นำเอาไปใช้ผิด แถมยังเอาไปใช้กันแบบจุกๆจิกๆเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆไร้แก่นสารทำนองว่ามันเป็นเรื่องของอิทธิพลของเครื่องดื่ม Coca-Cola บ้าง, เป็นอิทธิพลของ Hollywood บ้าง, บ้างก็อ้างกางเกงยีนส์เป็น soft power, บ้างก็ว่าเงินนั่นแหละเป็น soft power, ที่ทำให้ผมปั่นป่วนใจมากๆก็คือการที่เห็นผู้กำหนดนโยบายเฉยเมย มองไม่เห็นความสำคัญของ soft power ก่อผลกระทบเสียหายต่อประเทศของเรา เพราะการที่ผู้ทำนโยบายทั้งหลายเหล่านั้นละเลงเรื่องที่ควรจะเป็นพลัง soft power จนเละไร้ค่าอย่างมิบังควร THE PARADOX OF AMERICAN POWER “ผมกลับมาสู่เรื่อง soft power อีกครั้งในปี 2001 ตอนที่เขียนหนังสือเรื่อง “The Paradox of American Power” เป็นหนังสือที่เตือนและคัดค้านในเรื่องที่ผู้คนคิดว่าอเมริกาคือผู้มีชัยผงาดเหนือใครๆในโลก (Triumphalism) อันเป็นความคิดที่ผิดพลาด ตรงกันข้ามกับความคิดผิดพลาดแบบที่เคยคิดกันว่าอเมริกากำลังตกต่ำถดถอยที่ผมได้เตือนก่อนแล้วในปี 1990 ผมเขียนเรื่อง soft power ในหนังสือ The Paradox of American Power นี้ไว้ประมาณ 12 หน้า แต่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆของเรื่องที่เป็นภาพใหญ่กว่าเกี่ยวกับอำนาจแบบพหุภาคี (พลังอำนาจจากหลายรัฐรวมกัน-ส.อ.) เชื่อมโยงกับนโยบายต่างประเทศ เพื่อนๆและนักวิจารณ์เลยผลักดันผมว่า ถ้าผมต้องการให้คนทั้งหลายเข้าใจเรื่อง soft power อย่างถูกต้องแน่นอน และนำไปใช้ในการทำนโยบายต่างประเทศอย่างเป็นผล ผมจำเป็นจะต้องค้นหา พัฒนาความคิด แล้วลงมือเขียนเรื่อง soft power ให้ละเอียดสมบูรณ์ และนี่ก็คือเป้าประสงค์ของหนังสือเล่มนี้: “Soft Power: The Means to Success in World Politics”(“อำนาจนุ่มนวล: หนทางสู่ความสำเร็จในการเมืองโลก) [2] ธรรมชาติแห่งความเปลี่ยนแปรของอำนาจ (The Changing Nature of Power) ศาสตราจารย์ Joseph S. Nye, Jr., อดีตคณบดี The Kennedy School of Government ลงมือเขียนเรื่อง “Soft Power: The Means to Success in World Politics (“อำนาจนุ่มนวล: หนทางสู่ความสำเร็จในการเมืองโลก”) เพื่อความเข้าใจที่แจ่มแจ้งชัดเจน เพื่อว่ารัฐบาลอเมริกันของท่านจะได้เข้าใจและนำไปใช้ในนโยบายต่างประเทศได้อย่างเป็นผลในยามที่อำนาจแข็งโดยอาวุธและพลังเศรษฐกิจเริ่มบ่งชี้ว่าใช้ไม่ได้ผลตามที่เคยใช้ได้มาก่อน หนังสือเล่มนี้คือต้นกำเนิดหรือแม่บทของเรื่อง Soft Power แต่ถ้าจะมีผู้อื่น รัฐบาลประเทศอื่นๆนำความคิดนี้ไปประยุกต์ใช้ก็ถือเป็นวิวัฒนาการของความคิดหรือ “ทฤษฎี” ว่าด้วย Soft Power อันเป็นสากลแล้ว ก็ย่อมใช้ได้เป็นสากลตามๆกันไป ถือว่าหนังสือเล่มนี้คือตำราต้นฉบับเรื่อง Soft Power ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกในปี 2004 ผ่านมาถึงปี 2024 ได้ 20 ปีพอดี ในบทที่หนึ่ง เป็นการวางพื้นฐานเบื้องต้นของความคิดรวบยอด หรือ “basic concepts” เรื่อง Soft Power เริ่มจากการอธิบายคำนิยาม ตามด้วยการยกตัวอย่างหลากหลาย ข้อมูลจากงานสำรวจ งานวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ แล้วศึกษาผลกระทบและข้อจำกัดของ Soft Power ในหลากหลายทิศทางที่ท่านไม่เคยเขียนอย่างละอียดลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อน แถมด้วยเรื่องที่ท่านวิเคราะห์เกี่ยวกับบริบทแห่งอำนาจในการเมืองโลกที่เปลี่ยนไป แล้วอธิบายว่าทำไม Soft Power ในโลกปัจจุบันจึงมีความสำคัญกว่าในอดีตมาก บทที่หนึ่งนี้เป็นบทสำคัญใช้อธิบายได้ในบริบทกว้างเป็นสากล หรือจะเรียกว่า “บริบทโลก” ก็ได้ บทที่สอง อธิบายเรื่องแหล่งที่มาของ Soft Power ของสหรัฐอเมริกา หรือจะเรียกว่า Soft Power ในบริบทอเมริกา ก็ได้ เป็นเรื่อง Soft Power ของอเมริกาในด้านวัฒนธรรม, ค่านิยมในชาติ, และเรื่องนโยบายของประเทศ และเรื่องรูปแบบและเนื้อหาของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา บทที่สาม ชี้ว่า เนื่องจากสหรัฐอเมริกามิได้เป็นชาติเดียวที่มี Soft Power ชาติอื่นๆในโลกก็มี Soft Power ในทำนองเดียวกัน บทที่สามนี้สำรวจดู Soft Power ในประเทศต่างๆ ทั้งระดับรัฐ และในภาคประชาชน และองค์กรที่มิใช่รัฐ (nonstate actors) บทที่สี่ ตรวจดูปัญหาในภาคปฏิบัติอันเกิดจากการใช้ Soft Power ผ่านนโยบายเชิงการทูตสาธารณะ (public diplomacy) บทที่ห้า บทสุดท้าย สรุปเรื่อง Soft Power ในบริบทของสหรัฐอเมริกาว่ามีความหมายอย่างไรต่อสหรัฐอเมริกาหลังสงครามกับอิรัก ศาสตราจารย์ Joseph S. Nye, Jr. สรุปท้ายบทนำของหนังสือนี้ว่า: “ชาวอมเริกัน -และชนชาติอื่นๆ- กำลังเผชิญหน้ากับภาวะท้าทายที่ไม่เหมือนที่เคยคุ้นแต่เก่าก่อน มันเป็นการท้าทายจากด้านมืดของโลกาภิวัตน์ และการทำสงครามแบบจ้างเอกชนรบแทนหรือร่วมรบ เป็นสงครามที่ร่วมรบด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ นี่คือเป้าเล็งของยุทธศาสตร์ความมั่นคงของประเทศ เช่นเดียวกับความท้าทายในยุคสงครามเย็น สงครามหรือการสู้รบในยุคปัจจุบันที่มาจากการก่อการร้ายรูปแบบต่างๆนี้จะไม่สามารถจัดการให้สงบลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว และอำนาจทางการทหารก็ยังมีบทบาทสำคัญ แต่ว่ารัฐบาลอเมริกันใช้จ่ายเงินงบประมาณทางด้านอำนาจแข็ง (คืออำนาจการทหารและเศรษฐกิจ-ส.อ.) มากกว่างบประมาณด้าน soft Power ถึง 400 เท่า ก็เช่นเดียวกับสงครามเย็น สงครามในยุคปัจจุบันจะพึ่งอำนาจอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างเดียวไม่ได้แล้ว ด้วยเหตุนี้มันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่คนอเมริกัน-และคนชาติอื่นๆ-ควรจะเข้าใจเรื่อง Soft Power และนำไปใช้ให้ถูกต้องและสัมฤทธิ์ผล ‘Smart Power’ หรือ ‘อำนาจฉลาด’ นั้นไม่เป็นอำนาจแข็งหรืออ่อนนุ่มอย่างหนึ่งอย่างใด แต่ ‘Smart Power’ หรือ ‘อำนาจฉลาด’ เป็นทั้งสองอย่างเลย ทั้งแข็งและนุ่มนวล” มาถึงตอนนี้ก็เห็นชัดแล้วว่า Soft Power เกิดจากการศึกษาปัญหานโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯที่ผันแปรไปจากช่วงสงครามโลกอันร้อนระอุ ผ่านสงครามเย็นที่แบ่งข้างแบ่งขั้วกลุ่มความคิดเศรษฐกิจและอุดมการณ์ มาสู่ยุคสงครามการก่อการร้ายแทรกเสริมด้วยแสนยานุภาพทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ Soft Power เป็นปัญหาของนโยบายต่างประเทศของอเมริกาเมื่อ 20 ปีที่แล้วเท่านั้น กาลผ่านไป ประเทศอื่นๆก็สนใจจะใช้ Soft Power ที่คิดแบบอเมริกันมาใช้แก้ปัญหาในบริบทของตนเองบ้าง เช่นบริบทไทย หรือบริบทแบบไทยๆ! ก่อนจะไปวิพากษ์บริบทไทย จำเป็นต้องเข้าใจบริบทแบบแผนดั้งเดิม คือ Soft Power บริบทอเมริกันเสียก่อน ดังนั้นบทที่หนึ่งของหนังสือเล่มนี้จึงสำคัญมากสำหรับรัฐบาลประเทศใดก็ตามที่อยากจะตรวจสอบหรือลองทำและใช้นโยบาย Soft Power ในบริบทของประเทศของตนเองบ้าง ในบทที่หนึ่ง เป็นการวางพื้นฐานเบื้องต้นของความคิดรวบยอด หรือ “basic concepts” เรื่อง Soft Power อันเป็นผลสะท้อนจากธรรมชาติของอำนาจที่แปรเปลี่ยนไป: “กว่า 400 ปีมาแล้ว”, ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. เริ่มสาธยาย, “Niccolo Machiavelli แนะนำบรรดาเหล่ากษัตริย์และเจ้าชายทั้งหลายในอิตาลีว่าหลักสำคัญในการปกครองนั้นคือการทำให้คนกลัว มากกว่าที่จะทำให้คนรัก แต่ว่าในโลกปัจจุบันถ้าทำได้ทั้งสองแบบจะดีที่สุด ทั้งให้กลัวและให้รัก การเอาชนะหัวใจและจิตใจนั้นสำคัญยิ่ง และยิ่งในยุคข้อมูลข่าวสารนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งสำคัญยิ่งๆขึ้นไปอีกมาก ข้อมูลข่าวสารคืออำนาจ การกระจายข้อมูลข่าวสารในโลกทุกวันนี้ทำได้อย่างกว้างไพศาลยิ่งกว่ายุคใดๆในประวัติศาสตร์ แต่ทว่าผู้นำทางการเมืองทั้งหลายกลับใช้เวลาน้อยมากที่จะคิดถึงเรื่องที่ว่าธรรมชาติแห่งอำนาจนั้นมันเปลี่ยนแปลงผันแปรไปมากแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่ว่าจะผสานรวมมิติด้านนุ่มนวลแห่งอำนาจเข้าไ้ว้ด้วยกันในยุทธศาสตร์การใช้อำนาจของรัฐ เข้าด้วยกันอย่างไร?” What is Power? แล้ว “อำนาจ” ที่ว่านี้เราจะนิยามว่าอย่างไร? Prof. Joseph Nye อธิบายต่อ: “อำนาจนั้นคล้ายกับสภาวะลมฟ้าอากาศ ทุกคนต้องพึ่งพาและขึ้นอยู่กับสภาวะลมฟ้าอากาศ ชอบพูดถึงกันเป็นประจำแต่ที่จะมีความเข้าใจก็ไม่กี่คน เวลาที่เกษตรกรและนักอุตุนิยมวิทยาพยายามจะพยากรณ์อากาศนั้น ผู้นำทางการเมืองและนักวิเคราะห์การเมืองก็พยายามอธิบายและคาดการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจต่างๆในทางการเมืองด้วยเช่นกัน อำนาจก็เหมือนความรัก ที่ว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ ง่ายกว่าที่จะนิยามและวัดค่า ทั้งๆที่ความรักที่ว่านั้นมันมีอยู่จริงๆ พจนานุกรมอธิบายว่า power หรือ อำนาจ คือขีดความสามารถที่จะกระทำการใดๆ ในความหมายทั่วๆไป อำนาจ คือความสามารถที่จะทำให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่เราต้องการ พจนานุกรมยังบอกเราอีกด้วยว่า อำนาจ หมายถึงการที่เรามีขีดความสามารถที่จะสร้างผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นกระทำสิ่งต่างๆตามที่เราประสงค์ได้ ความหมายเฉพาะเจาะจงคือ อำนาจคือความสามารถที่จะส่งอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้อื่นทำให้ผู้นั้นกระทำให้เกิดผลตามที่เราต้องการ แต่มันก็มีหลายหนทางในการที่จะทำให้เกิดผลดังว่านั้น โดยท่านอาจจะใช้วิธีบังคับขู่เข็ญ หรือวิธีหลอกล่อด้วยเงินทองสินจ้างรางวัล หรืออาจใช้วิธีสร้างแรงดึงดูดใจให้เกิดพลังรักพลังชอบที่จะทำตามที่ท่านต้องการได้โดยไม่ต้องบังคับหลอกล่อ” นั่นคือนิยามของคำว่า “power” หรือ “อำนาจ” ที่ ศาสตราจารย์ Joseph Nye อธิบาย ดังอ้างอิงมา ท่านยกตัวอย่างว่าทำไม Bin Laden หัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายมุสลิมจึงมีคนสนับสนุนและร่วมรบโดยวิธีก่อการร้ายด้วย นั่นไม่ใช่เพราะ ค่าจ้างหรือค่าตอบแทนใดๆ หากแต่เป็นเพราะความคิดของเขาที่เป็นที่นิยมเลื่อมใสในหมู่อาสาสมัครร่วมรบและก่อการร้ายด้วย ท่านบอกว่า “เรื่องแบบนี้บางทีก็ซับซ้อนเกินความเข้าใจของนักการเมือง” มาถึงคำนิยามที่สอง ของ “อำนาจ” หรือ “Power” ที่ผู้นำทางการเมืองชอบใช้ตามความสะดวก ตามธรรมชาติของผู้มีอำนาจจะใช้ได้ นั้นคือ: “การมีขีดความสามารถ และการเป็นผู้ครอบครองทรัพยากร หรือเครื่องมือในการสร้างอิทธิผล ทำให้เกิดผลตามต้องการ ดังนั้นผู้นำทางการเมืองเหล่านั้นจึงมักคิดว่าประเทศของตนเป็นประเทศมีอำนาจเพราะมีประชากรมาก มีพื้นที่กว้างใหญ่ มีทรัพยากรธรรมชาติมากมหาศาล มีพลังเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ มีอำนาจการทหาร และมีสังคมที่มั่นคง คุณลักษณะเด่นของนิยามเรื่องอำนาจแบบที่สองนี้คือรูปธรรมที่ชัดเจน วัดปริมาณได้ คาดการณ์หวังผลได้ แต่นิยามอำนาจเช่นนี้ก็มีปัญหา เพราะเวลาที่เรานิยามอำนาจให้เท่ากับทรัพยากรที่เป็นที่มาของอำนาจ บางทีก็จะเจอหลุมพรางหรือกับดัก ว่า ใครก็ตามที่เพียบพร้อมล้อมรอบด้วยพลังอำนาจแบบนี้อาจจะไม่ได้ผลตามที่คาดหวังก็เป็นได้ “ทรัพยากรอันเป็นที่มาของขุมพลังแห่งอำนาจนั้นไม่สามารถแลกเปลี่ยนกันได้ง่ายๆเหมือนแลกเปลี่ยนเงินตรา ใช้ในบางที่อาจจะชนะ แต่บางที่ใช้อำนาจแบบเดียวกันก็ไม่ชนะ ไพ่ที่ชนะในเกม Poker เอาไปเล่นไพ่ Bridge ก็ไม่ชนะ แม้ในเกม Poker เกมเดียวกัน เล่นไม่ถูกมือ หรือเล่นไม่ดีทั้งๆที่มือเหนือกว่า ก็แพ้ได้อีกเช่นกัน การมีทรัพยากรเป็นขุมพลังอำนาจไม่ใช่หลักประกันว่าท่านจะได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการเสมอไป ยกตัวอย่างสงครามเวียดนาม สหรัฐอเมริกามีทรัพยากรมากมายมหาศาลเหนือเวียดนาม แต่ก็ยังแพ้สงครามกับเวียดนาม ต่อมาในปี 2001 เวลาที่อเมริกามีฐานะเป็นอภิมหาอำนาจในโลกแต่เพียงผู้เดียว แต่อเมริกาก็ล้มเหลวในอันที่จะป้องกันเหตุร้าย 11 กันยายน หรือ 9/11 ได้” Joseph Nye อธิบายว่า: “การเปลี่ยนทรัพยากรไปเป็นอำนาจเพื่อให้ได้สิ่งที่ประสงค์นั้น จำต้องใช้การวางแผน ออกแบบยุทธศาสตร์ และการมีผู้นำที่มีทักษะและความสามารถ มีบ่อยที่ยุทธศาสตร์ไม่ดีพอ และผู้นำตัดสินใจผิดพลาด ดูการใช้อำนาจของเยอรมนี และญี่ปุ่น ปี 1941 (ที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง-ส.อ.) ก็ได้ หรือจะดูที่ยุทธศาสตร์ของ Saddam Husein ในอิรักปี 1990 ก็ได้ ก่อนที่จะเริ่มเล่นเกมอะไรกัน เราก็ควรประเมินสถานการณ์ก่อนให้ชัดแจ้ง ควรรู้ว่าใครถือไพ่เหนือกว่าใคร และสำคัญไม่แพ้กันคือเราต้องรู้ว่าเรากำลังเล่นเกมอะไรกันอยู่ ทรัพยากรอะไรแบบไหนที่จะเป็นฐานแห่งพฤติกรรมการใช้อำนาจที่ดีที่สุดในบริบทหนึ่งบริบทใดโดยเฉพาะ? (‘Which resources provide the best basis for power behavior in a particular context?’)” แล้วคำว่า “context” หรือ “บริบท” ก็ปรากฏขึ้นฉับพลัน ในบริบทของสงครามโลกครั้งที่สอง ก่อนสงครามโลก ย้อนไปก่อนยุคอุตสาหกรรม น้ำมันไม่ใช่ทรัพยากรสำคัญที่จะใช้เป็นฐานของอำนาจ และก่อนยุคนิวเคลียร์ แร่ Uranium ก็ไม่สลักสำคัญอะไรที่จะเป็นขุมพลังแห่งอำนาจแข็งหรืออำนาจทำสงคราม ก็แล้วแต่บริบท It depends on the context! พลังอำนาจในการทำสงครามอันเป็นอำนาจแข็งใช้ได้ในยุคก่อนการพัฒนาเทคโนโลยีและข่าวสารข้อมูล จำนวนทหาร อาวุธ ขนาดเศรษฐกิจเคยใช้เป็นมาตรวัดชัยชนะในสงคราม แต่มาวันนี้ บริบทเปลี่ยนไป มีอำนาจในมิติที่นุ่มนวลให้ผลลัพธ์ที่ทรงประสิทธิภาพมากกว่า เพียงแต่ว่า จะรู้หรือไม่ว่ามี? หรือว่า จะรู้ไหมว่าจะใช้อย่างไร? การใช้อำนาจแข็งผิดบริบทแห่งกาลเวลาและแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะยังผลให้อำนาจแข็งนั้นไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง ในโลกยุคข่าวสารข้อมูลท่วมท้น มหาศาล กว้างไกล รวดเร็ว การกระจายทรัพยากรอันเป็นฐานอำนาจใหม่นั้นมิได้อยู่กับประเทศมหาอำนาจเช่นสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวเท่านั้น โลกปัจจุบันกระจายอำนาจไปหลายขั้วหรือหลายกลุ่มประเทศ สหรัฐอเมริกามิใช่มหาอำนาจขั้วเดียวอีกต่อไป และอำนาจอาวุธสงครามและพลังเศรษฐกิจก็ไม่ใช่แหล่งทรัพยากรฐานอำนาจแต่เพียงแหล่งเดียวเท่านั้น Joseph Nye กล่าวว่า สหรัฐอเมริกามิใช่จ้าวอาณาจักรบนโลกนี้อีกต่อไป แม้จะมีอำนาจการทหารและเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลกก็ตาม แต่ท่านก็ยังยืนยันว่าอเมริกายังเป็นอภิมหาอำนาจที่สำคัญที่สุดในโลก และมิได้อยู่ในช่วงอำนาจตกต่ำลดถอย หรือ “ขาลง” เพียงแต่ว่าอเมริกาจะต้องตามการเปลี่ยนแปลงของอำนาจในโลกให้ทัน ต้องให้รู้ว่าอำนาจนุ่มนวลเชิงวัฒนธรรม นโยบายต่างประเทศ และค่านิยมประชาธิปไตยเสรีของสังคมอเมริกันนั้น คือมิติที่สามแห่งอำนาจ เรียกว่า “Soft Power” หรือพลังอำนาจอันนุ่มนวล จะเห็นว่าเรื่อง “อำนาจ” ไม่ว่าอำนาจแข็ง หรือ อำนาจนุ่มนวล - ไม่ว่าจะเป็น Hard Power หรือ Soft Power โดยหลักการพื้นฐานแล้วเป็นเรื่องของนโยบายต่างประเทศ วัฒนธรรม และค่านิยมในสังคม ที่จะจูงใจให้พลเมืองและรัฐบาลประเทศชาติอื่นพึงพอใจผันตัวเข้าเป็นมิตรแท้และถาวรกับสหรัฐอเมริกาในที่สุด Soft Power เป็นเรื่องที่เกิดจากการค้นหาทางแก้ปัญหานโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาเอง จนความคิดนี้กลายเป็นความคิดที่รัฐบาลชาติอื่นๆนำไปใช้กับนโยบายต่างประเทศของตนเอง ประเทศไทยยังไม่มีนโยบายต่างประเทศเฉพาะเจาะจงในเรื่อง Soft Power แต่ที่ได้ข่าวและพบเห็นมีกิจกรรมของรัฐบาลไทยในปัจจุบันนี้ ไม่ใช่นโยบายต่างประเทศ แต่เป็นการคิดสั่งการให้ทำกิจกรรมบางอย่างที่เข้าใจว่าเป็นฐานทรัพยากรอันเป็นที่มาแห่งอำนาจนุ่มนวล หรือ Soft Power ที่แท้จริง การที่รัฐบาลไทยเพียงแค่มีการสั่งการให้ทำกิจกรรมที่บอกว่าเป็นเรื่อง Soft Power สั่งให้มีกรรมการ สั่งตั้งประธานกรรมการ แล้วกรรมการสั่งให้ทำกิจกรรมบางอย่างที่สั่งให้รับรู้ว่าเป็น Soft Power เหล่านี้เป็นการใช้อำนาจสั่งการ เป็นอำนาจ “แข็ง” หรือ “Hard Power” ทั้งสิ้น เพราะไม่มีการจูงใจหรือดึงดูดใจโดยไม่ต้องใช้เงินบังคับ ให้คิดทำโดยความสมัครใจรักใจชอบแต่อย่างใด เริ่มต้น Soft Power ก็ใช้ Hard Power แล้ว! [3] Soft Power อรรถาธิบาย (Soft Power Explained) จากหนังสือ “Soft Power: The Means to Success in World Politics” (“อำนาจนุ่มนวล: หนทางสู่ความสำเร็จในการเมืองโลก”) โดย Prof. Joseph S. Nye, Jr. หัวใจของเรื่องแยกออกเป็นสามส่วน คือ: 1. Soft Power คืออะไร? 2. ทรัพยากรอันเป็นฐานพลังของ Soft Power คืออะไร มาจากไหน? 3. Soft Power มีข้อจำกัดอะไรบ้าง ขอเริ่มต้นก่อนให้ละเอียดชัดเจนที่เรื่องที่หนึ่ง: Soft Power: อรรถาธิบาย ถ้าไม่ใช้วิธีบังคับข่มขู่ เช่นการใช้กำลังทหารในการสงคราม หรือให้สินจ้างรางวัล เช่นการจัดสรร หรือไม่ก็ปิดกั้นตัดขวางงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศ ดังสำนวนภาษาอังกฤษเปรียบเทียบเหมือนการให้หัวผักแครอท กับไม้เรียว ที่ว่า “carrots and sticks” ซึ่งเป็นอำนาจแข็ง หรือ “Hard Power” ศาสตราจารย์ Joseph Nye ชี้ว่ายังมีอำนาจทางอ้อมที่บางทีเรียกว่า “อำนาจระดับรอง” หรือ “the second face of power” ประเทศใดประเทศหนึ่งอาจจะได้ผลตอบกลับมาจากประเทศอื่นตามที่ปรารถนาในการเมืองระหว่างประเทศ เพราะประเทศอื่นๆที่ว่านั้นมีความชื่นชมในคุณค่าคตินิยมของประเทศหนึ่งนั้น นิยมทำเลียนแบบในเรื่องที่ชื่นชอบ มีพลังดลใจในอันที่จะสร้างชาติและสังคมให้มั่งคั่งรุ่งเรืองตามแบบอย่าง ชอบและชื่นชมอยากทำตามอย่างเปิดเผย ในกรณีนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องกำหนดแนวทางและวาระที่จะจูงใจให้ประเทศอื่นๆทั้งหลายนั้นสมัครใจและผูกสัมพันธ์เข้ามาเป็นมิตร นี่แหละคือ Soft Power คือ: “getting others to want the outcomes that you want - ทำให้คนอื่นทำในสิ่งที่ เราอยากให้เขาทำให้กับเรา - co-opts ไม่ใช่ coerces - ทำโดยสมัครใจ ไม่ใช่ โดยการบังคับให้ทำ” Soft Power หรือ อำนาจนุ่มนวลขึ้นอยู่กับพลังหล่อหลอมผู้อื่นหรือชาติอื่นให้เกิดความประสงค์ หรือจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือนโยบายหนึ่งนโยบายใดมากกว่าอีกสิ่งหนึ่งหรือนโยบายหนึ่ง ถ้ามีทางให้จำต้องเลือกอะไรก่อนหลังก็ต้องเลือกสิ่งที่ soft Power คาดหวังก่อนอื่น หากนโยบายต่างประเทศของประเทศเราสามารถโน้มน้าวประเทศอื่นให้ทำเรื่องที่เราต้องการก่อนเรื่องอื่นได้ นั่นคืออำนาจที่นุ่มนวลแท้จริง เปรียบเทียบกับเรื่องระดับส่วนตัวก็ได้ว่า ในความสัมพันธ์อันเป็นความรักของชีวิตแต่งงานเป็นคู่สามีภรรยา พลังลึกลับอันเป็นเสมือนเสน่ห์แห่งเคมีระหว่างคู่รัก ไม่ใช่ขนาดสรีระหรือพละกำลังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั่นแหละเป็นพลังนุ่มนวลหรือ Soft Power ที่ดึงดูดให้ความรักแนบแน่น เป็น “power of attraction” จะเรียกว่า “พลังแห่งความรัก” ก็อาจจะได้ ในโลกธุรกิจการออกคำสั่งเด็ดขาดจากผู้บริหารอาจไม่ได้ผลเท่ากับการทำให้ดูเป็นตัวอย่าง คุณธรรม ค่านิยมในตัวของผู้บริการกิจการนั้นย่อมเป็นพลังขับดันให้พนักงานในบริษัทมุ่งมั่นทำงานอย่างมีประสิทธิผลเกินว่าที่คาดหวังจากคำสั่งได้ อีกตัวอย่างหนึ่งจากงานตำรวจชุมชน เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีการสร้างสัมพันธ์อันดีกับชุมชน ชุมชนก็ยินดีร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชุมชนก็สงบปลอดภัยเพราะชาวบ้านช่วยงานของตำรวจทางอ้อมโดยไม่ต้องออกคำสั่งหรือให้สินจ้างรางวัล เบี้ยเลี้ยง ค่าจ้าง หรือรางวัลนำจับ ศาสตราจารย์ Joseph Nye บอกว่าบรรดาผู้นำทางการเมืองทั้งหลายนั้นมีความเข้าใจมานานแล้วในเรื่องพลังอำนาจดึงดูดใจให้รัก ในสังคมประชาธิปไตย อำนาจนุ่มนวลทำให้ประชาชนรักสมัครใจสร้างชาติสร้างสังคมร่วมกับผู้นำทางการเมืองเปรียบเสมือนเป็นอาหารหลักของประชาธิปไตย แต่ในประเทศอำนาจนิยมหรือเผด็จการอำนาจที่ใช้ก็ตรงกันข้าม จะโน้มใจให้รักนักเผด็จการนั้นยากนัก ง่ายที่สุดแบบไม่ต้องเกรงใจหรือกลัวประชาชนคนไหนจะไม่รัก คือการออกคำสั่งให้ทำตาม รักไม่รัก ชอบไม่ชอบไม่สำคัญ สั่งให้ทำ ถ้าไม่ทำก็มีโทษ การเมืองแบบอำนาจนิยมจึงไม่สนใจความรักจากประชาชน สนใจเพียงการเชื่อฟังจากประชาชนเท่านั้นก็พอเพียง ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยพลังอำนาจนุ่มนวลเกิดจากขุมพลังที่มิอาจนับเป็นจำนวนหรือคำนวนปริมาณได้เหมือนอำนาจเงินหรือสิ่งตอบแทน มันมาจากบุคลิกภาพส่วนตัว วัฒนธรรมประจำชาติหรือสังคม ค่านิยมทางการเมือง สถาบันทางการเมืองที่เป็นแบบอย่างงดงามน่าทำตาม นโยบายของรัฐที่เห็นว่าเป็นสิ่งชอบด้วยเหตุผลและมีพลังทางศีลธรรม หากมีสิ่งเหล่านี้นำทางนโยบาย ก็จะเป็นอำนาจ Soft Power ที่จะใช้งบประมาณการเงินน้อยมาก อ้างข้อเขียนของศาสตราจารย์ Joseph Nye ดังนี้ : “Soft Power ไม่ใช่เรื่องเดียวกันหรือเหมือนกันกับ ‘อิทธิพล’ (influence) เพราะอิทธิพลนั้นย่อมเกิดจากอำนาจแข็งโดยการข่มขู่บังคับหรือให้สินจ้างรางวัลหรืองบประมาณช่วยต่างประเทศ ก็ทำได้เสมอ และ Soft Power ก็ไม่ใช่แค่เรื่องการโน้มน้าวใจ หรือความสามารถในการทำให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงเท่านั้น มันเป็นมากกว่านั้น แม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นส่วนสำคัญของ Soft Power แต่ความสำคัญมากกว่านั้นอยู่ที่พลังดึงดูดใจให้คิดและทำโดยธรรมชาติตามที่เราประสงค์: ในทางพฤติกรรมศาสตร์ ‘Soft Power’ คือ ‘attractive power’ ในทางทรัพยากรที่มาของอำนาจ มันคือทรัพย์สินอันทรงพลังที่สร้างพลังดึงดูดใจ” ดังนั้น ‘Power’ หรือ ‘อำนาจ’ จึงมีสองสถานะ คือหนึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่มาของอำนาจ และเมื่อได้ใช้ทรัพยากรสร้างอำนาจนั้นแล้วก็จะเกิดผลลัพธ์จากการใช้อำนาจที่เป็น Soft Power นั้น หากเชื่อดังนี้แล้วก็ต้องวิเคราะห์ต่อว่าอำนาจดึงดูดให้รักนั้นบางทีก็ไม่ได้ความรักเป็นผลลัพธ์เสมอไป ฝรั่งเศสถูกเยอรมนีบุกยึดได้ในปี 1940 ทั้งๆที่ฝรั่งเศสและอังกฤษสองประเทศรวมกันมีรถถังมากกว่าเยอรมนี อำนาจแข็งทำนายผลลัพธ์ของการใช้อำนาจในยามสงครามเช่นว่านี้ไม่ได้แน่นอนฉันใด อำนาจนุ่มนวลที่เป็ทรัพยากรที่ถูกใช้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการก็คาดการณ์ผลลัพธ์สุดท้ายไม่ได้แน่นอนเช่นกัน” การอธิบายความหมายของ Soft Power จะทำได้ชัดเจนเมื่อเทียบกับ Hard Power ศาสตราจารย์ Joseph Nye อธิบายว่า: “ทางหนึ่งในอันที่จะคิดถึงความแตกต่างระหว่าง Hard Power กับ Soft Power ก็คือให้พิจารณาวิถีทางอันหลากหลายในการที่ท่านจะให้ได้มาซึ่งสิ่งหรือผลลัพธ์ที่ต้องการ คุณอาจจะสั่งให้ผมเปลี่ยนทางเลือก ทำตามที่คุณต้องการ โดยการข่มขู่ด้วยกำลัง หรือใช้การปิดกั้นขัดขวางทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า sanctions คุณอาจจะทำให้ผมปฏิบัติตามที่คุณต้องการโดยใช้อำนาจเศรษฐกิจของคุณจ่ายให้ผมให้พอ คุณอาจจะจำกัดปรับเปลี่ยนลำดับความต้องการก่อนหลังของผมโดยการกำหนดวาระทำให้ผมยอมคิดตามว่าผมไม่มีทางออกทางอื่นที่จะเป็นจริงไปได้นอกจากทางที่คุณชี้นำให้ หรือไม่ก็คุณอาจจะร้องขอให้ผมคำนึงถึงความรัก หน้าที่ระหว่างกัน ค่านิยมที่เรามีเหมือนกัน และเป้าหมายนโยบายที่เรามีเหมือนกันมายาวนาน ให้คุณยอมรับและทำตามที่คุณต้องการให้ผมทำ หากคุณใช้วิธีนี้ ทำให้ผมเปลี่ยนพฤติกรรมตามใจปราถนาของคุณได้ เป็นการดึงดูดใจ หรือ ‘attraction’ โดยไม่ต้องให้หรือไม่ใ้ห้อะไรเป็นรางวัล มันคืออำนาจแห่งการดึงดูดใจที่วัดปริมาณเป็นตัวเลข ไม่ได้ นั่นแหละ ‘Soft Power is at work! - Soft Power มันทำหน้าที่ของมันแล้ว!” (หน้า 7) Soft Power ไม่ใช้อาวุธ ไม่ใช่เงินตรา แต่ Soft Power เป็นเงินตราสกุลอื่น เป็นพลังที่ใช้ซื้อความรักความร่วมมือ ซื้อค่านิยมที่มีร่วมกันใช้พึ่งพากันได้ ใช้ซื้อค่าความยุติธรรม ซื้อหน้าที่รับผิดชอบร่วมกัน เพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จร่วมกันในค่านิยมที่มีร่วมกันแต่แรกแล้ว” “ทำนองเดียวกันกับที่ Adam Smith (นักเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมเสรีในอดีต 1723-1790) เคยกล่าวว่า เวลาที่จะมีการตัดสินใจในตลาดทุนนิยมเสรีนั้น ผู้คนทั้งหลายถูกนำพาให้ตัดสินใจโดยมือที่มองไม่เห็น ( “...people are lead by an invisible hand when making decisions in a free market.”) การตัดสินใจของเราในตลาดความคิดเสรีก็เหมือนกัน มันจะถูกกำกับโดย Soft Power บ่อยกว่า มันคือแรงดึงดูดให้รักที่วัดปริมาณด้วยมาตรวัดไม่ได้ แต่มันก็พาให้เราทำตามที่ถูกดึงดูดชักจูงไปตามเป้าหมายของผู้อื่น โดยไม่ต้องมีการข่มขู่หรือและเปลี่ยนอะไรที่วัดค่าได้” “แต่ Hard Power กับ Soft Power นั้นเกี่ยวเกาะเชื่อมโยงกัน เพราะอำนาจทั้งสองแบบนี้นั้นต้องการให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์แบบเดียวกัน คือทำให้ผู้อื่น หรือประเทศอื่น ทำตามที่เราต้องการ ความแตกต่างระหว่างอำนาจสองแบบนี้อธิบายได้ว่าอยู่ที่ดีกรีหรือระดับองศาแห่งความเข้มข้นของมันในธรรมชาติของพฤติหรรมและการวัดค่าของทรัพยากรที่ใช้ให้เกิดอำนาจและให้เกิดผลลัพธ์: “Hard Power ใช้พฤติกรรม บังคับ กดดัน สั่งการ Soft Power เป็นพฤติกรรม กำหนดวาระเป้าหมาย ดึงดูดให้รักให้ร่วมมือ Hard Power ใช้ทรัพยากรกำลัง เงิน การจ่าย การไม่จ่าย การไม่ให้ หรือให้ หรือแม้กระทั่งการติดสินบน Soft Power ใช้ทรัพยากรเชิงสถาบัน ค่านิยม วัฒนธรรม และนโยบายรัฐ” “ในการเมืองระหว่างประเทศแหล่งทรัพยากรที่สร้างอำนาจนุ่มนวลหรือ Soft Power นั้นมาจากค่านิยม หรือคุณค่าแห่งสังคมที่รัฐหรือประเทศ หรือองค์กรนั้นแสดงออกผ่านวัฒนธรรม ผ่านการปฏิบัติและนโยบายภายในประเทศหรือสังคมภายในของตนโดยธรรมชาติ โดยเฉพาะในด้านการมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่เรื่องนี้ก็ยากที่รัฐบาลจะเข้ามาแทรกแซงควบคุมได้ เพราะเป็นเรื่องที่เกิดเองในสังคม แต่ก็ไม่ได้ทำให้มันลดความสำคัญลงไปแม้ว่ารัฐควบคุมค่านิยมทางสังคมและวัฒนธรรมเหล่านั้นไม่ได้เด็ดขาดเหมือนการกำหนดนโยบายที่ใช้อำนาจอาวุธและอำนาจเศรษฐกิจเงินตรา อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของฝรั่งเศสท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า ‘คนอเมริกันทรงอำนาจมาก เพราะพวกเขาสามารถดลใจให้เกิดความฝันและความปราถนาอยากได้ในหมู่ผู้คนชนชาติอื่นได้ ก็ต้องขอขอบคุณและชื่นชมยินดีต่อภาพที่สร้างให้ปรากฏในระดับโลกผ่านฟิล์มภาพยนตร์ และโทรทัศน์ และเพราะเหตุผลเดียวกันนี้เองจึงมีนักเรียนนักศึกษาจากประเทศต่างๆจำรวนมากมายมหาศาลไปเรียนต่อในสหรัฐอเมริก’. (น.8) Soft Power เป็นความจริงแท้อันสำคัญ E.H. Carr นักปรัชญารัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชาวอังกฤษเขียนอธิบายเมื่อปี 1939 เรื่องอำนาจการเมืองระหว่างประเทศว่ามีสามประการ คือ อำนาจการทหาร, อำนาจเศรษฐกิจ, และอำนาจสร้างความคิดเห็น ใครก็ตามที่ปฏิเสธความสำคัญของ Soft Power คนคนนั้นไม่เข้าใจเรื่องแสนยานุภาพแห่งเสน่ห์เย้ายวนของอำนาจรัก” “ระหว่างการประชุมกับประธานาธิบดี John F. Kennedy ครั้งหนึ่ง รัฐบุรุษอาวุโส John J. McCloy ระเบิดอารมณ์โกรธใส่ประธานาธิบดีที่ท่านไปใส่ใจเรื่อง popularlity หรือความดังเด่นเป็นที่นิยมชื่นชอบ กับ attraction คือความน่าดึงดูดใจให้หลงรัก ในการเมืองโลก John McCloy. โวยวายว่า: ‘ความคิดเห็นของชาวโลกเหรอ? ผมไม่เชื่อในเรื่องความคิดเห็นของชาวโลก สิ่งสำคัญที่สุดสิ่งเดียวคืออำนาจ’ แต่สำหรับท่านประธานาธิบดี Kennedy แล้ว ท่านก็คิดเหมือนกับอดีตประธานาธิบดี Woodrow Wilson และ Franklin Roosevelt ที่ท่านเข้าใจเรื่องความสามารถในการโน้มน้าวจิตใจของผู้อื่น และรู้ดีว่าการขับเคลื่อนความคิดของชาวโลกไปในทิศทางที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจ ท่านเข้าใจความสำคัญของ Soft Power” ศาสตราจารย์ Joseph Nye เตือนว่า บางที่ทรัพยากรแห่งอำนาจแบบเดียวกันที่สร้างอำนาจทั้งสองแบบ ทั้ง แบบอ่อน และ แบบแข็ง บางทีพอถึงคราวอำนาจตกต่ำก็ตกต่ำลงไปด้วยกัน แต่บางทีภาพลวงตาที่ทำให้เชื่อว่ายังมีพลังอำนาจแข็งอยู่ก็อาจส่งผลต่อประเทศเล็กๆที่หลงเชื่อภาพลวงตานั้นได้ Hitler กับ Stalin ในช่วงที่อำนาจตกต่ำครั้งสงครามโลกครั้งที่สองยังสามารถสร้างภาพให้เกิดความรู้สึกเชื่อแบบลึกลับว่ายังมีพลังอำนาจการทหารอยู่ ส่งผลให้บรรดาประเทศเล็กๆในยุโรปตะวันออกยังยอมเชื่อและหวาดหวั่นต่ออำนาจแข็งของเยอรมนี และ สหภาพโซเวียตรัสเซียอยู่ต่อไป การสำรวจความเห็นของชาวโลกในสมัยประธานาธิบดี Kennedy พบว่าโลกยังชื่นชมยกย่องสหรัฐอเมริมาก แต่สหภาพโซเวียตก็สามารถสร้างภาพการรับรู้ในหมู่ชาวโลกว่ายังเข้มแข็งก้าวหน้าดังตัวอย่างที่ปรากฏในความก้าวหน้าในโครงการอวกาศและฐานกำลังอาวุธนิวเคลียร์ แต่ว่า Soft Power นั้นไม่จำเป็นต้องพึ่งพา Hard Power อยู่เดี่ยวๆในตัวเองได้นครรัฐวาติกันมีแต่ Soft Power แถมถูก Stalin เย้ยหยันด้วยคำแกล้งถามว่า ที่สำนักวาติกันแบ่งงานกันกี่กระทรวงหรือ? สหภาพโซเวียตเองเคยมีอำนาจนุ่มนวลหรือ Soft Power ในอดีตไม่น้อย แต่ก็สูญเสียไปมากหลังจากการบุกยึด Hungary และ Czechoslovakia ขนะที่อำนาจการทหารและเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น นำนาจนุ่มนวลกลับถดถอยลดต่ำ ทั้งนี้ก็เพราะนโยบายอำนาจแข็งกลายเป็นตัวทำลายอำนาจนุ่มนวล ในทางตรงข้าม อำนาจจากนโยบายเพื่อนบ้านที่ดี (Good Neighbor Policy) ของสหรัฐอเมริกาสมัยประธานาธิบดี Franklin Roosevelt ช่วยให้ สหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์กับชาติ Latin America ช่วง 1930s ดีขึ้นมาก บางประเทศอาจจะได้รับความชื่นชมยกย่องจนเกินความเป็นจริงว่าเข้มแข็งทรงอำนาจทั้งๆที่อำนาจการทหารและเศรษฐกิจไม่ได้ยิ่งใหญ่มากมายนัก ทั้งนี้ก็อาจเป็นเพราะภาพของการมีนโยบายช่วยเหลือชาติอื่นทางเศรษฐกิจและการร่วมสร้างสันติภาพในโลกผ่านนโยบายและกิจกรรมระดับนานาชาติอื่นๆ เช่น Norway มีบทบาทสร้างสันติภาพสูงในการเป็นคนกลางเจรจาสันติภาพใน Philippines, The Balkans, Colombia, Guatemala, Sri Lanka, และตะวันออกกลาง นั่นคือ Soft Power ของ Norway อย่างแท้จริง ทำให้ Norway ได้เข้าถึงโอกาสในการแก้ปัญหาและสร้างสัมพันธ์อันดีกับประเทศอื่นๆ แถมยังทำให้ Norway เป็นที่เคารพยกย่องในบรรดาประเทศมหาอำนาจอื่นด้วย ผู้นำ Norway อธิบายวัฒนธรรมนอร์เวย์ที่รักสันติภาพเป็นผลจากศาสนาคริสต์นิกาย Lutheran Canada ก็เช่นกัน ที่ใช้อำนาจนุ่มนวลของความเป็นชาติที่มีมาตรฐานทางศีลธรรมสูง เป็นชาติที่พลเมืองโดยรวมเป็นพลเมืองดี อำนาจทางทหารอาจไม่มีอะไรมากนัก แต่ก็มีขีดความสามารนถในการให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศ เวลาจะเจรจาเรื่องใดกับสหรัฐอเมริกา ผู้นำ Canada ก็รู้ว่า Canada มีสิ่งที่สหรัฐต้องการ คือการรับรองความชอบธรรมต่อสหรัฐจาก Canada การเจรจากับสหรัฐในเรื่องใดๆ Canada รู้ว่าจะเป็นฝ่ายที่จะต้องได้รับความเคารพอย่างสูง Poland ส่งทหารไปอิรักหลังสงครามอิรักจบลงก็เพื่อแสดงบทบาทให้เห็นในระดับนานาชาติและให้สหรัฐพึงพอใจในความร่วมมือ ที่ Afghanistan ปี 2002 ตอนที่รัฐบาล Taliban พ่ายแพ้ รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดียบินไป Kabul ทันทีเพื่อแสดงความยินดีกับรัฐบาลชั่วคราวที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ บนเครื่องบินของรัฐมนตรีอินเดียมีของไปแจกมากมาย ไม่ใช่อาวุธ หรืออาหาร แต่แน่นไปด้วยวิดีโอภาพยนตร์และดนตรีอินเดียจาก Ballywood ไม่นานวิดีโอเทปภาพยนตร์อินเดียเหล่านั้นก็ถูกแจกจ่ายทั่วประเทศอัฟกานิสถาน เรื่องนี้ยืนยันได้ว่าประเทศไหนๆก็มี Soft Power เหมือนกัน สถาบันต่างๆของประเทศก็เป็นพลังอำนาจนุ่มนวล หรือ Soft Power ได้ อังกฤษในศตวรรษที่ 19 และสหรัฐอเมริกาในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ได้เสริมสร้างโครงสร้างเชิงสถาบันได้เข้มแข็งสูงคุณค่า เช่นการสร้างกำหนดกฎเกณฑ์ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยยึดหลักเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ระบบเศรษฐกิจ การค้าเสรี มาตรฐานค่าทองคำในโลก โครงสร้างการทำงานของ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF), องค์การการค้าโลก (The World Trade Organization-WTO), องค์การสหประชาชาติ (The United Nations) ล้วนเป็นความคิดริเริ่มจากอิทธิพลการคิดริเริมของอังกฤษและอเมริกาทั้งสิ้น ศาสตราจารย์ Joseph Nye สรุปการอธิบายความหมายของ Soft Power ว่า: “เมื่อประเทศหนึ่งประเทศใดแสดงอำนาจอันมีเหตุผลชอบธรรมในสายตาของประเทศ อื่นๆ ประเทศนั้นก็จะไม่พบกับการคัดค้านต่อต้านในความปราถนาตามนโยบายของประเทศนั้น หากวัฒนธรรมและอุดมการณ์ของประเทศนั้นชวนดึงดูดใจให้รักชื่นชอบ ประเทศอื่นทั้งหลายก็ยินดีที่จะทำตามอย่างเต็มใจ หากประเทศใดวางกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศไว้ดีมีคุณธรรมและยุติธรรม ประเทศนั้นก็จะได้รับความยอมรับในนโยบายต่างประเทศด้านอื่นด้วยหากประเทศใดใช้สถาบันที่ตนเองสร้างขึ้นมาและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างดี ประเทสนั้นก็มีโอกาสที่จะส่งผ่านนโยบายและแรงปราถนาตามนโยบายต่างประเทศของตนผ่านสถาบันระหว่างประเทศที่สร้างขึ้นมานั้นได้” นี่คือ Soft Power ผ่านนโยบายการต่างประเทศ ผ่านความพลังวัฒนธรรม และผ่านค่านิยมทางอุดมการณ์ประชาธิปไตย [4] แหล่งที่มาของทรัพยากร Soft Power (Sources of Soft Power) จากหนังสือ “Soft Power: The Means to Success in World Politics” (“อำนาจนุ่มนวล: หนทางสู่ความสำเร็จในการเมืองโลก”) โดย Prof. Joseph S. Nye, Jr. อันเป็นต้นกำเนิดของความคิดเรื่อง Soft Power นั้น หลังจากอรรถาธิบายเรื่องความหมายของ Soft Power โดยพิศดารแล้ว คราวนี้ก็มาถึงเรื่องแหล่งที่มาของทรัพยากรที่เป็นขุมพลังของ Soft Power หรือ “Sources of Soft Power” ในหน้า 11-15 ของบทที่ 1 ศาสตราจารย์ Joseph Nye Jr. เริ่มอธิบายว่า ไม่ว่าจะเป็นประเทศใด หากจะค้นหาแหล่งทรัพยากรที่มาหรือขุมพลังของ Soft Power มี 3 แหล่งทรัพยากรหลัก คือ: “1. วัฒนธรรม (ที่เป็นพลังดึงดูดให้รักและชื่นชอบ หรือมี attraction ต่อผู้อื่น) 2. ค่านิยมทางการเมือง (ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีคุณภาพยั่งยืนทั้งในประเทศของตน และเป็นที่ชื่นชมปฎิบัติตามในต่างประเทศด้วย) และ 3. นโยบายต่างประเทศ (ที่ได้รับการยอมรับว่าจริงแท้ ชอบด้วยเหตุผล ถูกต้องดีงาม และมีพลานุภาพเชิงศีลธรรม - ‘legitimate and having moral authority’) 1. “เริ่มเรื่องแรกคือ วัฒนธรรม (Culture) ซึ่งเป็นชุดหรือกลุ่มค่านิยมและประเพณีปฏิบัติต่างๆที่สร้างความหมายให้กับสังคม วัฒนธรรมนั้นปรากฏตัวในหลากหลายรูปแบบ ถือเป็นวิธีปรกติที่จะอธิบายโดยเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรมระดับสูง (high culture) เช่น งานวรรณกรรม, ศิลปะ, และการศึกษา ซึ่งล้วนเป็นสิ่งชวนชื่นชมและยึดถือปฏิบัติตามในหมู่พลเมืองผู้มีวิถีการดำเนินชีวิตระดับบนของกลุ่มชั้นทางสังคม (อาจเรียกว่าเป็น ‘ผู้มีวัฒนธรรม’ ก็ได้ - ส.อ.), เปรียบเทียบกับวัฒนธรรมสมัยนิยม (popular culture) ซึ่งเน้นที่ความนิยมชมชอบวัฒนธรรมบันเทิง (mass entertainment) ในบรรดามวลมหาชนร่วมยุคสมัย” เมื่อวัฒนธรรมของประเทศมีความนิยมเป็นสากล เกิดค่าความเป็นสากล หรือความนิยมระหว่างประเทศ ได้ผนวกกับนโยบายของประเทศนั้นๆที่ส่งเสริมและเพิ่มพูนคุณค่าและความสนใจแบ่งปันไปสู่ประชาชาติอื่นๆ ก็จะทำให้ประเทศนั้นได้สิ่งที่ปรารถนา คือผลลัพธ์เชิงนโยบายต่างประเทศ ทั้งนี้ก็ด้วยความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันระหว่างพลังดึงดูดให้รักให้ชอบกับภาระหน้าที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมนั้นๆ ถ้าเป็นค่านิยมหรือรูปแบบแคบๆทางวัฒนธรรม เป็นวัฒนธรรมท้องถิ่นปลีกย่อยตามพื้นที่ก็มักจะไม่มีผลทาง Soft Power สหรัฐอเมริกานั้นได้รับประโยชน์มาก ด้วยว่าวัฒนธรรมอเมริกันมีความเป็นสากล กระจายกว้างคลุมพื้นที่โลก บรรณาธิการชาวเยอรมัน ชื่อ Josef Joffe เคยพูดครั้งหนึ่งว่า Soft Power ของอเมริกานั้นมีมากกว่าอำนาจการทหารและอำนาจเศรษฐกิจรวมกันด้วยซ้ำไป และเสริมว่า “วัฒนธรรมอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมระดับสูงหรือระดับล่าง ทั้งสองระดับวัฒนธรรมแผ่ขยายกระจายออกไปนอกอาณาจักรในขนาดที่ยิ่งใหญ่ไพศาลกว้างไกลอย่างที่เคยเห็นครั้งสุดท้ายก่อนหน้านี้ก็สมัยวัฒนธรรมแห่งอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง - แต่วัฒนธรรมอเมริกันนั้นแผ่ไพศาลด้วยวิถีที่หักมุมเป็นพิเศษ กล่าวคือ ถ้าดูการแผ่ไพศาลของวัฒนธรรมแห่งอาณาจักโรม และ รัสเซีย ก็จะพบว่าจะจบลงตรงเส้นพรมแดนอันเป็นพื้นที่ครอบครองของอำนาจทางทหาร (หรืออำนาจแข็ง-ส.อ.) ทันที ทว่า Soft Power ของชาวอเมริกันและสหรัฐอเมริกานั้นมิได้หยุดลง ณ เส้นกั้นพรมแดนใดๆ แต่มันกระจายไปทั่วพื้นที่บนโลกแบบไร้พรมแดน ไม่มีวันที่จะเห็นพระอาทิตย์แห่งวัฒนธรรมอเมริกันตกดินเลย” (อ้างจาก note 17. Josef Joffe, “Who’s Afraid of Mr. Big?” The National Interest, Summer 2001, p. 43) “นักวิเคราะห์บางคนคิดถึง Soft Power แบบง่ายๆว่าเป็นพลังอำนาจของวัฒนธรรมร่วมสมัยนิยม ก็ถือเป็นความเข้าใจผิดที่ไปคิดแบบนั้น เพียงคิดแค่ว่าพฤติกรรมเชิง Soft Power เท่ากับทรัพยากรทางวัฒนธรรมที่บางทีก็ก่อให้เกิด Soft Power ได้บ้างในบางกรณีเท่านั้น เพราะที่จริงแล้ววัฒนธรรมไม่เท่ากับ Soft Power เสมอไป เพราะวัฒนธรรมเป็นเพียงทรัพยากรอันเป็นแหล่งที่มาที่อาจจะช่วยให้กำเนิดอำนาจนุ่มนวลหรือ Soft Power ได้ แต่ก็ไม่เสมอไป แหล่งที่มาของอำนาจ ไม่ใช่อำนาจโดยตรง มีคนที่คิด วิเคราะห์ และเข้าใจผิดในเรื่องนี้ก็เพราะความสับสนแยกไม่ออกระหว่าง “ทรัพยากรทางวัฒนธรรม” (cultural resources) กับ “พฤติกรรมอันดึงดูดความรักความชอบ” (behavior of attraction) ขอยกตัวอย่างคำวิจารณ์ของนักประวัติศาสตร์ชื่อ Niall Ferguson ผู้อธิบาย Soft Power ว่าเป็น ‘พลังที่มิใช่เป็นไปตามแบบแผนดั้งเดิมของอำนาจ เช่นเรื่องวัฒนธรรม และสินค้า’ พออธิบายเสร็จเขาก็สรุปว่า ‘มันก็แค่นี้เองแหละ ไม่ต้องไปไปสนใจอะไรมันเลย มันเป็นอะไรที่...ก็มัน ‘อ่อน’นะซิ ไม่มีอะไรนักหนาหรอก’” “มาถึงเรื่องสินค้าอาหารดังก้องโลกจากอเมริกา ศาสตราจารย์ Joseph Nye พูดถึง น้ำอัดลม Coke และ Big Macs แฮมเบอร์เกอร์ ว่ามันมิได้จำเป็นว่าจะมีอำนาจดึงดูดใจอะไรในที่จะดึงดูดโลกอิสลามให้รักสหรัฐอเมริกา เผด็จการ Kim Jong Il แห่งเกาหลีเหนือมีข่าวว่าชอบกิน pizza และชอบดูวิดีโอภาพยนตร์อเมริกัน แต่นั่นก็มิได้มีผลกระทบต่อโครงการอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือใดๆเลย “ไวน์และเนยแข็งชั้นดีมิได้เป็นเครื่องประกันให้ประเทศใดๆชื่นชอบฝรั่งเศส" “หรือความโด่งดังของเกม Poke’mon ก็มิใช่การรับประกันว่าญี่ปุ่นจะประสพความสำเร็จทางด้านนโยบายต่างประเทศ ได้สิ่งที่รัฐบาลญี่ปุ่นปรารถนา” “แต่นี่ก็มิใช่จะปฏิเสธว่าวัฒนธรรมแห่งยุคสมัยมิใช่แหล่งสร้าง Soft Power ที่สำคัญ ที่จริงก็มีบ่อยครั้งที่เห็นว่า Soft Power ได้แรงหนุนมาจากวัฒนธรรม แต่ก็อย่างที่เราได้อธิบายมาก่อนหน้านี้แล้วว่าประสิทธิผลของแหล่งทรัพยากรใดๆอันเป็นที่มาแห่งพลังอำนาจ Soft Power นั้น : “มันขึ้นอยู่กับบริบท” “It depends on the context.” “รถถังไม่มีพลังอำนาจอะไรนักในป่าทึบและพื้นที่บึงชุ่มน้ำ ถ่านหินและเหล็กกล้าไม่ใช่แหล่งพลังอำนาจสำคัญของประเทศที่ไม่มีฐานอุตสาหกรรมการผลิตที่ใหญ่พอ ชาวเซิร์บที่นั่งกิน McDonald’s hamburger อยู่ก็ยังคงสนับสนุนประธานาธิบดี Milosevic ของเขาต่อไป นักรบกองโจรชาว Rawanda ก็ยังคงปฏิบัติการต่อผู้คนอย่างไร้เมตตาต่อไปทั้งๆที่ใส่เสื้อยืดพิมพ์ตราสัญญลักษณ์อเมริกันต่างๆบนหน้าอกเสื้อ ภาพยนตร์อเมริกันที่เป็นที่ชื่นชอบในหมู่ชาวจีนหรือละตินอเมริกันอาจก่อให้เกิดผลตรงข้าม เฉพาะที่ปากีสถานและซาอุดิอาราเบีย ภาพยนตร์อเมริกันเป็นตัวลด American Soft Power ลงด้วยซ้ำไป แต่โดยทั่วไป จากการสำรวจความเห็นผู้คนในต่างประะเทศ วัฒนธรรมอเมริกันร่วมสมัยนิยม ในทัศนะของคนชาติอื่น เขาเห็นว่ามัน... ‘น่าตื่นเต้น, วิจิตรอัศจรรย์, มั่งคั่งงดงาม, ทรงพลัง, กำหนดทิศทางความนิยม - มันเป็นที่สุดแห่งความทันสมัยและนวัตกรรม’ (‘Exciting, exotic, rich, powerful, trend- setting, - the cutting edge of modernity and innovation.’) 2. "เรื่องค่านิยมทางการเมือง (Political Value): ค่านิยม และความคิดทางการเมืองแบบอเมริกันที่ส่งกระจายออกสู่โลกกว้าง อาจถูกนำไปขายเป็นสินค้าและบริการต่างๆ เป็นวิถีทางธุรกิจ ซึ่งก็เป็นเพียงทางหนึ่ง คือทางการค้า “ยกตัวอย่างหนุ่มนักรณรงค์การเมืองชาวจีนคนหนึ่งให้สัมภาษณ์ว่าในประเทศจีนตอนนี้เริ่มมีการใช้สิทธิในการฟ้องร้องดำเนินคดีกันตามแบบที่เห็นในภาพยนตร์ Hollywood จนคนจีนตอนนี้รู้สึกว่าการมีคดีความขึ้นโรงขึ้นศาลกลายเป็นเรื่องปรกติธรรมดาไปแล้วเหมือนที่เห็นในภาพยนตร์อเมริกัน การปกป้องสิทธิเสรีภาพของตนเองตามที่เห็นในภาพยนตร์ได้ผลมากกว่าเชิญทูตอเมริกันมาบรรยายเรื่องการเคารพในระบบกฎหมายหลายเท่านัก” แต่การเผยแพร่ค่านิยมอเมริกันผ่านทางอื่นก็มีหลากหลาย เช่น ผ่านความสัมพันธ์ส่วนตัว, การท่องเที่ยวเดินทาง, การแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ และระหว่างสังคมที่หลากหลาย ความคิดแบบอมเริกัน ค่านิยมแบบอเมริกัน ถูกส่งออกผ่านจิตใจของนักเรียนต่างชาติที่ไปเรียนในอเมริกา ทั้งระดับโรงเรียน และมหาวิทยาลัยต่างๆทุกๆปี ปีละประมาณครึ่งล้าน หรือ 500,000 คน (หรือ 5 แสนหัวใจ - ส.อ) เรียนจบแล้วกลับบ้านกลับประเทศของตน หรือชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวเอเชียที่เข้าไปทำงานประสพความสำเร็จทางธุรกิจเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์สารสนเทศ - IT ที่ Silicon Valley แล้วกลับไปทำธุรกิจการงานในประเทศของตนก็มักจะเป็นกลุ่มคนระดับสูงในสังคม มีพลังอำนาจสูงในสังคมและประเทศของตนต่อไปอีก ผู้นำในประเทศจีนส่วนมากส่งลูกไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา แล้วได้พบได้เห็นภาพแท้จริงของสังคมอเมริกัน ต่างไปจากภาพการ์ตูนโฆษณาชวนเชื่อในสื่อมวลชนจีนที่รัฐควบคุมอยู่ ทำนองเดียวกัน เวลาที่รัฐบาลสหรัฐฯพยายามที่จะจูงใจให้ประธานาธิบดี Musharraf แห่งปากีสถานเปลึ่ยนนโยบายให้หันมาสนับสนุนอเมริกาให้มากขึ้น การที่ลูกชายท่านทำงานที่ Boston ก็อาจจะช่วยอะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย ว่าด้วยเรื่องค่านิยมด้านอุดมการณ์ในประเทศและต่างประเทศเรื่องการสนับสนุนปกป้องสิทธิมนุษยชน ส่งเสริมอุดมการณ์ประชาธิปไตย ช่วยเหลือสถาบันระหว่างประเทศที่สำคัญ ล้วนมีผลแปรเปลี่ยนพฤติกรรมของชาติอื่นๆที่มองมาที่สหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก อาจจะดึงให้คนรัก ดันให้คนชัง ก็ได้ทั้งสองทาง ทั้งๆที่ใช้อำนาจนุ่มนวลจากแหล่งทรัพยากรเดียวกัน 3. "เรื่องนโยบายของรัฐ ทั้งนโยบายในประเทศและต่างประเทศ (Government / Foreign Policy) เรื่องนี้คือศักยภาพสำคัญอีกแหล่งหนึ่งของ Soft Power ยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกาใชช่วงปี 1950s นโยบายกีดกันแบ่งแยกคนผิวดำออกจากคนผิวขาวในโรงเรียน, ชั้นเรียน, สถานที่สาธารณะ, ร้านอาหาร, ที่นั่งบนรถโดยสาร, ห้องน้ำสาธารณะ, ฯลฯ เรื่องเหล่านี้ทำลายศักยภาพแห่งอำนาจนุ่มนวลของสหรัฐอเมริกาในทวีปแอฟริกามาก Soft Power ของสหรัฐฯในยุโรปก็ตกต่ำลงมากเพราะกฎหมายโทษประหารชีวิต และการควบคุมอาวุธปืนที่หย่อนยาน นั่นเป็นตัวอย่างเรื่องนโยบายภายในประเทศ ด้านนโยบายต่างประเทศก็ทำนองเดียวกัน สมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter มีเรื่องผลักดันนโยบายสิทธิมนุษยชน สมัยประธานาธิบดี Reagan และ Clinton กับการผลักดันนโยบายส่งเสริมประชาธิปไตยในต่างประเทศ ก็พบว่ารัฐบาลทหาร Argentina ปฏิเสธการผลักดันเรื่องสิทธิมนุษยชนจากสหรัฐฯ แต่ก็ส่งผลเชิงบวกเพิ่ม Soft Power ให้กับสหรัฐอเมริกา 20 ปีต่อมาเมื่อรัฐบาลนิยม Peronists ที่เคยถูกจำคุกสมัยเผด็จการกลับมาครองอำนาจ ผลจาก Soft Power อาจเกิดระยะสั้น หรือระยะยาว แล้วแต่บริบทที่จะผันแปรไปตามช่วงเวลาและสถานการณ์ สหรัฐฯสมัยประธานาธิบดี Jimmy Carter ช่วงปี 1970s ได้รับความชื่นชมยกย่องมากจาก Argentina ช่วงต้นปี 1990s ถือเป็นการรอเวลาถึงสองทศวรรษกว่า Soft Power จะสำแดงผลบวก ยังผลให้รัฐบาล Argentina สนับสนุนบทบาทของสหรัฐฯในสหประชาชาติและนโยบายในคาบสมุทร Balkans" อย่างไรก็ตาม กาลเวลาผ่านไป บริบทก็เปลี่ยนไป Soft Power ของสหรัฐฯต่อ Argentina ตกต่ำลดพลังลงมากในทศวรรษถัดมาโดยเหตุที่สหรัฐฯมิได้ช่วยปกป้องและป้องกันมิให้เศรษฐกิจของ Argentina ล่มสลาย " นโยบายของรัฐบาลมีทั้งที่เสริมความแข็งแกร่ง และที่ทำลาย Soft Power นโยบายที่สุดกู่ในเรื่องตำหนิวิพากษ์ชาติอื่น, นโยบายทำตัวเก่งกร่างไม่แยแสความเห็นประเทศอื่น, มุมมองแคบจำกัดเพียงเรื่องผลประโยชน์ส่วนชาติตนเองเท่านั้น, ทั้งหลายเหล่านี้คือปัจจัยทำลาย Soft Power ทั้งสิ้น หลังสงครามใน Iraq จบลงในปี 2003 มีการสำรวจความคิดเห็นประชาชน พบว่าประชาชนในต่างประเทศส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของประธานาธิบดี George W. Bush แต่แยกออกจากทัศนะต่อประชาชนอเมริกันโดยรวม แสดงให้เห็นว่า Soft Power ของประชาชนอเมริกันยังคงเป็นที่พอใจอยู่ แต่อำนาจนุ่มนวลของรัฐบาลตกต่ำลงมาก ประชาชนในต่างประเทศแม้จะไม่ชอบรัฐบาล แต่ก็ยังคงชอบเทคโนโลยี, วัฒนธรรม ภาพยนตร์, ดนตรี รายการโทรทัศน์ จากวัฒนธรรมอเมริกันอยู่ต่อไป แต่ก็ยังมีความเห็นส่วนใหญ่ไม่พอใจที่ว่าอิทธิพลอเมริกันกำลังมีเพิ่มมากขึ้นในประเทศของตน" "สงครามใน Iraq ปี 2003 ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำลาย Soft Power ของสหรัฐฯ สงครามเวียดนาม ทำลาย Soft Power ของสหรัฐไปแบบแทบจะสิ้นสลายล่มจม โลกคัดค้านสงครามเวียดนามที่สหรัฐฯเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงยาวนานสร้างความเสียหายสุดประเมาณ แถมเป็นฝ่ายแพ้สงครามให้กับเวียดนามเหนือที่มีอำนาจแข็ง คืออาวุธและการทหารน้อยกว่าสหรัฐฯมากอีกด้วย ศาสตราจารย์ Joseph Nye ให้ข้อสังเกตุว่า บริบทแห่งกาลเวลาทำให้อำนาจนุ่มนวลเปลี่ยนไปได้ เวียดนามปัจจุบันผ่านกาลเวลาจากสงครามมาสู่สันติภาพ ทัศนะของเวียดนามต่อสหรัฐฯ ก็กลับมาดีขึ้น ส่วนสงครามใน Iraq นั้นยังต้องรอดูว่า Soft Power ของสหรัฐฯจะฟื้นตัวเมื่อไร อีกทั้งองค์ประกอบของสงครามและความขัดแย้งที่อื่น เช่นทีี่ Israel กับ Palestine ก็จะเป็นตัวแปรสะท้อน Soft Power ของสหรัฐฯด้วยว่าจะยังมีอยู่หรือไม่ หรือมีแล้วจะใช้หรือไม่ใช้อย่างไร" "สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯหรือรัฐบาลประเทศอื่นใดก็ตามที่อยู่ในบริบทแห่ง Soft Power ต้องคำนึงเป็นสำคัญก็คือ Soft Power นั้นมิได้เป็นของรัฐบาลในระดับความเข้มข้นแน่นหนักเท่ากับที่รัฐบาลเป็นเจ้าของผู้ครอบครอง Hard Power หรืออำนาจแข็งทางการทหารและเศรษฐกิจ นั่นเป็นอำนาจในควบคุมของรัฐบาลชัดเจน อย่างอื่นเป็นอำนาจของชาติโดยรวม จะจัดการตามใจชอบของรัฐบาลไม่ได้ เช่นทรัพยากรธรรมชาติ น้ำมันดิบ แร่ธาตุในดิน หลายอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมร่วมกันเป็นกลุ่มเป็นคณะ การบินพาณิชย์เป็นของภาคธุรกิจเอกชน หากจำเป็นรัฐบาลก็ต้องสั่งการในภาวะฉุกเฉินให้สายการบินทั้งหลายรวมกันเป็นพลังอำนาจกลุ่มใหม่รับใช้ชาติก็ได้ ไม่ว่าจะโดยวิถีนุ่มนวล หรือแข็งกร้าวก็แล้วแต่ ในทางตรงกันข้าม แหล่งทรัพยากร Soft Power หลายอย่างอยู่เหนือการแทรกแซงของอำนาจรัฐบาล อาจจะร่วมมือกับรัฐบาลบ้าง หรือไม่ร่วมก็ได้ ยกตัวอย่างวัฒนธรรมร่วมสมัยนิยม หรือ popular culture เช่นภาพยนตร์ ดนตรี ความบันเทิงต่างๆจาก Hollywood ที่วาบหวิวละเมิดศีลธรรมจริยธรรมของขาวมุสลิม ก็เป็นปัญหาทำลาย Soft Power ที่รัฐจะเข้าไปควบคุมไม่ได้ กลุ่มนับคือศาสนาคริสต์แบบอนุรักษ์จัดก็สร้างปัญหาขัดแย้งรุนแรงกับกลุ่มที่นับถืออิสลามในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง แล้วบานปลายขยายต่อไปถึงต่างประเทศด้วย ยังผลให้ Soft Power ของสหรัฐฯเสียหาย สลาย หรือลดค่าลงไปได้ ในเมื่อสหรัฐอเมริกาเป็นสังคมประชาธิปไตยเสรี การนับถือศาสนา นิกายของศาสนา และทัศนะต่อศาสนาอื่นในสังคมอเมริกัน ย่อมทำได้เสรี เรื่องนี้เป็นเรื่องของวัฒนธรรมภาคประชาชนที่สามารถด้อยค่าหรือทำลาย Soft Power ของรัฐบาลได้" ทั้งหมดคือหัวใจของฐานทรัพยากร อันเป็นขุมพลังที่ก่อให้เกิดหรือทำลาย Soft Power ได้ [5] ความจำกัดของ Soft Power (The Limits of Soft Power) “มีคนที่ไม่เชื่อและคัดค้านความคิดเรื่อง Soft Power เพราะเขาเหล่านั้นคิดในมุมมองแคบๆในเรื่อง “power” หรือ “อำนาจ” ว่าเป็นเรื่องของการออกคำสั่งและการเข้าควบคุมอย่างไม่ปล่อย”, ศาสตราจารย์ Joseph Nye กล่าว ในบทที่หนึ่งของหนังสือเรื่อง “Soft Power: The Means to Success in World Politics” (“อำนาจนุ่มนวล: หนทางสู่ความสำเร็จในการเมืองโลก”) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดทฤษฎีว่าด้วยมิติที่สองของอำนาจอันนุ่มนวลในนโยบายการเมืองระหว่างประเทศ ท่านวิจารณ์ต่อไปว่า “ในทัศนะของคนเหล่านั้น การทำตามอย่างหรือเลียนแบบ และ การดึงดูดใจ เป็นแค่ความหมายตามตัวอักษรเท่านั้น มันเป็นแค่การทำตามอย่าง และการดึงดูดใจ ใม่ใช่ “อำนาจ” อย่างที่เราได้เห็นมาแล้วว่าการทำเลียนแบบและการดึงดูดใจบางอย่างไม่ได้ก่อให้เกิดอำนาจอะไรนัก ไม่มีอำนาจอะไรมีผลลัพธ์อันเกิดจากนโยบาย ยกตัวอย่างญี่ปุ่นในช่วงปี 1980s ได้รับการชื่นชมจากทั่วโลกในเรื่องนวัตกรรมกระบวนการอุตสาหกรรม แต่แล้วก็พบว่ามีชาติอื่นทำเลียนแบบญี่ปุ่นกันมาก ยังผลให้ญี่ปุ่นได้รับผลกระทบเชิงลบ อำนาจการตลาดของญี่ปุ่นในโลกตกต่ำลง ทำนองเดียวกัน การเลียนแบบยุทธการของกองทัพชาติหนึ่งกับอีกชาติหนึ่งซึ่งมักทำกันเสมอยังผลให้การสู้รบในสงครามเป็นแบบรู้เท่าทันคู่สงครามได้ ทำให้ยากยิ่งที่ฝ่ายหนึ่งจะคาดหวังชัยชนะตามได้จากนวัตกรรมการสงครามของตน ข้อสังเกตุดังว่านี้ถูกต้อง แต่พวกเขาเหล่านั้นก็ตกหล่นประเด็นสำคัญไปในเรื่องที่ว่า การผลักดันอำนาจดึงดูดใจไปยังอีกฝ่ายหนึ่งมักจะได้ผลทำให้คุณได้สิ่งที่คุณต้องการหรือคาดหวัง คนที่คิดนิยามเรื่องอำนาจว่าเป็นเพียงความมุ่งมั่นจงใจออกคำสั่งและควบคุมกำกับดูแลเท่านั้น ละเลยที่จะคิดถึงด้านที่สองของโครงสร้างแห่งอำนาจ -- นั่นคือ ขีดความสามารถในการทำให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่คุณต้องการโดยไม่ต้องกดดันบังคับให้คนอื่นเปลี่ยนพฤติกรรมผ่านการใช้อำนาจข่มขู่หรืออำนาจเงิน “ในเวลาเดียวกัน มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องชี้ชัดถึงเงื่อนไขที่จะทำให้การดึงดูดใจมีแน้วโน้มมากกว่าในอันที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ และชี้ชัดในแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวอันทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ อย่างที่เห็นแล้วว่าวัฒนธรรมสมัยนิยม (popular culture) มีแนวโน้มสูงที่จะดึงดูดใจให้คนชอบและหลงไหลทำตาม ทำให้เกิด Soft Power ในความหมายที่ว่าได้ผลลัพธ์ที่พึงปราถนา ในสถานการณ์ที่วัฒนธรรมมีความคล้ายคลึงกันมากกว่าจะแตกต่างกัน อำนาจทั้งมวลนั้นขึ้นอยู่กับบริบท - ใครสัมพันธ์กับใคร ภายใต้เงื่อนไขอย่างไร - แต่อำนาจนุ่มนวล หรือ Soft Power ต้องพึ่งพาอาศัยคนที่พร้อมจะอธิบายความหมาย (ของพลังวัฒนธรรมสมัยนิยม) กับกลุ่มคนที่เป็นฝ่ายรับ (แรงดึงดูดทางวัฒนธรรม) ยิ่งไปกว่านั้น อำนาจดึงดูดทางวัฒนธรรมนั้นมันมีผลกระทบแบบฟุ้งกระจายกว้างออกไปรอบทิศทาง สร้างอิทธิพลโดยภาพรวมมากกว่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่มองเห็นได้ง่ายเป็นรูปธรรมชัดเจนตายตัว ทำนองเดียวกันกับที่เราบอกว่าเงินเป็นเครื่องมือในการลงทุน พวกนักการเมืองก็มักพูดว่าเขาลงทุนเป็นต้นทุนทางการเมืองสะสมในบัญชีอำนาจการเมือง เผื่อไว้ถอนออกมาใช้กับสถานการณ์ในอนาคต แน่นอนว่าความปราถนาดีในการลงทุนทางการเมืองเช่นนั้นอาจจะไม่ได้รับดอกผลตามที่คาดหวังฉับพลันทันที กระนั้นก็ตามผลพวงทางอ้อมของอำนาจดึงดูดใจให้รักและไหลหลง กับการแผ่ขยายของอิทธิพล สามารถทำให้เกิดความแตกต่าง ยังผลให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง หากถึงสถานการณ์ที่ต้องที่ต้องการเจรจาต่อรอง ไม่อย่างนั้นพวกผู้นำทางการเมืองก็จะเอาแต่กดดันให้เกิดการทำตามในทันทีตามเงื่อนไขแบบต่างตอบแทนกันและกัน ในประเด็นที่ต่อรองเท่านั้น แต่เราก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช้วิถีทางแห่งพฤติกรรมของผู้นำเหล่านั้นแน่นอนเสมอไป เรื่องนี้มีงานวิจัยมากพอจากนักสังคมจิตวิทยา ที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงดึงดูดใจกับอำนาจ” (Note 23 ท้ายบทที่หนึ่งให้รายละเอียดงานวิจัยที่อ้างถึง ยกตัวอย่างงานวิจัยยุคแรกของ John R.P. French and Bertram Raven, "Bases of Social Power,” in Darwin Cartwright and Alvin Zande, eds., Group Dynamics: Research and Theory, 3d ed. (New York: Harper & Row, 1968), pp. 259-269) “Soft Power”, ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. อธิบายต่อไปว่า, “มีแนวโน้มที่จะมีความสำคัญเวลาที่อำนาจถูกกระจายแผ่ขยายออกไปยังประเทศ อื่นๆ แทนที่จะรวมศูนย์กระจุกตัวแน่นในพื้นที่ในประเทศหนึ่งประเทศใดในขอบเขตที่กำหนด พวกผู้นำเผด็จการเองนั้นก็ไม่สามารถที่แสดงความไม่แยแสอย่างหมดสิ้นต่อทัศนะของประชาชนในประเทศตน แต่พอเป็นเรื่องทัศนะต่อประเทศอื่นที่อาจเป็นที่นิยมยกย่องหรือไม่แค่ไหนก็แล้วแต่ นักเผด็จการจะเลือกแสดงทัศนะต่อต่างประเทศนั้นๆตามผลประโยชน์ที่ตัวเองคาดว่าจะได้มากกว่า ในประเทศประชาธิปไตย การตรวจสอบถามหาความเห็นสาธารณะ (public opinion) และการทำงานในระบบรัฐสภามีความสำคัญมาก พวกนักการเมืองจะมีข้อจำกัด ไม่มีทางเลือกทางออกมากมายนักในทางปฏิบัติเพื่อความตกลงตามต้องการ ตรงข้ามกับผู้นำทางการเมืองในระบอบอำนาจนิยมหรือเผด็จการอำนาจเดี่ยว ดังจะเห็นได้ว่ารัฐบาลตุรกีไม่สามารถจะอนุญาตให้กองทหารอเมริกันเคลื่อนกำลังผ่านประเทศตุรกีได้เลยในปี 2003 เพราะนโยบายของรัฐบาลอเมริกันไม่เป็นที่ยอมรับหรือชื่นชมในหมู่ประชาชนชาวตุรกี และในรัฐสภาตุรกีด้วย ในทางกลับกัน กับรัฐบาลเผด็จการใน Uzbekistan สหรัฐอเมริกาสามารถเข้าไปใช้ฐานทัพเพื่อปฏิบัติการในอัฟกานิสถานได้” “ประเด็นสุดท้าย, แม้ว่า Soft Power ในบางสถานการณ์ มีผลกระทบโดยตรงต่อเป้าหมายเฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใด - ดังที่พบว่าสหรัฐฯไม่สามารถทำให้ Chile หรือ Mexico ลงคะแนนสนับสนุนสหรัฐฯในที่ประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติได้ในปี 2003 หลังนโยบายสหรัฐฯไม่เป็นที่นิยมยกย่องทำให้ภาพพจน์สหรัฐฯในโลกตกต่ำลงในตอนนั้น ไม่ว่าสหรัฐฯมีเป้าหมายจะทำอะไรก็ยากลำบาก ขาดการสนับสนุนจากนานาชาติ” ศาสตราจารย์ Joseph Nye ชี้ให้เห็นข้อจำกัดของ Soft Power ว่าอาจขึ้นอยู่กับเป้าหมายของนโยบายของรัฐบาล หากเป็นนโยบายที่ต้องการใช้อำนาจครอบครองเป็นเจ้าของผลลัพธ์ที่พึงประสงค์ทันทีและเป็นผลประโยชน์จับต้องได้ หากใช้อำนาจแข็งก็จะสำเร็จ ส่วนเป้าหมายของนโยบายต่างประเทศเชิงอุดมการณ์ หรือเป้าหมายอันเป็นปรากฏการณ์แวดล้อม ค่านิยม หรือคุณธรรม จับต้องวัดเชิงปริมาณไม่ได้ เช่นเป้าหมายเรื่องสังคมประชาธิปไตย, การจัดการสภาวะแวดล้อม, ความเปลี่ยนแปรของสภาวะอากาศโลก, สิทธิมนุษยชน, ตลาดการค้าเสรี, ฯลฯ ก็เป็นเรื่องของอำนาจนุ่มนวลหรือ Soft Power ที่จะก่อเกิดผลลัพธ์ตามเป้าประสงค์ดีกว่า ท่านบอกว่า: “It is easier to attract people to democracy than to coerce them to be democratic.” “การดึงดูดใจให้คนรัก มันง่ายกว่าการบังคับให้คนเป็น ‘ประชาธิปไตย’.” “พวกคนที่กังขาในเรื่อง Soft Power และคัดค้านการใช้คำว่า “Soft Power” ในการเมืองระหว่างประเทศ ด้วยเหตุที่ว่ามันเป็นเรื่องที่รัฐบาลบควบคุมไม่ได้อย่างบริบูรณ์ในเรื่องอำนาจดึงดูดใจ ทั้งนี้ก็เพราะอย่างที่เห็นเป็นตัวอย่างว่า ส่วนใหญ่ของ Soft Power ในอเมริกา ผลิตโดย Hollywood, Harvard ๊ืUniversity, Microsoft, และ Michael Jordan แม้ว่าเป็นความจริงที่ว่าภาคประชาสังคมเป็นแหล่งกำเนิด Soft Power ส่วนมากในอเมริกานั้น แต่นั่นก็มิได้ลดความสำคัญของภาคประชาสังคมลงไปเลยเมื่อเทียบกับ Hollywood ประชาสังคมหรือชุมชนชาวอเมริกันยังคงมีบทบาทสำคัญเสมอ ในประเทศเสรีนิยมประชาธิปไตยเช่นสหรัฐอเมริกา ‘รัฐบาลไม่สามารถ และไม่ควร ที่จะควบคุมวัฒนธรรม’ “แน่นอนแท้จริงว่าการไม่มีนโยบายควบคุมวัฒนธรรมนั่นเองที่เป็นพลังดึงดูดใจ ยกตัวอย่าง Milos Forman ผู้กำกับภาพยนตร์ชาว Czech เล่าว่าตอนที่รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์สาธารณรัฐเชคอนุญาตให้ภาพยนตร์อเมริกันเรื่อง Twelve Angrey Men เข้าไปฉายได้ ปัญญาชนชาว Czech ก็ได้เห็นว่าเป็นภาพยนตร์ที่นำเสนอภาพของสถาบันการเมืองและสถาบันอื่นๆในสังคมอเมริกันอย่างรุนแรง เสรี เฉีียบขาด เสียหาย ก็เลยคิดว่า ‘ถ้าประเทศนั้นสามารถทำภาพยนตร์แบบนี้ แบบที่ตำหนิวิพากษ์ประเทศตัวเองขนาดนี้ได้ ประเทศเขาคงต้องมีความภาคภูมิใจในความเป็นประเทศของเขา มีพลังภายในเข้มแข็ง ต้องเป็นสังคมที่เข้มแข็งพอ และต้องเป็นสังคมที่มีเสรีภาพแท้จริง’ “มันจริงที่ว่าภาพยนตร์, มหาวิทยาลัย, มูลนิธิ, โบสถ์, และองค์กรภาคประชาสังคมต่างๆที่มิใช่หน่วยงานของรัฐ ได้พัฒนา Soft Power ของตนเอง ด้วยตนเอง", ศาสตราจารย์ Joseph Nye อธิบายเสริม: “และ Soft Power จากและโดยภาคประชาชนนี้อาจจะช่วยเสริมหรือสวนทางกับเป้าหมายของนโยบายต่างประเทศของรัฐอย่างเป็นทางการ ก็ได้ทั้งสองทาง ซึ่งการคิดแบบนี้เป็นความจริง โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เป็นยุคโลกาภิวัตน์ข้อมูลข่าวสาร บทบาท Soft Power จากภาคประชาชนและเอกชนกำลังมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐจะต้องรักษาบทบาทหน้าที่และนโยบายของรัฐเองต่อภาคเอกชนและประชาสัมคมมิให้กัดกร่อนทำลายแต่ให้สนับสนุน Soft Power ที่เป็นของรัฐเองให้ได้ “ท้ายสุด ในเรื่องความจำกัดของ Soft Power นั้น บรรดานักคิดที่คัดค้านหรือกังขาในเรื่อง Soft Power เถียงว่าการมีชื่อเสียงโด่งดังที่ได้วัดจากการสอบถามความเห็นสาธารณะนั้นเป็นเรื่องวูบวาบชั่วครู่ชั่วยาม ไม่นานก็จางหายไป ดังนั้นก็ไม่ควรจะไปจริงจังอะไรกับเรื่อง Soft Power แน่นอนว่าเราไม่ควรจะยึดมั่นในผลการสำรวจความเห็นสาธารณะเป็นสรณะเพียงทางเดียวตลอดกาล จริงอยู่ มันเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็มิใช่กระบวนการที่สมบูรณ์ในการวัดค่าหรือประเมินแหล่งทรัพยากรอันเป็นที่มาของ Soft Power คำตอบต่อคำถามในแบบสอบถามจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับรูปแบบการตั้งคำถาม เว้นเสียแต่ว่าจะถามคำถามเดิมซ้ำหลายครั้งในช่วงเวลาที่นานพอสมควร ดังนั้นแบบสอบถามสาธารณะก็จะให้เพียงภาพรวมกว้างๆในช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ใช่คำตอบระยะยาว ไม่ใช่ภาพต่อเนื่องไร้กรอบกาลเวลา ความเห็นย่อมเปลี่ยนแปลงได้ ความละเอียดอ่อนของความเห็นสาธารณะไม่สามารถตรวจหาได้แน่นอนโดยการสำรวจความเห็นเพียงครั้งเดียว เหนือกว่านั้น พวกผู้นำทางการเมืองมีความจำเป็นตั้งตัดสินใจทำสิ่งที่อาจไม่ถูกใจหรือไม่ทำให้เขาได้รับความนิยมยกย่อง แต่เขาก็ต้องตัดสินใจทำสิ่งนั้นเพราะเป็นเรื่องที่ถูกต้องจำต้องทำ ความมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่นิยมยกย่อง (popularity) ไม่ใช่ที่สุดแห่งเป้าหมายปลายทางของนโยบายต่างประเทศ กระนั้นก็ตาม การสำรวจความเห็นสาธารณะ (public opinion polls ) ถือเป็นเรื่องการหาคำตอบแบบคร่าวๆที่ดีในขั้นต้น เพราะถ้าทำนโยบายที่ผิดพลาดไม่เป็นที่นิยมชมชื่นก็จะเกิดความเสียหาย การสอบถามความเห็นสาธารณะก่อนทำนโยบาย จะเป็นวิธีสร้างพลัง Soft Power ดึงดูดให้เกิดผลลัพธ์ตามประสงค์ได้ โดยเฉพาะถ้าการสำรวจความเห็นสาธารณะนั้นทำอย่างต่อเนื่องระยะยาวและคงตามเป้าหมายเดิม” รัฐบาลทั้งหลาย - ไม่เพียงรัฐบาลอเมริกันเท่านั้น - ที่ต้องเข้าใจว่า Soft Power นั้นมีความสำคัญ คู่ขนานไปกับ “Hard Power” ซึ่งอำนาจแข็งกร้าวทางการทหารและอำนาจเศรษฐกิจในโลกปัจจุบันนี้พิสูจน์ให้สหรัฐอเมริกาเห็นแล้วว่าไม่เพียงพอ อำนาจนุ่มนวล หรือ “Soft Power” เป็นอำนาจผ่านการเมืองระหว่างประเทศ เป็นอำนาจแฝงอยู่หรือปรากฏแจ่มแจ้งในนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา และความคิดเรื่อง Soft Power ที่ถือกำเนิดขึ้นมาโดยความคิดแรกเริ่มจากการวิเคราะห์การเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกากว่า 30 ปี (34 ปี ถึงปี 2024) มาแล้วนั้น ปรากฏในตำราหลักเรื่อง “Soft Power: The Means to Success in World Politics” (“อำนาจนุ่มนวล: หนทางสู่ความสำเร็จในการเมืองโลก”) โดย Prof. Joseph S. Nye, Jr. พิมพ์เผยแพร่เมื่อปี 2004 โดยหวังว่ารัฐบาลอเมริกัน และรัฐบาลประเทศต่างๆ หากได้อ่านทำความเข้าใจแล้วจะสามารถนำความคิดเรื่อง Soft Power ไปใช้ให้ถูกต้องได้ ถ้าต้องการใช้ ถึงแม้ไม่ต้องการใช้ Soft Power ก็เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติของอำนาจวัฒนธรรม กุศโลบายการเมืองระหว่างประเทศ บทบาทอันเข้มแข็งงดงามของภาคประชาชน เอกชน และภาคประชาสัมคม ไม่ต้องมีรัฐบาล รัฐบาลไม่ต้องทำนโยบายอะไรเกี่ยวกับ Soft Power เลย Soft Power ก็เกิดเองได้ เพียงแต่ไม่มีความจำเป็นต้องนิยามหรือเรียกพลังวัฒนธรรมและนโยบายรัฐ กับโครงสร้างสถาบันในสังคมที่โลกชื่นชมและพร้อมถูกดึงดูดใจให้รักและชื่นชมนี้นั้น ไม่ต้องเรียกว่าเป็น “Soft Power” เลย มันก็คงเป็น “Soft Power” อยู่ดี ส่วนอะไรที่ไม่ใช่ Soft Power แต่ไปเรียกและสั่งให้ทำให้เกิดเป็น “Soft Power” มันก็ไม่ใช่และไร้พลัง Soft Power อยู่ (ไม่)ดีนั่นเอง หลังจากทฤษฎี Soft Power เกิดมาแล้วในปี 1990 ในหนังสือเรื่องแรกชื่อ “Bound to Lead” ผ่าน “The Paradox of American Power” ในปี 2002 และ “Soft Power: The Means to Success in World Politics” ปี 2004 “The Future of Power” ปี 2011 จนถึงเรื่อง “Is the American Century Over?” ปี 2015 และอีกหลายเล่มโดยศาสตราจารย์ Joseph N. Nye, Jr. ที่ตามมา รวมกว่า 10 เรื่องสำคัญ ไม่นับบทความวิชาการต่างๆมากมาย ทั้งหมดเริ่มต้นที่เรื่องการเมืองระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ประเทศของท่านเองเท่านั้น หวังให้นักการเมืองและผู้นำอเมริกันหันมาทำความรู้จักกับพลังอันสำคัญรูปแบบที่นิยามว่า Soft Power และใช้อำนาจนุ่มนวลนี้ให้บรรลุเป้าหมายของนโยบายการต่างประเทศ แต่ผ่านไป 34 ปี นับจาก Bound to Lead ปี 1990 ถึงปี 2024 ก็ปรากฏว่าประเทศอื่นๆในโลกเอาหลักการ หรือทฤษฎี Soft Power ไปใช้ตามความสะดวกทั้งการตีความและการปฏิติเชิงนโยบาย ทั้งถูกและผิด และพลาดพลั้ง. [6] บทบาทของอำนาจการทหารที่เปลี่ยนไป (The Changing Role of Military Power) “ในศตวรรษที่ 20”, ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. อธิบายว่า, “วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เพิ่มมิติใหม่อย่างพลิกผันให้กับทรัพยากรที่มาแห่งอำนาจ เมื่อโลกเข้าสู่ยุคนิวเคลียร์ สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตไม่เพียงแต่จะเป็นเจ้าของอำนาจทางอุตสาหกรรมอันยิ่งใหญ่เท่านั้น หากแต่ยังเป็นเจ้าของผู้ครอบครองแสนยานุภาพนิวเคลียร์และขีปนาวุธข้ามทวีปอีกด้วย ยุคแห่งอภิมหาอำนาจเริ่มขึ้นแล้ว ต่อมาบทบาทนำของสหรัฐฯในเรื่องการปฏิวัติข้อมูลข่าวสารช่วงปลายศตวรรษก็เอื้ออำนวยให้สหรัฐสามารถปฏิวัติการทหารได้ ขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทำให้มีการสร้างอาวุธแบบเล็งเป้าทำลายได้แม่ยำยิ่ง, ทำจารกรรมได้ตามเวลาจริง, การสอดแนมศัตรูในสนามรบในพื้นที่หรือในภูมิภาคได้อย่างกว้างขวาง สายงานการบัญชาการและควบคุมการรบส่งผลให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นอภิมหาอำนาจทางการทหารแต่เพียงผู้เดียวในโลก “ทว่า ก็เห็นได้ว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็มีการส่งผล กระทบทางตรงข้ามต่ออำนาจการทหารในช่วงเวลาร้อยปีที่ผ่านมาด้วย ในด้านหนึ่งมันทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นอภิมหาอำนาจชาติเดียวในโลกที่อำนาจการทหารไม่มีประเทศไหนเทียบได้ แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เป็นการเพิ่มต้นทุนการใช้จ่ายเป็นทุนทางการเมืองและสังคมที่ละน้อยๆไปเรื่อยๆพร้อมกับการใช้อำนาจทางทหารเข้ายึดครองเป้าหมายหรือประเทศเป้าหมายในการสงคราม อาวุธนิวเคลียร์มีไว้ก็ไม่อาจหาญที่จะเอามาใช้รบจริงๆเพราะความเสียหายวินาศที่จะเกิด เหมือนมีอาวุธนิวเคลียร์ไว้มัดมือไม่ให้ใช้ ตกลงก็รับกันได้เพียงว่ามีอาวุธนิวเคลียร์ไว้ป้องปรามมิให้เกิดสงครามนิวเคลียร์ มีไว้ไม่ให้ใช้เท่านั้นเอง เพราะค่าใช้จ่ายทั้งต้นทุนและค่าความเสียหายมันมากมายมหาศาล จนถ้าไม่จำเป็นแบบสุดๆจริงๆก็จะไม่ใช้เด็ดขาด เวียดนามซึ่งไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ใดๆเลยก็เอาชนะสหรัฐอเมริกาได้, อาร์เจนติน่าก็มิได้เกรงกลัวอำนาจนิวเคลียร์ของอังกฤษ เดินหน้าบุกหมู่เกาะ Falklands ของอังกฤษที่อยู่นอกชายฝั่งอาร์เจนติน่าได้อย่างไม่ยำเกรงกันเลย “ความเปลี่ยนแปลงสำคัญเรื่องที่สองคือเรื่องการเติบโตก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ที่ส่งผลให้เกิดและการขยายตัวแผ่กว้างออกไปของอุดมการณ์ชาตินิยม ทำให้การครองครองดินแดนอาณานิคมทำได้ยากในเมื่อประชากรตื่นตัวกันอย่างมากด้วยข้อมูลข่าวสารที่สื่อสารผ่านต่อกันในสังคม ในศตวรรษที่ 19 อังกฤษครองครองดินแดนอาณานิคมประมาณเท่ากับหนึ่งในสี่ของพื้นที่โลกด้วยจำนวนคนอังกฤษเพียงน้อยนิดเป็นผู้ปกครอง ต่อมาเมื่อความรู้สึกหรือลัทธิชาตินิยมเติบโตขยายพลังและพื้นที่กว้างขึ้น การปกครองอาณานิคมมีค่าใช้จ่างสูงขึ้น อาณานิคมอังกฤษจึงล่มสลายในที่สุด” อำนาจของข้อมมูลข่าวสาร เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้ลัทธิอาณานิคมที่รุ่งเรืองในก่อนหน้าและถึงศตวรรษที่ 19 ต้องล่มสลายหายไปอย่างฉับพลันในศตวรรษที่ 21 เพราะพลังอำนาจการทหารและการปกครองโดยตรงด้วยอำนาจการเมืองจากยุโรปแพงเกินกว่าที่จะคุ้มค่าหรือมีเหตุผลสมควรที่จะยอมลงทุนต่อไปได้ นอกเหนือจากเทคโนโลยีนิวเคลียร์และเทคโนโลยีสารสนเทศแล้ว ก็ยังมีตัวแปรแห่งอำนาจใหม่เกิดขึ้น นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงทางสังคมภายในประเทศที่ปกครองแบบประชาธิปไตยขนาดใหญ่ ประเทศเหล่านี้ต้องลงทุนมหาศาลในการคงไว้ซึ่งอำนาจการทหารที่อาจจะมีโอกาสใช้หรือไม่ใช้ก็แล้วแต่ ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. สังเกตุว่าในยุคหลังการพัฒนาอุตสาหกรรมประเทศประชาธิปไตยจะมุ่งเน้นการพัฒนาประเทศในเรื่องสวัสดิการประชาชนมากกว่าชื่อเสียงความเป็นชาติทรงอิทธิพล ประชาชนก็เริ่มไม่ชื่นชอบกับข่าวการสูญเสียของพลเมืองที่ผ่านศึกสงคราม ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่าประเทศนั้นๆจะไม่ใช้กำลังการทหาร แม้ว่าจะต้องพบกับตัวเลขการล้มตายมากมายเพียงใดก็ตาม การใช้อำนาจแข็งยังมีอยู่ให้เลือกใช้ ดูตัวอย่างอังกฤษ, ฝรั่งเศส, และ สหรัฐอเมริกา ในปี 1991 ในสงครามอ่าวเปอร์เซียก็ได้, หรือจะดูอังกฤษกับสหรัฐอเมริกาในสงครามอิรัก ปี 2003 ก็ได้เช่นกัน แต่คตินิยมเรื่องผู้นำทัพเป็นวีรบุรุษไปรบราฆ่าฟันทำสงครามเพื่อชัยชนะแบบเดิมๆนั้นหายไป เว้นเสียแต่ว่าจำเป็นต้องทำสงครามเพื่อความอยู่รอดของประเทศชาติเท่านั้น สำหรับประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้วทางเศรษฐกิจและการเมือง “สงคราม(ด้วยการทหาร)ยังคงเป็นไปได้ แต่มันเป็นสิ่งที่ยากที่จะรับกันได้ง่ายๆเหมือนเมื่อร้อยปี หรือห้าสิบปีที่แล้ว” “ประเทศที่ทรงพลังอำนาจที่สุดทั้งหลายดูจะหมดกิเลสในการรุกรานครองครองดินแดนไปแล้ว” เศรษฐกิจก็เป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่ทำให้การใช้อำนาจการทหารต้องพักไตร่ตรอง เพราะการใช้อำนาจแข็งทางการทหาร การสงครามสู้รบย่อมกระทบเป้าหมายทางเศรษฐกิจของประเทศผู้ใช้อำนาจ ให้ย้อนไปดูชัยชนะของสหรัฐอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐฯจำเป็นต้องเข้าไปช่วยฟื้นฟูประเทศญี่ปุ่นที่ตัวเองเป็นผู้ทำลายจนพินาศจนได้ชัยชนะในสงคราม กลับต้องไปช่วยสร้างโครงสร้างทางเศรษฐกิจใหม่ให้ญี่ปุ่น ไม่มีทางที่เราจะจินตนาการในโลกวันนี้ได้เลยว่าสหรัฐฯจะสามารถใช้อำนาจการทหารไปบังคับให้ญี่ปุ่นปรับค่าเงินเยน หรือจะใช้อาวุธบังคับแคนาดาหรือยุโรปให้ยอมแก้ปัญหาที่มีกับสหรัฐฯได้ ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. ประเมินภาพรวมเรื่องอำนาจการทหารที่ปรับเปลี่ยนไปจนไม่ถือเป็นเครื่องมือหลักในการบังคับชาติอื่นได้นั้นจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้าทางการปกครองแบบประชาธิปไตย มีเศรษฐกิจและเทคโนโลยีก้าวหน้า โดยเฉพาะด้านสารสนเทศ ประเทศเหล่านี้เข้ากลุ่มเสรีนิยมประชาธิปไตยด้วยกันและแก้ปัญหาระหว่างกันด้วยอำนาจที่มิใช่การทหาร สัมพันธภาพระหว่างประเทศเหล่านี้จึงมีสันติภาพมั่นยืนในกลุ่มของตน เรียกเป็นสำนวนภาษาอังกฤษว่าเป็น “Islands of Peace” หรือ “หมู่เกาะแห่งสันติภาพ” สหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรปตะวันตก อยู่ในกลุ่มหมู่เกาะแห่งสันติภาพ แก้ปัญหาขัดแย้งระหว่างกันโดยวิธีสันติ เคยเปรียบเทียบกันว่าดาวศุกร์ หรือ Venus เป็นดาวสัญญลักษณ์แห่งความรักและสันติภาพ ส่วนดาวอังคาร หรือ Mars เป็นสัญญลักษณ์ของสงคราม สหรัฐอเมริกามักถูกจัดเป็นพวกที่มาจากดาวอังคาร ส่วนแคนาดาและยุโรปชอบที่เรียกว่าตัวเองมาจากดาวศุกร์ แต่ตอนนี้เมื่อทั้งสองพวกเข้ากลุ่มเดียวกันแล้ว โดยมีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ มั่นคงทางการเมืองเป็นประเทศเสรีนิยมประชาธิปไตย มีความก้าวหน้าทางวิทยาการเทคโนโลยี รวมถึงเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มประเทศนี้จึงถือตัวเองว่ามาจาก “ดาวศุกร์ หรือ Vevus” ที่เดียวกัน ประกันสันติภาพ ประกันการไม่ใช้สงครามแก้ปัญหาระหว่างกัน ข้ามไปยังประเทศที่มิได้เป็นประชาธิปไตยบ้าง ประเทศเหล่านี้ยังไม่มีข้อจำกัดทางจริยธรรมหรืออุดมการณ์สันติภาพมาตัวการห้ามมิให้ทำสงครามด้วยกำลังทหารเพื่อเป้าหมายทางเศรษฐกิจ แต่การใช้กำลังทหารทำสงครามก็ส่งผลกระทบบีบคั้นทางเศรษฐกิจการลงทุนจากนอกประเทศ อันเป็นพลังสำคัญในการกำกับการไหลเวียนของเงินทุนในโลกยุคโลกาภิวัตน์ ด้วยเหตุนี้การใช้การทหารยึดดินแดนอื่นเพื่อขยายอำนาจและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจึงจะไม่ได้ผลเท่ากับการสร้างความร่วมมือระหว่างอำนาจหรือระหว่างประเทศ หรือระหว่างองค์กรหรือบรรษัทธุรกิจการค้าการลงทุนข้ามชาติ การแสวงหาความร่วมมือกันระหว่างชาติพันธมิตร หรือสร้างชาติอื่นให้เป็นพันธมิตรสร้างความร่วมือกันทางเศรษฐกิจจะเป็นการสร้าง “ความได้เปรียบในการแข่งขัน” หรือ “competitive advantages” เหนือประเทศหรือกลุ่มประเทศอื่นที่เป็นคู่แข่ง โดยไม่จำเป็นต้องเป็นคู่สงคราม มาถึงตอนนี้ ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. ก็ย้ำไม่ให้เผลอลืมว่า: “ทั้งหมดที่ว่ามานี้มิได้จะบอกว่าอำนาจการทหารจะไม่มีบทบาทเหลืออยู่เลยในการเมืองระหว่างประเทศปัจจุบัน ในทางตรงกันข้าม การปฏิวัติเทคโนโลยีข่าวสารสารสนเทศในวันนี้ก็ยังมิได้แผ่กระจายครอบทุกทุกแห่งบนโลก โลกส่วนใหญ่ยังห่างไกลการเปลี่ยนแปลงโดยอิทธิพลของเทคโนโลยีสารสนเทศอยู่ (20 ปีที่แล้ว ในปี 2004 ปีที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้) หลายๆประเทศในโลกไม่มีแรงกดดันจากสังคมประชาธิปไตย (หรือความเรียกร้องต้องการประชาธิปไตยจากสังคม) หลายประเทศมีสงครามกลาง เมืองแย่งชิงอำนาจกัน ยังผลให้เกิดสภาวะรัฐล้มเหลว (Failed State) เกิดสุญญากาศแห่งอำนาจ (ไม่มีใครได้อำนาจรัฐที่แท้จริง) และสิ่งสำคัญที่เกิดตามมาก็คือการพัฒนา แสวงหา ซื้อขาย และใช้เทคโนโลยีเป็นไปในลักษณะที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น (democratization of technology) เสรีภาพหรือประชาธิปไตยทางเทคโนโลยีนี้เองนำไปสู่การทำสงครามกันได้ด้วยภาคประชาชนหรือภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการทำสงคราม เป็นการทำสงครามที่เห็นส่วนกลุ่มส่วนตัวเต็มคณะเลยก็มีมาก (privatization of war) เทคโนโลยีเปรียบเสมือนดาบสองคม ด้านหนึ่งคือการเเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสังคมทำให้การทำสงครามการทหารมีราคาแพงมากขึ้นสำหรับประเทศประชาธิปไตยสมัยใหม่ แต่ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีเดียวกันก็เข้าไปอยู่ในมือของผู้ก่อการร้าย อำนาจพินาศอันมหันต์เข้าถึงกลุ่มนักรบหัวรุนแรง หรือแม้กระทั่งบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งก็ทำให้สงครามหรือการสู้รบสามารถทำได้โดยคนคนเดียว หรือกลุ่มคน กลุ่มนักรบ กลุ่มก่อการร้ายที่มิได้สังกัดกองทัพหรือหน่วยรบของรัฐบาลไหนเลย นี่คือเรื่องการก่อการร้าย และการทำสงครามโดยภาคเอกชนหรือกลุ่มประชาชนส่วนตัว ‘สงครามเป็นส่วนตัว’ ” [7] การก่อการร้าย กับ สงครามเป็นส่วนตัว (Terrorism and the Privatization of War) การก่อการร้ายโดยกลุ่มนักรบที่มิใช่ส่วนของรัฐโดยตรงหรือโดยอ้อม หรือแม้กระทั่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐที่เป็นเจ้าของพื้นที่ ซึ่งกลุ่มนักรบเหล่านั้นอาศัยอยู่หรือใช้เป็นฐานกำลัง จัดได้ว่าเป็นการทำ “สงครามเป็นส่วนตัว” ของกลุ่มนักรบตามแนวคิด อุดมการณ์ หรือวิธีแก้ปัญหา หรือการขยายอำนาจ หรืออิทธิพลของกลุ่มตน ซึ่งอาจจะมีพื้นที่ภูมิรัฐศาสตร์ ฐานที่ตั้ง หรือขุมกำลังอยู่ในพรมแดนของรัฐหรือประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือในหลายๆประเทศก็ได้ เรียกการทำสงครามแบบนี้ว่า “การทำสงครามเป็นส่วนตัว” สงครามรูปแบบนี้มักจะถูกเรียกว่าเป็น “การก่อการร้าย” (Terrorism) ส่วนตัวนักรบก็จะถูกเรียกรวมๆในเชิงลบว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” (Terrorist) หากจะเรียกเชิงบวกที่เหล่านักรบเรียกตนเองก็เรียกเป็น “นักรบเพื่อเสรีภาพ” หรือ “นักรบเพื่อพระเจ้า” (Freedom Fighter / Jihad) และมักจะกำกับชื่อกลุ่มนักรบไปพร้อมกันด้วยเช่นกลุ่ม Islamic State (IS) หรือ Taliban ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. อธิบายว่าการก่อการร้ายไม่ใช่เรื่องใหม่ และผู้ก่อการร้ายก็มิใช่ว่าจะเป็นศัตรูกับรัฐอื่นแบบกลุ่มเดียวโดดๆ การก่อการร้ายเป็นการรุกรบเพื่อสร้างความหวาดกลัว โดยใช้วิธีก่อการร้ายต่อผู้คนทั่วไปที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง ไม่ใช่กองทัพ ไม่ใช่ทหาร การทำร้ายประชาชนพลเรือนตามที่ชุมนุมและงานเทศกาลต่างๆด้วยวิธีที่มิใช่แบบแผนของการรบในระบบการสงครามแบบดั้งเดิม เช่นการใช้ระเบิดพลีชีพผู้ก่อการร้ายตายตามไปด้วย หรือการบุกโจมตีสถานที่ชุมนุมโดยไม่มีเหตุให้คาดคิดมาก่อน เป็นการขมขู่ให้กลัวและหวั่นไหวได้ตลอดเวลา ความคิดถึงรูปแบบการก่อการร้ายเริ่มปรากฎให้เห็นกว่า 100 ปีที่แล้วในนวนิยายของ Joseph Conrad นักเขียนชาวอังกฤษ ในเรื่อง “Secret Agent” ปี 1907 และ “Under Western Eyes” ปี 1910 ตามด้วยนักเขียนรุ่นต่อๆมา จนการก่อการร้ายจริงๆในโลกปัจจุบันก็กลายเป็นพลังอำนาจทำลายที่หลบซุกอยู่ในซอกมุมต่างๆของโลก อาจเป็นผู้ก่อการร้ายที่เกิดและพัฒนาเติบโตในประเทศหรืออาจเป็นการผสมรวมกลุ่มข้ามชาติ เป็นปรากฎการณ์การก่อการณ์ร้ายเช่นในตะวันออกกลาง, North Ireland, Spain, Sri Lanka, Kashmir, S. Africa, และที่อื่นๆ ทุกทวีป ยกเว้น Antartica หรือขั้วโลกใต้ , มีผลกระทบแทบจะทุกประเทศในโลก เหตุการณ์ถล่มตึกในนครนิวยอร์คและ Washington, D.C. โดยผู้ก่อการร้ายจี้แล้วขับเครื่องบินโดยสารชนอาคารสูงที่ New York และอาคารกระทรวงกลาโหมที่ Washington, D.C. วันที่ 11 กันยายน ปี 2001 (เหตุการณ์ 9/11) เป็นการตอกย้ำและประทับรอยความรุนแรงของการก่อการร้ายสมัยใหม่ได้ชัดเจน เป็นความจำที่ลึก และยาวนาน ไม่เสื่อมหาย อย่างไรก็ตาม ในศตวรรษที่ 21 มีสองเรื่องที่สำคัญที่ทำให้การก่อการร้ายมีความรุนแรงหฤโหดอย่างที่สุด และยากที่จัดจัดการมากในโลกปัจจุบัน: แนวโน้มชุดที่หนึ่ง มาจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรื่องแรกเป็นเรื่องของธรรมชาติของเทคโนโลยีในพื้นฐานของระบบอารยธรรมโลกมนุษย์ปัจจุบันที่ละเอียดซับซ้อนมากขึ้น พลังอำนาจเศรษฐกิจ การตลาด การค้าระหว่างประเทศทำให้มนุษย์มีประสิทธิภาพและคุณภาพมากขึ้น ทั้งเรื่องการคมนาคมขนส่ง การสื่อสารสารสนเทศ พลังงาน การสาธารณสุข การดูแลสุขภาพมนุษย์ด้วยกัน ทั้งหมดรวมกันเป็นระบบที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็ซับซ้อนละเอียดอ่อน บริหารจัดการได้ยากมากขึ้น เสียงภัยอันตรายมากขึ้นในเวลาเดียวกัน นอกจากนั้นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีนำมาซึ่งเสรีภาพและประชาธิปไตยในการเข้าถึงและใช้เทคโนโลยีเหล่านั้นอย่างทั่วถึงเท่าเทียมกัน ยังผลให้คนเราสามารถสร้างอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างอย่างมหาศาลได้ด้วยขนาดของอาวุธที่เล็กลง ราคาถูกลง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีและผลิตอาวุธร้ายแรงมาใช้เองได้โดยง่าย ระเบิดเวลาที่เคยมีขนาดใหญ่ หนัก เคลื่อนย้ายลำบาก มาวันนี้ก็สามารถทำได้ขนาดเล็ก น้ำหนักเบา ราคาถูก อานุภาพรุนแรงกว่า ควบคุมระยะไกลได้โดยเพียงโทรศัพท์มือถือเคลื่อนที่เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อกางเกงธรรมดาๆ ราคาค่าก่อการร้ายด้วยการจี้เครื่องบินก็อาจจะเท่าๆกับราคาตั๋วเครื่องบินเท่านั้นเอง นอกจากนั้นความสำเร็จของการปฏิวัติข้อมูลข่าวสารทำให้การสื่อสารทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและราคาถูกลง ดั้งนี้แล้วกลุ่มก่อการร้ายภายในประเทศก็สามารถปฏิบัติการกลายตัวเป็นกลุ่มก่อการร้ายระหว่างประเทศไปได้ทันทีโดยเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารและการสื่อสารยุค Digital เช่นทุกวันนี้ โลกของการสื่อสารผ่านระบบ Internet ทำให้ประชาชนคนธรรมดาติดต่อกันได้สะดวกทั่วถ้วน ต่างไปจากอดีตที่รัฐ หรือองค์กรขนาดใหญ่เท่านั้นที่สามารถมีเงินและอุปกรณ์สื่อสารกันถึงกันและกันใด้ แต่ระบบ Internet ในโลกยุคใหม่ทำให้การก่อการร้ายลดต้นทุนไปอย่างมหาศาลเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติการเป็นเงาตามตัว แถมได้ใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารของผู้ก่อการร้ายที่จะใช้แจ้งเตือนก่อนก่อเหตุและใช้ประกาศแสดงตัวรับผิดชอบเป็นผู้ก่อเหตุหลังจากที่ได้ก่อเหตุร้ายนั้นๆแล้ว เพราะการก่อการร้ายที่จะประสบความสำเร็จอย่างดีนั้นต้องอาศัยการส่งข่าวสาร แสดงอุดมการณ์ และความประสงค์ของกลุ่มตนออกไปสู่โลกภายนอกอย่างรวดเร็วและกว้างขวางด้วย ดังนั้นระบบ Internet จึงกลายเป็นเครื่องมือสร้างประสิทธิภาพในการก่อการร้ายระดับนานาชาติ หรือระหว่างประเทศได้เป็นอย่างดีแบบที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนในยุคของ Joseph Conrad หรือ Ian Fleming’s James Bond 007 หลังเหตุการณ์ 9/11 การให้สัมภาษณ์ และวิดีโอเทปจาก Bin Laden แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก สร้างอำนาจมหาศาลให้กับนักรบเพื่อเสรีภาพหรือผู้ก่อการร้ายกลุ่มนี้ในชั่วพริบตาผ่านระบบ Internet ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. กล่าวว่า: “Terrorism depends crucially on soft powerful for its ultimate victory. It depends on its ability to attract support from the crowd at least as much as its ability to destroy the enemy’s will to fight.” “การก่อการร้าย หากจะให้ได้ชัยชนะในที่สุดนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งอำ นาจนุ่มนวลหรือ Soft Power ผู้ก่อการร้ายต้องพึ่งพลังอำนาจในการดึงดูดใจให้ ผู้คนสนับสนุนปฏิบัติการของพวกเขา เท่าๆกับที่ต้องการทำลายขวัญกำลังใจ ในการสู้รบของฝ่ายตรงข้าม ทำให้ศัตรูถอดใจที่จะสู้ต่อไป” แนวโน้มชุดที่สอง นี่เป็นการสะท้อนความเปลี่ยนแปลงในแรงจูงใจและการบริหารจัดการของพวกผู้ก่อการร้าย ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 กลุ่มผู้ก่อการร้ายโดยทั่วไปมักจะมีเป้าหมายทางการเมืองชัดเจน และจะปฏิบัติการทำลายกลุ่มชนจำนวนมากๆในวงกว้าง ทั้งๆที่ผู้ก่อการร้ายนั้นเพียงต้องการให้มีคนจำนวนมากเห็นภาพเหตุการณ์ ไม่ใช่ว่าต้องการจะให้เห็นเหตุการณ์ที่มีคนตายเป็นจำนวนมาก การก่อการร้ายแบบที่ว่านี้มักจะได้รับการหนุนหลังเงียบๆจากรัฐบาล เช่นรัฐบาล Libya และ Syria พอมาถึงปลายศตวรรษที่ 20 มีการแตกตัวออกมาจากกลุ่มกิจกรรมรุนแรงเกี่ยวโยงกับศาสนา มาเป็นกลุ่มปลีกย่อยต่างๆ ปฏิบัติการก่อการร้ายรุนแรงและมากกลุ่มขึ้น ดังตัวอย่างที่เห็นคนหนุ่มมุสลิมจำนวนมากอาสาสมัครไปรบต่อสู้กับสหภาพโซเวียตที่ยึดครอง Afghanistan ในช่วงปี 1979-1989 อาสาสมัครหนุ่มมุสลิมเหล่านั้นจึงได้เข้าไปรับการฝึกเป็นนักรบด้วยเทคนิควิธีการต่างๆ มีจำนวนมากที่ได้กลายเป็นสมาชิกกลุ่มนักรบเพื่อศาสนาที่เรียกว่า Jihad หากเทียบกับอดีตก่อนยุคนักรบ Jihad เพื่อพระเจ้าหรือศาสนา การก่อการร้ายแบบขวาจัด ซ้ายจัด ขบวนการแยกดินแดน ขบวนการชาตินิยม ในยุคก่อนจะไม่มีโอกาสผันแปรไปเป็นนักรบอุดมการณ์ศาสนาแบบที่ว่านี้ได้ เพราะโอกาส และเทคโนโลยีมิได้ก้าวหน้าและเข้าถึงกันได้อย่างสะดวกเสรีเท่าศตวรรษที่ 21 การก่อการร้ายในวันนี้จึงเหี้ยมโหดและบ่อยครั้งที่ไม่แยกแยะเป้าทำลายอันเป็นชีวิตของผู้คนพลเมืองผู้บริสุทธิ์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งโดยตรง กลุ่มผู้ก่อการร้ายยุคเทคโนโลยีก้าวหน้าวันนี้ก่อการร้ายทำลายชีวิตโดยไม่เลือก ไม่เว้น ไม่ไตร่ตรอง แนวโน้มแบบที่สองนี้ได้รับการเสริมความคิดให้สุดโต่งมากขึ้นด้วยการเปลี่ยนแรงจูงใจในปฎิบัติการ จากเป้าหมายแคบๆทางการเมืองมาเป็นเป้าหมายเชิงพันธะสัญญาถึงโลกหน้าหรือชีวิตใหม่ในโลกหน้าเลยทีเดียว “แต่ก็โชคดี” ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. กล่าว, “ต่างจากกลุ่มคอมมิวนิสต์ และ ฟาสต์ซิสต์ ที่การก่อการร้ายแบบนี้ไม่ได้รับความสนใจเข้าร่วมจากผู้คนนอกกลุ่มชุมชนอิสลาม แต่เพียงแค่กลุ่มอิสลามก็มีพลเมืองให้เลือกได้เป็นพันล้านคน อีกด้านหนึ่งก็พบว่ามีการจัดการองค์กรแบบใหม่ด้วย ดูกลุ่ม Al Qaeda เป็นตัวอย่างก็ได้ พวก Al Qaeda มีเครือข่ายอยู่ใน 60 ประเทศโดยประมาณ รวมจำนวนคนนับพันหรือหมื่น ซึ่งเป็นพัฒนาการบริหารจัดการปฏิบัติการก่อการร้ายที่กว้างไกลและร้ายแรงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก หรือแม้จะดูเฉพาะกลุ่มก่อการร้ายเครือข่ายขนาดเล็ก ก็ยังเป็นการยากที่ฝ่ายตรงข้ามจะแทรกซึมเข้าไปต่อสู้กวาดล้างไปได้ง่ายๆ ต่างกับในอดีตที่กลุ่มก่อการร้ายเชื่อมโยงอำนาจรัฐเสมือนกึ่งๆกองกำลังของกองทัพของรัฐ” ที่เป็นเป้าให้ฝ่ายตรงข้ามจัดการได้สะดวกกว่า. แนวโน้มทั้งสองแบบที่ว่ามานี้ คือแนวโน้มเรื่องเทคโนโลยี และแนวโน้มเรื่องอุดมการณ์ ส่งผลให้เกิดเงื่อนไขใหม่ที่ทำให้การก่อการร้ายรุนแรงมากขึ้น การจัดการ-ต่อสู้กำจัด-กวาดล้าง-ทำลาย จากอีกฝ่ายหนึ่งได้ยากยิ่งขึ้น การจัดการกับกระบวนการก่อการร้ายในโลกวันนี้จึงยากกว่าเดิมมาก แม้ว่าที่อธิบายมาส่วนใหญ่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาการก่อการร้ายจากกลุ่มอุดมการณ์ที่เกี่ยวโยงกับศาสนาอิสลาม แต่การก่อการร้ายมิได้มีจำกัดเพียงกลุ่มอิสลามเท่านั้น หากคิดจำกัดเพียงเท่านี้ก็ผิด เพราะกลุ่มพวกที่คิดรุนแรงที่ไม่ใช่กลุ่มศาสนาอิสลามมีอีกมาก ใครมีความเห็นรุนแรงต่อต้านรัฐต่อต้านสังคมโดยอาจเป็นเพราะเรื่องการเมือง เรื่องสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ หรือแม้กระทั่งความเห็นที่แตกต่างกันอย่างรุนแรงต่อระบอบประชาธิปไตยด้วยกันเอง เพียงแต่ต่างกันในเรื่องสถาบันปลีกย่อยในระบบการเมือง ทุกคนก็มีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีการก่อการร้ายเหมือนกันหมด ความรุนแรงจากกลุ่ม Aum Shinrykio ในญี่ปุ่น ที่ปล่อยสารพิษ sarin ในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงโตเกียวปี 1995 ก็โหดร้ายสุดโต่ง และไม่ใช่อิสลามด้วย ในสหรัฐอเมริกา Timothy McVeigh บ้าคลั่งต่อต้านรัฐบาลก็ก่อการร้ายในประเทศก่อนเรื่อง 9/11 ด้วยซ้ำ ทุกวันนี้ ตามการสังเกตของศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. ในปี 2004 ปีที่พิมพ์เผยแพร่หนังสือเรื่อง Soft Power เล่มนี้ คลื่นปฎิบัติการก่อการร้ายจากกลุ่มอิสลามจะเกิดขึ้นเป็นช่วงจังหวะโดยทั่วๆไป ไม่โหมกระหน่ำต่อเนื่องเข้มข้นแบบไม่หยุดหย่อนแล้ว แต่เรื่องแบบนี้ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่จะวางใจได้ในระยะยาว โลกยังชะล่าใจไม่ได้ว่าคลื่นการก่อการร้ายระหว่างประเทศด้วยเหตุหรือข้ออ้างที่เกี่ยวโยงกับศาสนาใดก็ตามจะอ่อนตัวสลายไป เพราะว่าโลกวันนี้มี “เสรีภาพและประชาธิปไตยในการเข้าถึงเทคโนโลยี” (democratization of technology) ที่สามารถนำมาใช้ทำลายกันโดยกลุ่มคนเป็นสงครามส่วนตัวได้เสมอ ระดับความรุนแรงร้ายกาจของปฎิบัติการเพิ่มสูงมากขึ้น ในปี 1970s พวก Palestine โจมตีนักกีฬาโอลิมปิกส์ Israel ที่ Munich Olympics, และการก่อการร้ายโดยพวก Red Brigades ใน Italy ทำลายไปหลายชีวิตที่โลกต้องจดจำ, พวกซิกข์หัวรุนแรงระเบิดเครืองบินสายการบิน Air India จนมีผู้เสียชีวิตกว่า 300 คน, 11 กันยายน 2001 ก็เสียชีวิตอีกหลายพันคน ความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้นนี้เป็นผลพวงของอาวุธที่พลานุภาพทำลายล้างสูง ที่เรียกว่า “weapons of mass destruction” นั่นเอง ให้ลองใช้จินตนาการดูก็ได้ว่าในอนาคตความรุนแรงจากการก่อการร้ายจะไปไกลขนาดไหน? เมื่อเทคโนโลยีนิวเคลียร์และอาวุธชีวภาพเปิดกว้างทำให้มนุษย์สามารถเข้าถึงและผลิตใช้ได้โดยง่าย ผู้ก่อการร้ายอาจจะใช้อาวุธนิวเคลียร์ และอาวุธชีวะเคมีเพื่อเป้าประสงค์ของกลุ่มตนได้สะดวก หากถึงตอนนั้นผู้ก่อการร้ายกลุ่มเล็กๆก็สามารถทำลายชีวิตผู้คนได้นับล้าน เรื่องแบบนี้จินตนากรได้ และก็เป็นไปได้ ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. ยกชื่อเผด็จการผู้โหดร้ายในอดีตมา 3 คน คือ Adolf Hitler, Joseph Stalin, และ Pol Pot (พอลพต) จอมเผด็จการทั้งสามคนนี้อยู่ในยุคอดีตที่การฆ่าคนจำนวนมากจำต้องอาศัยอำนาจรัฐ กลไกรัฐทั้งองคาพยพ คือทั้งระบบอำนาจที่รัฐพึงจัดให้ได้ทั้งหมด ทำให้ฆ่าคนในรูปแบบเดิมได้นับล้าน โดยไม่ต้องพึ่งพิงเทคโนโลยีสมัยใหม่ตามที่เปรียบเทียบกับปัจจุบัน “วันนี้มันเป็นเรื่องง่ายดายนักที่จะจินตนาการเห็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลก่อการร้ายด้วยความรุนแรงสุดโต่ง ฆ่าคนได้เป็นล้านโดยไม่ต้องพึ่งกองทัพหรือโครงสร้างการทหารหรือกลไกของรัฐเป็นทางการ นี่แหละคือ ‘การทำสงครามเป็นส่วนตัว’ โดยแท้ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงการเมืองโลกอย่างเหลือจะบรรยาย และยิ่งไปกว่านั้น มันจะส่งผลกระทบต่อธรรมชาติแห่งอารยธรรมของสังคมเมืองอย่างมหันต์ เป็นอีกก้าวหนึ่งของการก่อการร้ายที่รุนแรงขยายวงกว้างยิ่งขึ้นมาก จะเกิดอะไรขึ้นกับคนในเมืองที่กลัวที่จะอาศัยอยู่ในเมืองต่อไป ถ้าการก่อการร้ายมิได้ต้องการเพียงจะระเบิดอาคารสูงสองอาคาร หากแต่ต้องการทำลายครึ่งล่างของเกาะ Mahattan ของ New York หรือระเบิด London ทิ้งไปครึ่งหนึ่งที่เป็นใจกลางเมือง หรือทำลายฝั่งซ้ายของกรุง Paris ให้พินาศราบสิ้นไป” จินตนาการนี้ได้ผลเท่ากับการทำลายศิลปะ วัฒนธรรม อารยธรรม และวิถีชีวิตของพลเมืองที่เป็นศูนย์กลางความเจริญของประเทศสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, และฝรั่งเศส ไปเลยทีเดียว ในทศวรรษที่ 1970s กลุ่มก่อการร้ายของ Italy คือพวก Red Brigades, Ireland มี กองทัพ IRA, และ Spain มีกลุ่ม ETA ของพวก Basque แยกดินแดน แต่ปัจจุบันนี้การก่อการร้ายเปลี่ยนรูปแบบวิธีการไปแล้ว การต่อสู้ จัดการ กับกระบวนการก่อการร้ายจะต้องไม่ใช่แบบที่ทำไปตามปรกติตามแต่สถานการณ์อย่างที่ทำๆกันมาก่อนหน้านี้ ทัศนะที่เห็นการรบรับกับผู้ก่อการร้ายตามแบบเดิมๆใช้ไม่ได้แล้ว อำนาจแข็งของอาวุธยุทโธปกรณ์และอำนาจเงินจะใช้ต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายสมัยใหม่ไม่ได้และไม่พอ รัฐบาลแห่งโลกเสรีประชาธิปไตยจำเป็นต้องใช้ Soft Power ให้มากเช่นเดียวกันกับที่ผู้ก่อการร้ายก็ใช้ Soft Power เทำนองเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายเห็นแสนยานุภาพของ Soft Power ว่ามีความสำคัญไม่น้อยกว่า หรืออาจจะมากกว่า Hard Power ด้วยซ้ำไป มาถึงตอนนี้น่าจะเป็นที่พอเข้าใจดีแล้วว่า ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหนที่เป็นคู่ขัดแย้งกัน การใช้ Soft Power เพื่อดึงดูด เป็นพลังให้รักไหลหลง หรือ Attraction ช่วยให้นิยมชมชื่นเข้ามาเป็นกำลังสนับสนุนสู่เป้าประสงค์ตามที่ปรารถนาได้ Hard Power เป็นพลังอำนาจเก่าแก่ที่มนุษย์ใช้มานาน ส่วน Soft Power ก็มีอยู่คู่มนุษย์มายาวนานพอๆกันแต่รัฐมองไม่เห็น วัดค่าไม่เป็น แยกไม่ออกถึงพลานุภาพในกุศโลยายการเมืองระหว่างประเทศ กระทั่งได้รับการศึกษาวิเคราะห์เป็นวิชาการ พลังอำนาจนุ่มนวลที่มีอยู่แต่เดิมเพียงแต่ไม่มีชื่อเรียกจึงได้รับนิยามใหม่เป็นทางการว่า “อำนาจนุ่มนวล” หรือ “Soft Power” ทั้งสองรูปแบบอำนาจนี้มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันเสมอ. [8] สัมพันธภาพระหว่าง Hard Power และ Soft Power (The Interplay of Hard and Soft Power) “Hard กับ Soft Power ในทางปฏิสัมพันธ์ต่อกันนั้น บางครั้งก็เป็นพลังเสริมสร้าง แต่บางทีก็เป็นพลังแทรกแซงรบกวนกันและกัน ประเทศที่ต้องการชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รักและเคารพยำเกรงของชาติอื่นบางทีก็หวัั่นใจไม่อยากใช้หรือไม่กล้าใช้อำนาจบาตรใหญ่ หรือ Hard Power ต่อชาติอื่นทั้งๆที่ควรจะใช้ ส่วนอีกบางประเทศที่ไม่ยำเกรงผู้ใดทั้งสิ้นก็ใช้อำนาจแข็งกร้าวเข้าใส่โดยไม่หวาดเกรงว่าจะกระทบ Soft Power ที่ตนมีอยู่และควรรักษาไว้ ประเทศแบบหลังนี้อาจจะเจอกับแรงต้านขัดขวางการใช้ Hard Power ดังว่าได้ ไม่มีประเทศชาติใดจะยอมให้ใครต่อใครมากำกับควบคุมชักใยหรือครอบงำอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะด้วย Hard หรือ Soft Power จากมหาอำนาจใดๆก็ตาม ในขณะเดียวกันการมี Hard Power นั้นมักจะสร้างพลังลึกลับให้เชื่อว่าทรงอภิมหาอำนาจขนาดไม่มีใครจะทำลายล้างได้ แล้วก็จะพาไปสู่การที่ชาติอื่นๆได้รับพลังดึงดูดให้เคารพยำเกรงยอมตนเป็นพันธมิตรหรือเป็นพวกเดียวกัน “ในปี 1961 ประธานาธิบดี John F. Kennedy เดินหน้านโยบายทดลองอาวุธนิวเคลียร์แม้จะมีผลจากการสำรวจประชามติประชาชนอเมริกันว่าไม่เห็นด้วย แต่ท่านก็เดินหน้าต่อไป สวนทางกับประชามติ เพราะคิดว่าประชาชนชาวโลกมีความคิดสรุปรวบยอดเอาไว้แล้วจากข้อมูลข่าวสารที่ไม่ชัดเจนแต่ดูลึกลับซับซ้อนน่ากลัว ว่าสหภาพโซเวียตมีพลานุภาพนิวเคลียร์สูงเหนือสหรัฐฯแล้ว ท่านกลัวว่าชาวโลกมีข้อสรุปแล้วว่าสหภาพโซเวียดเหนือกว่าสหรัฐฯในเรื่้องแสนยานุภาพการสงคราม ประธานาธิบดี John F. Kennedy จึงยอมเอาพลัง Soft Power ที่มีอยู่ไปแลกกับ Hard Power ที่จะได้จากการแสดงตนเป็นประเทศมหาอำนาจนิวเคลียร์ ด้วยการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ต่อไปให้โลกเห็น เป็นเกียรติภูมิของกองทัพอเมริกัน และศักดิ์ศรีของประเทศชาติ “มีเรื่องเบาๆเล่าให้ฟังเชื่อมโยงกับเรื่องนี้ก็คือ ในปี 2003 ไม่กี่เดือนหลังการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ในกรุง London และนคร Milan เป็นการประท้วงต่อต้านสงครามครั้งใหญ่มาก แล้วก็มีการจัดงานแสดงแฟชั่นโชว์ในทั้งสองเมือง โดยใช้นางแบบแต่งตัวชุดคล้ายทหารเดินเป่าระเบิดลูกโป่ง นักออกแบบแฟชั่นคนหนึ่งบอกว่า ‘สัญญลักษณ์แบบอเมริกันเป็นการแสดงความมั่นคงปลอดภัยที่เห็นภาพชัดเจนและกว้างขวาง’” “ตลอดช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์โลก พบว่า รัฐขนาดเล็กจะรวมตัวร่วมพลังกันสร้างดุลย์อำนาจถ่วงดุลย์กับรัฐที่ใหญ่กว่าและเข้มแข็งกว่าที่ กำลังแสดงอำนาจข่มขู่รัฐเล็กๆอยู่ แต่แบบที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นจริงไปทุกกรณี ก็มีที่รัฐขนาดเล็กกระโดดเข้าร่วมวงไพบูลย์กับรัฐใหญ่ที่แสดงอำนาจข่มขู่อยู่ใกล้ๆ ทั้งนี้ก็เพราะว่าอาจจะไม่มีทางเลือก ไม่มีทางหนีไปไหนได้ หรือไม่ก็ถูกจูงใจให้ยอมด้วยอำนาจ Soft Power ที่แถมพกมากับ Hard Power จากมหาอำนาจที่ข่มขู่คุกคามอยู่นั้น Hard Power บางทีก็มีด้านนุ่มนวลหรือด้าน soft (เรียกว่ามี Soft Power ใน Hard Power อยู่ในตัว Power เดียวกัน ดังตัวอย่างเรื่อง Osama bin Laden ที่เขากล่าวในวิดีโอชักชวนอาสาสมัครนักรบเข้าร่วมขบวนการ เขาพูดว่า ‘คนเรา เวลาเห็นม้าที่แข็งแรงเทียบกับม้าที่อ่อนแอ โดยธรรมชาติแล้ว เขาก็จะเลือกม้าตัวที่แข็งแรงกว่าแน่นอน’ อธิบายเชิงเปรียบเทียบในบริบทกว้างก็คือ มนุษย์เรานั้นนิยมที่จะแสดงความสงสารเห็นใจฝ่ายที่เสียเปรียบมากกว่า แต่ก็ไม่ยอมที่จะให้ฝ่ายเสียเปรียบเป็นต่อถ้าจะต้องพนันกันว่าจะเข้าข้างฝ่ายไหน” คิดแบบนี้ก็น่าจะหมายความว่าฝ่ายก่อการร้ายพวก Osama bin Laden นั้นมีพลังด้อยอ่อนแอเสียเปรียบกว่าฝ่ายตรงข้าม น่าสงสารเห็นใจยิ่งนัก Bin Laden คงจะต้องแพ้ ถ้าไม่มีใครเข้าไปช่วยเป็นอาสาสมัครนักรบให้มากขึ้น ให้เป็นม้าที่แข็งแรงวิ่งชนะ รบชนะให้ได้ในที่สุด นี่เองที่ Osama bin Laden ให้ Hard Power ทำงานร่วมกับ Soft Power เสริมพลังกันและกัน ไม่เซาะกร่อนบ่อนทำลายกัน “สงคราม Iraq ปี 2003 มีตัวอย่างที่น่าสนใจเรื่องปฏิสัมพันธ์ระหว่างสองรูปแบบอำนาจนี้ กล่าวคือ ในช่วงเวลาก่อนสงครามกับ Iraq นั้น Donald Rumsfeld รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ เข้ามารับตำแหน่งโดยมีความเชื่อว่าอำนาจของอเมริกากำลังอ่อนลง เป็นดุจ ‘เสือกระดาษ’ ในสายตาชาวโลก ‘เป็นยักษ์ใหญ่ที่่อ่อนแอ โดนหมัดเดียวก็ล้ม’แเขาจึงเข้ารับตำแหน่งเพื่อพลิกสถานการณ์ กู้ชื่อสหรัฐอเมริกาอภิมหาอำนาจโลกกลับคืนมา ให้โลกเห็นพลังอำนาจอันเข้มแข็งของสหรัฐอเมริกา ชัยชนะของสหรัฐฯในสงครามอ่าวเปอร์เชียครั้งที่หนึ่งมีส่วนช่วยให้เกิดกระบวนการความตกลงที่ Norway เพื่อสันติภาพในตะวันออกกลาง ชัยชนะใน Iraq ปี 2003 ก็อาจจะส่งผลทำนองเดียวกัน (หนังสือเล่มนี้พิมพ์ปี 2004) อาจจะเป็นการส่งพลังขวางกั้น Iran กับ Syria มิให้เหิมเกริมสนับสนุนขบวนการก่อการร้ายทั้งหลายในภูมิภาคก็เป็นได้ (ถึงปี 2024 นี้ ดูจะยังไม่สัมฤทธิผล - ส.อ.) ทั้งหมดที่ว่ามานี้เป็นเหตุผลในการเข้าทำสงครามด้วย Hard Power แต่ก็ยังมีแรงจูงใจอีกอีกชุดหนึ่งที่เกี่ยวโยงกับ Soft Power พวกคนในกลุ่มแนวคิดทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยมใหม่ (Neoconservatives) เชื่อว่าอำนาจสหรัฐฯที่สำแดงอยู่ใน Iraq นั้นจะเป็นพลังอำนาจส่งออกความคิดแบบประชาธิปไตยเข้าระบบการเมือง Iraq และต่อไปเปลี่ยนระบบการเมืองยังที่อื่นๆในตะวันออกกลาง หากทำได้สำเร็จก็จะเป็นเหตุผลอธิบายในตัวของมันเองว่าการทำสงครามแบบ Hard Power ที่ผ่านมานั้นมีความชอบธรรมเพราะส่งผลให้เกิดประชาธิปไตยในตะวันออกกลางตามต้องการได้ ‘จะมีอะไรผิดหรือถ้าจำต้องแสดงอำนาจเข้าครอบครอง ถ้าทำโดยหลักการที่ถูกต้องและอุดมการณ์ที่สูงส่ง’”, Joseph Nye, Jr. อ้างคำกล่าวของนักคิดสองคนชื่อ Williams Kristol และ Lawrence Kaplan จากหนังสือเรื่อง “The War Over Iraq, Saddam’s Tyranny and America’s Mission” (San Francisco: Encounter Books, 2003, p.112) อำนาจทั้งมวลในโลกยุคข้อมูลข่าวสารสารสนเทศ (Power in the Global Information Age) “อำนาจในบรรดาประเทศประชาธิปไตยก้าวหน้าทุกวันนี้วัดค่าได้ยากมากขึ้น และมีแรงกดดันเชิงขู่บังคับลดน้อยลงยิ่งกว่ายุคใดๆในอดีต ในเวลาเดียวกัน ส่วนใหญ่ในโลกก็มิใช่ว่าจะเป็นประเทศประชาธิปไตยก้าวหน้ากันทั่วหน้า จึงเป็นข้อจำกัดในการที่จะเคลื่อนย้านถ่ายเทอำจาจไปยังที่ต่างๆในโลก ตัวอย่างเห็นได้ในแอฟริกาและตะวันออกกลางซึ่งมีระบบเศรษฐกิจเท่ากับยุคการเกษตรก่อนอุตสาหกรรม สถาบันการเมืองอ่อนแอ รัฐปกครองแบบอำนาจนิยม มีรัฐที่จัดอยู่ในประเภท “รัฐล้มเหลว” (Failed States) เช่น Somalia, Congo, Sierra Leone, และ Liberia ล้วนแล้วแต่จะเป็นพื้นที่หรือเวทีแห่งความรุนแรงทั้งนั้น ประเทศขนาดใหญ่บางประเทศ เช่น จีน, India, และ Brazil กำลังพัฒนาอุตสาหกรรม แต่ก็อาจต้องเผชิญกับพลังขัดขวางเหมือนกับที่ชาติตะวันตกที่พัฒนาแล้วเคยเผชิญมาก่อนในช่วงพัฒนาอุตสหกรรมแบบเดียวกันในตอนต้นศตวรรษที่ 20th ในโลกแห่งความซับซ้อนหลากหลาย แหล่งทรัพยากรอันเป็นที่มาของอำนาจทั้ง 3 แหล่ง - อำนาจการทหาร, อำนาจเศรษฐกิจ, และ อำนาจนุ่มนวล หรือ Soft Power - ยังคงมีความชอบด้วยเหตุผลที่จะยังคงต้องมีต้องใช้ผสมผสานกันไป ด้วยระดับความเข้มข้นสูงต่ำมากน้อยที่ต่างกันไปในสภาวะปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตาม หากว่าแนวโน้มเรื่องการปฏิวัติข้อมูลข่าวสารดำเนินต่อไปอย่างแน่วแน่ไม่ชงักติดขัด ก็จะมีแนวโน้มว่า Soft Power จะมีความสำคัญมากขึ้นๆยิ่งกว่ารูปแบบอำนาจอื่นอีกสองแบบ คืออำนาจการทหารและอำนาจเศรษฐกิจ “การปฏิวัติระบบข้อมูลข่าวสาร และ กระบวนการโลกาภิวัตน์ด้านเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนแปลงโลก ทำให้โลกเสมือนว่าจะเล็กลงๆ เพราะความรวดเร็วครอบคลุมการเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลข่าวสารทั้งหลาย ตอนเริ่มศตวรรษที่ 21 ทั้งสองพลังนี้ (คือการปฏิวัติข้อมูลข่าวสาร และ โลกภิวัตน์ทางเศรษฐกิจ) เสริมสร้างพลังแกร่งกล้าให้กับสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ย่อมจะมีการถ่ายโอนเทคโนโลยีไปยังประเทศอื่นและประชาชนชาวโลกทั้งหลาย อำนาจของสหรัฐฯที่เคยมีเหนือชาติอื่นก็ย่อมจะเจือจางลดพลังลงไปตามกาลเวลาและการเคลื่อนย้ายถ่ายโอนของเทคโนโลยี ในวันนี้ (2004) ประชากรอเมริกันเป็น 1/20 ของประชากรรวมทั้งโลก แต่เท่ากับครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้ใช้ Internet ในโลก ภาษาอังกฤษแม้ว่าจะเป็นภาษาหลักของโลก เหมือนภาษาละตินในสมัยที่อาณาจักร Rome ถึงปลายทางแห่งความรุ่งเรือง ณ จุดใดจุดหนึ่งในอนาคต บางทีอาจจะเป็นใน 10-20 ปีข้างหน้า (2010s-2020s) สังคม Cyber หรือ Internet ในเอเชียอาจจะมีมากเหนือกว่าสหรัฐอเมริกาก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้น สังคมโลก Cyber/Internet นับวันก็จะเป็นสังคมเสมือนจริงที่แผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่โลกแบบไร้พรมแดนประเทศใดจะขวางกั้นได้ บรรษัทข้ามชาติ องค์กรที่มิใช่รัฐ คือองค์กรภาคเอกชน หรือภาคประชาชน รวมทั้งพวกผู้ก่อการร้ายข้ามประเทศ ก็จะมีบทบาทมากขึ้น ปฏิบัติการข้ามพรมแดนได้มากขึ้นสะดวกขึ้นสารพัดรูปแบบเทคโนโลยี องค์กรหลายหลากเหล่านี้ จะมีพลัง Soft Power ของตนเองดึงดูดผู้อื่นให้ชื่นชอบ รัก หลงไหล นิยม ชมชื่น ได้ดึงดูดพลเมืองข้ามชาติให้เข้าร่วมงานองค์กรโดยไม่มีพรมแดนรัฐเป็นอุปสรรค การเมือง ถึงตอนนั้น ส่วนหนึ่งก็จะกลายเป็นการแข่งขันกันด้วยอำนาจการดึงดูด, ความชอบธรรม, และความน่าเชื่อถือ (ในบรรดารัฐหรือองค์กรที่มิใช่รัฐจะมีฐานอำนาจของตนเอง - ส.อ.) “ความสามารถในการแบ่งปันข้อมูลข่าวสาร - และให้เป็นที่น่าเชื่อถือ - กลายเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญในการสร้างแรงดึงดูดและสร้างอำนาจ” (“The ability to share information - and to be believed - becomes an important source of attraction and power.”) “เกมการเมืองเรื่องยุคข้อมูลข่าวสารในโลกเช่นว่านี้ เป็นข้อแนะนำว่า พลังอำนาจนุ่มนวลหรือ Soft Power จะเพิ่มความสำคัญมากขึ้นๆเรื่อยๆ ประเทศที่มีแนวโน้มที่จะสามารถเพิ่มเติมเสริมพลัง Soft Power ในยุคข้อมูลข่าวสาร คือ: 1. ประเทศที่มีช่องทางการสื่อสารมากและหลากหลาย สามารถกำหนดวาระเรื่องราวการสื่้อสารได้สะดวกตามใจปราถนา; 2. ประเทศที่มีพลังทางวัฒนธรรมและความคิดที่เข้มแข็งเหนือกว่าและใกล้เคียงกับแนวทางวัฒนธรรมและความคิดของโลกโดยมาตรฐานกลางร่วมสมัยอยู่ ณ เวลาปัจจุบัน [ซึ่งเน้นเรื่องเสรีนิยม (liberalism), พหุนิยม (pluralism), และความเป็นอิสระในการเป็นตัวของตัวเอง ปกครองดูแลตัว เองด้วยตัวเอง (autonomy) - J. Nye & S.O.]; 3. ประเทศที่ความน่าเชื่อถือได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็งมากขึ้นโดยค่านิยมและนโยบายทั้งในประเทศและต่างประเทศ เงื่อนไขเช่นว่านี้แนะว่าจะเป็นโอกาสอันดีสำหรับสหรัฐอเมริกา รวมทั้งประเทศในยุโรป และประเทศ อื่นๆด้วยเช่นกัน (ซึ่งจะอธิบายในบทที่ 3) “อำนาจนุ่มนวล หรือ Soft Power ที่กำลังมีความสำคัญมากๆยิ่งขึ้นในยุคข้อมูลข่าวสารนี้นั้นส่วนหนึ่งเป็นผลพลอยได้ทางสังคมและเศรษฐกิจมากกว่าจะได้จากนโยบายหรือการทำงานจากฝ่ายรัฐ อำนาจ Soft Power จากองค์เอกชนทีีไม่หวังผลกำไร เป็นอำนาจที่เขาสร้างขึ้นมาเอง ซึ่งก็อาจทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนหรืออาจถึงขั้นขัดขวางการทำงานของรัฐก็เป็นได้ การทำธุรกิจเชิงวัฒนธรรมสมัยนิยม (commercial popular culture) อาจจะเป็นการกีดขวางหรือช่วยหนุนเป้าประสงค์ของนโยบายของรัฐได้ทั้งสองทาง ทว่าแนวโน้มระยะยาวที่ยิ่งใหญ่สำคัญกว่าเรื่องเฉพาะหน้าสำหรับสหรัฐอเมริกาย่อมจะดูว่ามีโอกาสดี หากรัฐบาลสหรัฐฯจะรู้จักการใช้ Soft Power ให้ถูกทาง เรียนรู้การใช้ soft Power ให้ดี โดยเป้าหมายที่ว่านโยบายอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯทั้งในประเทศและต่างประเทศ ต้องเป็นไปตามหลักการสร้างและสนับสนุนประชาธิปไตย, สิทธิมนุษยชน, การเปิดกว้างเสรี, และการเคารพความเห็นของผู้อื่น, ทำอย่างนี้ได้อเมริกาก็จะได้รับประโยชน์โภชน์ผลจากแน้วโน้มแห่งยุคปฏิวัติข้อมูลข่าวสาร แต่ก็เห็นมีอันตรายว่าสหรัฐอเมริกาอาจจะทำให้แนวคิดเหล่านี้ขุ่นมัวทำลายความหมายอันลุ่มลึกแท้จริงของอุดมการณ์และยโยบายที่ว่า ด้วยนิสสัยของการเป็นคนคุยโอ่ กร่าง กร้าว ไม่ฟังใคร หยิ่งผยอง (arrogance) (ดังที่จะอธิบายในบทต่อไป) วัฒนธรรมอเมริกัน ทั้งสูงและต่ำ ยังคงช่วยสร้าง Soft Power ได้อยู่เสมอ แต่การทำงานของรัฐบาลนั้นมีความสำคัญเช่นกัน ไม่เพียงแค่จะใช้รายการวิทยุกระจายเสียงจาก “Voice of America” และทุนการศึกษา “Fulbright Scholarship” เท่านั้น แต่การดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบไม่วางตัวเย่อหยิ่งจองหอง ทำตัวเหนือคนอื่น แล้วยืนหยัดยึดมั่น ทำงานต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ดังที่ว่ามานั้นแท้จริง สหรัฐอเมริกาก็จะสามารถได้รับประโยชน์ในยุคปฏิวัติและโลกาภิวัตน์ข้อมูลข่าวสารนี้อย่างแท้แน่จริง แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะไม่เผลอเดินไปเหยียบอุดมการณ์ที่เราต้องการจะสื่อสารส่งต่อออกไป หากหลีกเลี่ยงได้ ก็จะได้ผลสำเร็จตามประสงค์. “Smart power means learning better how to combine our hard and soft power.” “อำนาจฉลาดหมายถึงการเรียนรู้ที่จะหลอมรวมใช้ทั้ง hard และ soft power เข้าด้วยกัน” เป็นอันว่า จบบทที่ 1 เรื่องหลักเกี่ยวกับ Soft Power ที่ควรทำความเข้าใจทั้งหมด โดย ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. อีก 4 บทที่เหลือเป็นเรื่องการอธิบาย ขยายความวิเคราะห์ วิวัฒนาการการใช้ Soft Power ในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย. [9] Soft Power กับ ประเทศไทย ปี 2566-67 เป็นปีที่มีการพูดถึงเรื่อง Soft Power กันมากในประเทศไทย ทั้งในภาครัฐ โดยเฉพาะรัฐบาล และภาคสื่อสารมวลชนซึ่งอาจจะรายงานในฐานะที่เป็นข่าว หรืออาจเป็นการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายและกิจกรรมที่คิดว่าเป็นเรื่้องหรือเกี่ยวข้องกับเรื่อง Soft Power ตามที่คิดว่าเข้าใจ นี่เป็นเพียงเรื่องที่ว่าใครพูดหรือวิจารณ์เรื่อง Soft Power ในประเทศไทย ส่วนเรื่องที่ว่าใครทำอะไรกันบ้างที่เป็นเรื่องการสร้างอำนาจนุ่มนวลหรือ Soft Power สำหรับประเทศไทยนั้นก็เต็มไปด้วยความไม่เข้า่ใจและขาดความรู้พื้นฐานทางแนวคิดเชิงวิชาการเรื่อง Soft Power เป็นปรากฏการณ์ปกติ ดังนั้นการวิจารณ์ปรากฏการณ์เรื่องราวข่าวสารและกิจกรรมที่อ้างว่าเป็น Soft Power ในประเทศไทยนั้นจึงจำต้องเริ่มต้นที่การอ่านต้นเรื่องอันเป็นต้นกำเนิดความคิดเรื่อง Soft Power ในตำราวิชาการสำคัญเรื่อง “Soft Power: The Means to Success in World Politics” โดยศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. ที่พิมพ์เผยแพร่ในปี 2004 หากไม่นับหนังสือเรื่องอื่นๆของท่านก่อนหน้า และ ตามหลังหนังสือเรื่องนี้ ความไม่เข้าใจเรื่อง Soft Power และนำไปใช้ผิดๆในสหรัฐอเมริกาเป็นเหตุให้ศาสตราจารย์ Joseph Nye ต้องอธิบายซ้ำ เขียนหนังสือและบทความซ้ำแล้วซ้ำอีก โลกจึงค่อยๆเข้าใจแก่นแท้และสาระสำคัญของมิติที่สองแห่งอำนาจนี้ ที่ได้แปล อธิบาย สรุปให้เข้าใจโดยละเอียดไปเสร็จเรียบร้อยแล้วสำหรับบทนำและ บทที่ 1 ซึ่งถือเป็นหัวใจของหลักการอันเป็นความคิดรวบยอด หรือ ‘concept’ ว่าด้วย ‘Soft Power’ อธิบายจบแล้วรวม 8 ตอน ส่วนบทเรียนเกี่ยวกับความสับสน ใช้ผิดใช้ถูกในสหรัฐอเมริกา, Russia, ยุโรป, จีน, และหลายประเทศในเอเซียได้ถูกประเมินไว้แล้วในหนังสือเรื่องเดียวกันนี้ในบทที่ 2-3-4 และ 5 ซึ่งจะได้สรุปให้ได้อ่านกันในโอกาสที่เห็นควรในอนาคต แต่เฉพาะตอนนี้ถึงเวลาที่จะวิเคราะห์แบบเน้นเฉพาะประเทศไทยเป็นสำคัญก่อน เพราะยังมีความไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่อง Soft Power กันมากอย่างน่าตระหนก โดยเฉพาะในภาครัฐที่ถลำลึกไปตามกระแสข่าวสารจนรัฐบาลไทยถึงกับตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมาทำงานเรื่อง Soft Power โดยเฉพาะทั้งๆที่มีความไม่รู้เรื่อง Soft Power อย่างแท้จริงเลย ณ ปี 2004 ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. เขียนถึงประเทศไทยไว้ 6 บรรทัด ในบทที่ 3 หน้า 89 ดังนี้: “Of course smaller countries both in Asia and other regions also enjoy soft power. South Korea and Thailand attract others through their economic and democratic Progress. Thailand has even discovered that foreigners love Thai food, and its government set a goal of boosting the number of Thai restaurants overseas as a way to ‘subtly help to deepen relations with other countries.’” (อ้างจาก “Thailand’s Gastro-diplomacy,” The Economist, February 23, 2002, p.48) (แปล) “แน่นอนว่าประเทศเล็กๆทั้งในเอเชียและภูมิภาคอื่นก็ได้ประโยชน์จาก Soft Power เช่นกัน เกาหลีใต้ และ ประเทศไทย ก็มีอำจาจดึงดูดชาติอื่นๆด้วยความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและและการพัฒนาประชาธิปไตย และประเทศไทยก็ยังได้พบว่าชาวต่างประเทศรักอาหารไทย แล้วรัฐบาลก็ตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนร้านอาหารไทยนอกประเทศไทย ‘นัยว่าจะเป็นการช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆให้ดีลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น’” นั่นคือปรากฏการณ์ Soft Power จากประเทศไทยที่ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. สังเกตเห็นผ่านสื่อมสวลชนอังกฤษ เมื่อ 22 ปีที่แล้ว เฉพาะย่อหน้าเดียวที่ ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. กล่าวถึงประเทศไทย ก็สามารถนำหลักการความคิดรวบยอดเรื่อง Soft Power ของท่านมาอธิบายปรากฏการณ์ Soft Power ของไทยได้ดังนี้: 1. ประเทศไทย โดยภาครัฐรู้จักเรื่อง Soft Power และพยายามจะใช้อำนาจมิติอันนุ่มนวลนี้มาแล้วตั้งแต่ปี 2002 ถ้าจะอ้างถึงปีที่ The Economist รายงานข่าวนี้ 2. ประเทศไทยเข้าใจถูกต้องแล้วในปี 2002 ว่า Soft Power เป็นเรื่องการทำให้ชาติอื่นรักประเทศไทยด้วยโครงสร้างทรัพยากรอำนาจหลัก (2) ใน (3) ประการคือ (2) ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจอันเป็นผลพวงจากนโยบายต่างประเทศ และ (3) การพัฒนาประชาธิปไตย อันเป็นเรื่องค่านิยมในการสร้างประเทศด้วยระบบการเมืองการปกครองที่ได้มาตรฐานประชาธิปไตยโลก ทำนองเดียวกับเกาหลีใต้ ทั้งสองเรื่องนี้เป็น (2) ใน (3) องค์ประกอบอันเป็นหัวใจของแหล่งทรัพยากรอันเป็นที่มาของพลัง Soft Power ที่ดึงดูดให้ชาติอื่นนิยมชมชอบและรักประเทศไทย ส่วนองค์ประกอบที่ (1) ที่รัฐบาลไทยเพิ่งค้นพบในปี 2002 ในบริบท Soft Power เป็นเรื่องวัฒนธรรม ซึ่งอาหารไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยและรัฐบาลไทยค้นพบว่าความรักอาหารไทยจากชาวต่างชาติเป็นพลังดึงดูดให้ชาวต่างชาติรักประเทศไทยได้ แล้วรัฐบาลไทยในปี 2002 จึ่งเริ่มมีนโยบายสนับสนุนอย่างเต็มที่ในเรื่องการเพิ่มจำนวนร้านอาหารไทยในต่างประเทศ ไม่ใช่เพื่อให้ต่างชาติมากินอาหารไทยมากขึ้นเฉยๆ แต่เพื่อให้ต่างชาติรักประเทศไทยมากขึ้น อย่างหนึ่งก็โดยการให้ต่างชาติได้มีโอกาสเข้าถึงอาหารไทย วัฒนธรรมไทยที่เขารักได้อย่างทั่วถึงทั่วโลกมากขึ้น และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องนโยบายต่างประเทศและเรื่องวัฒนธรรมไทยผสมอยู่ในแหล่งทรัพยากรแห่งอำนาจนุ่มนวลอำนาจเดียวกัน ไม่ใช่การขายอาหารไทยเพื่อการมีรายได้มากขึ้นจากนักท่องเที่ยว แต่เป็นการทำให้ชาวต่างชาติรักประเทศไทยมากขึ้น เพื่อเพิ่มพูนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสำคัญ 3. พลัง Soft Power มาจาก (1) วัฒนธรรม (2) ค่านิยม อุดมการณ์ และสถาบันทางการเมือง และ (3) นโยบายต่างประเทศ ในเรื่องวัฒนธรรมไทยเป็นพลังดึงดูดให้ชาติอื่นรักและชื่นชมนั้น เป็นเรื่องที่คนไทยทราบดีมานานแล้วเพียงแต่ไม่ได้นิยามว่าเป็น “อำนาจ” ดึงดูดให้คนอื่นรักแต่อย่างใดนอกจากจะภูมิใจว่าเรามีวัฒนธรรมที่โลกรัก แต่พอมารู้ว่าวัฒนธรรมเป็นที่มาของอำนาจ Soft Power ก็กลายเป็นเรื่้องสับสนบานปลายกลายเป็นคิดกันว่าวัฒนธรรมเป็นสินค้าขายออกต่างประเทศเพื่อทำรายได้ให้มากขึ้น ไม่ใช่เพื่อให้ชาติอื่นชื่นชมหลงรักโดยธรรมชาติ เป็นที่มาของความไม่ถูกต้องที่กิดขึ้นในปี 2024 ปีปัจจุบัน ค่านิยมด้านสาถบันทางการเมืองของไทยในปี 2002/2545 ในบริบทแห่งกาลเวลานั้น ประเทศไทยถือเป็นแบบอย่างได้ในการพัฒนาประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน ปี 2540 นั้น ประชาชนไทยทั้งประเทศกับสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ 99 คน ร่วมกันร่างและเพิ่งประกาศใช้มาได้ 5 ปีด้วยความราบรื่นเป็นแบบอย่างสำหรับรัฐสมาชิก ASEAN และโลกก็เฝ้าจับตาดูด้วยความยินดี มีการเลือกตั้งตามแบบประชาธิปไตยทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ทั้งสองสภาเลือกตรงจากประชาชนทั่วประเทศ มีองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระถ่วงดุลย์อำนาจที่อาจจะฉ้อฉล ทุจริตคอร์รัปชั่นในหมู่นักการเมืองและข้าราชการได้ อย่างน้อยก็พอมีความหวังในระดับแรกเริ่ม การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยก็อยู่ระดับบนของ ASEAN เป็นที่สองที่สามรองจาก Singapore และ Malaysia ธนาคารโลกจัดประเทศไทยเป็นประเทศที่ประชาชนมีรายได้ปานกลางขั้นกลางถึงขั้นสูง ฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็วหลังวิกฤติเศรษฐกิจโลกในช่วงก่อนและหลังปี 1997 ทั้งเศรษฐกิจและการเมืองที่อยู่ในระดับเป็นแบบอย่างที่ดี ประเทศไทยมีพลังดึงดูดให้นานาชาติชื่นชมยกย่องและหลงรักได้อย่างน่าภูมิใจ หลังจากการประชุมสุดยอด ASEAN ที่ชะอำ-หัวหิน ปี 2008 และความขัดแย้งทางการเมืองของกลุ่มชนในประเทศยังผลให้โครงสร้างทางการเมืองและสังคมประชาธิปไตยในประเทศไทยไถลลงต่ำเป็นระยะแทรกซ้อนด้วยระบบการเมืองที่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างมากมายกระจายทั่ว แถมการแทรกซ้ำทำลายกระบวนการประชาธิปไตยด้วยอำนาจแข็งของฝ่ายทหารที่เข้าแทรกแซงการเมืองอย่างฉับพลันถึงสองครั้ง มาถึงวันนี้ ค่านิยม อุดมการณ์ทางการเมือง และนโยบายต่างประเทศของไทยไม่มีพลังแห่ง Soft Power หลงเหลืออยู่เลยในภาครัฐ 4. ที่ยังมีเหลืออยู่คือพลังทางวัฒนธรรม แต่พลังอำนาจทางวัฒนธรรมก็เป็นของประชาชนและสังคม ไม่ใช่หน้าที่ของรัฐ ดังที่ทราบเป็นหลักการแล้วว่า (1) Soft Power นั้นมากจาก วัฒนธรรม ค่านิยมทางสังคมและการเมือง และ นโยบายต่างประเทศ (2) Soft Power นั้นเกิดขึ้นในสองส่วนของสังคม คือภาครัฐ และ ภาคประชาชน เมื่อภาครัฐล้มเหลวไปแล้วในขุมพลัง Soft Power ยกเว้นเรื่องวัฒนธรรม แต่พลังวัฒนธรรมนั้นก็เป็นเรื่องที่สังคมและประชาชนวิวัฒนาการสร้างสรรค์ขึ้นกันเองโดยธรรมชาติและกาลเวลาบนเส้นทางประวัติศาสตร์ รัฐมิควรและจะทำไม่ได้ ในการเข้าไปแทรกแซงเรื่องวัฒนธรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงให้เป็นอำนาจที่รัฐบาลจะเอาไปใช้ขายขอความรักจากชาติอื่นตามใจรัฐบาล ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. ย้ำว่า: ‘รัฐบาลไม่สามารถ และไม่ควร ที่จะควบคุมวัฒนธรรม ... แน่นอนแท้จริงว่า การไม่มีนโยบายควบคุมวัฒนธรรมนั่นเองที่เป็นพลังดึงดูดใจ” นี่คือข้อจำกัดของ Soft Power ที่รัฐบาลไทยต้องเข้าใจว่าวัฒนธรรมเป็นของประชาชน รัฐมิควรและต้องไม่เข้าไปแทรกแซงจัดการใหม่ให้กลายเป็นสินค้าส่งขายชาวต่างชาติ แต่รัฐอาจพยายามช่วยสนับสนุนประคับประคองให้วัฒนธรรมของชาติสามารถมีส่วนช่วยเสริมนโยบายต่างประเทศได้ หรืออย่างน้อยๆก็พยายามมิให้วัฒนธรรมเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. กล่าวว่า: “Soft Power จากและโดยภาคประชาชนนี้อาจจะช่วยเสริมหรือสวนทางกับเป้าหมายของนโยบายต่างประเทศของรัฐอย่างเป็นทางการ ก็ได้ทั้งสองทาง” ซึ่งการคิดแบบนี้เป็นความจริง โดยเฉพาะในปัจจุบันที่เป็นยุคโลกาภิวัตน์ข้อมูลข่าวสาร บทบาท Soft Power จากภาคประชาชนและเอกชนกำลังมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่รัฐจะต้องรักษาบทบาทหน้าที่และนโยบายของรัฐเองต่อภาคเอกชนและประชาสัมคมมิให้กัดกร่อนทำลายแต่ให้สนับสนุน Soft Power ที่เป็นของรัฐเองให้ได้ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ และ คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ จากปี 2002 ข้ามกาลเวลามา 22 ปี ประเทศไทย โดยรัฐบาลไทยชุดใหม่จากพรรคเพื่อไทยของคุณทักษิณ ชินวัตร กลับมาพูดและทำเรื่อง Soft Power กันอีกรอบ พูดกันมากขึ้นจนเป็นกระแสใหญ่ในสังคมข่าวสาร ดูเหมือนรัฐบาลขยันจะพยายามทำงานสร้างอำนาจนุ่มนวลให้จริงจังมากขึ้นกว่า 22 ปีที่แล้ว แต่ทั้งที่พูดและที่ทำ ล้วนอ้าง Soft Power เป็นเครื่องอธิบายทั้งนั้น แถมเป็นการพูด การอ้าง อย่างผิดๆ และที่ทำก็ทำแบบผิดๆ ไม่ใช่เรื่อง Soft Power แต่เป็นเพียงกิจกรรมที่รัฐบาลสั่งให้ทำ และประทับตราให้เรียกว่าเป็น Soft Power ลำดับขั้นตอนการกระทำความผิดของรัฐบาล ถือเป็นความผิดเชิงวิชาการ เรื่อง Soft Power ดังนี้:
กว่าประธานกรรมการชุดใหญ่ กรรมการชุดเล็กชื่อ “คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ” หมายความว่า ‘ชาติ’ ยังไม่มี Soft Power จำจะต้องสร้างและพัฒนาขึ้นมา ใหม่ จะสร้างและพัฒนาอะไรจากอะไรเป็นอะไรก็แล้วแต่ ถ้ารู้ว่า Soft Power คืออะไร หาได้ที่ไหนก็คงสะดวกมากที่จะเอามาพัฒนาใช้ คิดราวกับว่า Soft Power เป็นวัตถุที่จับต้องได้แต่ยังไม่ได้ถูกขัดเกลาปรับแต่งเอามาใช้ จะอย่างไรก็ตามกรรมการชุดเล็กที่ประธานมีอำนาจเหนือชุดใหญ่นี้จะต้องพัฒนา Soft Power ให้เกิดขึ้นเป็นจริงจับต้องได้เสียก่อนแล้วจึงค่อยส่งต่อให้กรรมการชุดใหญ่นำไปใช้ตามยุทธศาสตร์ หากตรรกะเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่จำเป็นจะต้องมีกรรมการชุดใหญ่ หรือกรรมการชุดใหญ่ยังไม่มีงานทำจนกว่าชุดเล็กจะทำงานเสร็จก่อน หากทำงานก่อนชุดเล็กก็จะเป็นการสิ้นเปลืองค่าเบี้ยประชุมไปโดยเปล่าประโยชน์ แถมจะเสียเวลาอันมีค่าของบุคคลสำคัญทั้งหลายที่เป็นกรรมการในชุดใหญ่นี้ด้วย 4. สมมุติว่าเราจะลองปล่อยให้กรรมการชุดเล็กทำงานพัฒนา Soft Power ให้ประเทศชาติไปก่อนก็จะเป็นเรื่องยากลำบากอีก เพราะความพยายามที่จะสร้าง Soft Power โดยรัฐบาลตั้งกรรมการมาทำงาน ไม่ใช่นโยบายต่างประเทศ แต่เป็นนโยบายของนายกรัฐมนตรี ส่วนรัฐมนตรีีต่างประเทศเป็นเพียงกรรมการคนหนึ่งเท่านั้น และกระทรวงการต่างประเทศเองก็ไม่ปรากฏว่ามีนโยบายต่างประเทศที่สะท้อนความประสงค์เรื่อง Soft Power โดยตรงเหมือนที่นายกรัฐมนตรีอยากทำในฐานะประธานกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ เมื่อ Soft Power ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของนโยบายต่างประเทศโดยตรง Soft Power โดยสำนักนายกรัฐมนตรีจึงผิดเพี้ยนไปจากหลักการที่ศาสตราจารย์ Joseph Nye, Jr. กำหนดไว้ ดังนั้นหากว่าใครในภาครัฐจะรับผิดชอบเรื่อง Soft Power หน่วยงานนั้นจะต้องเป็นกระทรวงการต่างประเทศจึงจะถูกต้องตามหลักความคิดของ ศาสตราจารย์ Joseph Nye แต่ถ้านายกรัฐมนตรีจะเอาผลการประชุมของกรรมการชุดใหญ่ไปบังคับให้กระทรวงการต่างประเทศปฏิบัติเป็นนโยบายต่างประเทศก็ย่อมได้ เรื่องนี้ยังไม่ทราบว่าจะลงเอยอย่างไร เพราะกรรมการยุทธศาสตร์ยังวางยุทธศาสตร์ไม่ได้เพราะยังไม่มี Soft Power บรรจุหีบห่อส่งมาจากกรรมการชุดเล็ก 5. กรรมการชุดเล็ก คือ “คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ” ขอใช้งบประมาณ 5,164 ล้านบาทเพื่อจัดกิจกรรมงานเทศกาล, ท่องเที่ยว, อาหาร, ศิลปะ, ออกแบบ, มวยไทย, ดนตรี, หนังสือ, ภาพยนตร์, ละคร, ภาพยนตร์หรือละครชุดแบบ series, แฟชั่น, เกม และ eSports เห็นชัดเจนว่าทั้งหมดนี้เป็นการใช้เงิน (Hard Power) ทำกิจกรรมเชิงศิลปะ วัฒนธรรม กีฬาและท่องเทื่ยว เป็นการทำกิจกรรมและจัดงาน ไม่ใช่การ “พัฒนา” อำนาจนุ่มนวล หรือ Soft Power จึง ไม่เกี่ยวอะไรกับนโยบายต่างประเทศอันเป็นหัวใจของ Soft Power ไม่เป็นผลอะไรต่อการสร้างแรงดึงดูดให้ประเทศอื่นรักและร่วมมือด้านนโยบายต่างประเทศกับประเทศไทย ไม่สามารถทำให้สถานภาพของประเทศไทยบนเวทีโลก เช่นสหประชาติ องค์การการค้าโลก ฯลฯ ดีขึ้น ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงการจัดงาน เปิดงานแล้วก็ปิดงานเชิงศิลปะวัฒนธรรมธรรมดาๆที่ปรกติ เป็นงานที่ทับซ้อนกับหน่วยงานอื่นของรัฐบาลที่มีหน้าที่ต้องทำอยู่แล้วเช่น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย การกีฬาแห่งประเทศไทย และ กระทรวงวัฒนธรรม การแทรกแซงในงานวัฒนธรรมโดยรัฐถือเป็นความผิดต่อหลักการ Soft Power เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและต้องไม่ทำ เพราะ “การไม่แทรกแซงทางวัฒนธรรมโดยรัฐต่างหากที่ช้วยสร้าง Soft Power ได้” 6. สรุปได้ตามหลัก Soft Power ว่า รัฐบาลกำลังแทรกแซงและทำลายวัฒนธรรมชองประชาชน เป็นการทำลาย Soft Power ของชาติที่สร้างโดยประชาชนมายาวนาน ถ้ารัฐบาลทำสำเร็จ จากนี้ไปประชาชนก็จะขอเงินงบประมาณจากรัฐเพื่องานวัฒนธรรมเป็นหลัก กลายเป็น Hard Power แห่งวัฒนธรรมไปโดยปริยาย 7. เฉพาะหน้า เรื่องนโยบายจัดงานสงกรานต์ปี 2567 ที่คณะกรรมการฯ ทั้งสองคณะประกาศคำสั่งแบบ Hard Power ให้ขยายเวลาฉลองสงกรานต์ ที่ปรกติตามประเพณีจะมีสามวัน คือวันมหาสงกรานต์ วันเนา และ วันเถลิงศก โดยมีวันผู้สูงอายุและวันครอบครัวซ้อนสองในสามวันนี้ด้วย แต่กรรมการฯสั่งให้เรียกประเพณีสงกรานต์ว่า “World Water Festival” แล้วประชาสัมพันธ์ไปทั่วโลก แถมบังคับให้ฉลองสงกรานต์กันยาวนานถึง 20 วัน จะมากหรือน้อยกว่านี้ก็แล้วแต่ความเป็นไปได้ในวันเวลาจริงๆ แต่นี่เป็นการใช้อำนาจแข็ง Hard Power แทรกแซงทางวัฒนธรรม หากจะให้สงกรานต์เป็นไปตามคำสั่งรัฐบาลก็อาจต้องออกคำสั่งแทรกแซงทางวัฒนธรรมทุกปีจนกว่ารัฐบาลจะพ้นวาระ การหาคาวมรู้สร้างความเข้าใจเรื่อง Soft Power จริง ๆ ให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากเลย เพียงอ่านหนังสือของ Prof. Joseph Nye, Jr. เรื่อง “Soft Power: The Means to Success in World Politics” เท่านั้นเองก็พอ พิมพ์ขายมา 20 ปีแล้ว ราคา $15.99 (586.68 บาท) เท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณ 5,164 ล้านบาทให้สูญเปล่าแถมเป็นการทำลาย Soft Power ให้เสื่อมลงตามอำนาจเงิน 5,164 ล้านบาท ไปด้วย [เท่ากับ 8,802,072.680 (แปดล้านแปดแสนสองพันเจ็ดสิบสอง) เท่า ของราคาหนังสือ)] [จบ] |