Vertical Divider
WE ARE NOT ALONE!YES, WE ARE NOT ALONE!
ประเทศไทยของพวกเราที่ว่ามีปัญหาเยอะนั้น โดยเฉพาะปัญหาการเมือง ผมรู้ปัญหา และรู้วิธีแก้หมดแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครถามผม และผมไม่มีโอกาสเข้าถึงอำนาจรัฐเท่านั้นเอง ผมจึงถอยห่างออกไปอยู่ปากช่อง หันไปมองกรุงเทพฯทีไรก็เลยหากรุงเทพฯไม่เจอ กรุงเทพเป็นเพียง location บน Google map ที่ไม่มีภาพปัญหาที่สารวนแก้กันอยู่ กรุงเทพฯและประเทศไทยจึงไม่มีความสำคัญอะไรสำหรับผมนัก อย่าว่าแต่ประเทศไทยเลย โลกมนุษย์ทั้งโลก เมื่อเราถอยห่างออกไปนอกโลก ออกไปไกลๆ สู่อวกาศ ผ่านดาวเคราะห์ต่างๆทั้ง 8 ดวง จนถึงสุดขอบระบบสุริยะ เลยดาวแคระห์ Pluto ออกไป เราจะมองไม่เห็นโลกอันเป็นดาวเคราะห์ดวงที่สามในวงโคจรเลย ผมอาจยังคงคิดว่าโลกสำคัญ ประเทศไทยสำคัญ หรือแม้กระทั่งตัวเองนั้นเป็นมนุษย์ผู้มีความสำคัญ ถ้าผมไม่ได้เห็นโลกอย่างที่ Carl Sagan ถ่ายภาพมาให้ดู และอธิบายให้ทราบความจริง เพียงได้มองภาพโลกจากระยะห่างเลยดาวเสาร์ (Saturn) ออกไปเท่านั้น ก็เห็นโลกเป็นเพียงจุดเล็กๆสีฟ้าจืดๆ ที่ Carl Sagan เรียกว่า “Pale Blue Dot” เท่านั้น โครงการสำรวจดาวเคราะห์ในวงโคจรรอบนอก จากโลก ไปสุดขอบระบบสุริยะ เริ่มในปี 1977 ส่งยานอวกาศ Voyager 2 และ Voyager 1 ออกนอกโลกไปทำการสำรวจรอบนอกของระบบสุริยะ เริ่มที่ ดาว Jupiter, (ดาวพฤหัส), Saturn (ดาวเสาร์), Uranus (มฤตยู) และ Neptune (เกตุ) และดวงจันทร์รอบดาวเคราะห์เหล่านี้ทั้งหมดรวม 48 ดวง Carl Sagan เป็นนักวิทยาศาสตร์ร่วมโครงการ Voyager 1-2 ขององค์การ NASA นี้ด้วย เขาเล่าไว้ในหนังสือเรื่อง Pale Blue Dot (1994) ตอนหนึ่งว่า: “ขณะที่ยาน Voyager 1 กำลังวิ่งห่างออกจากดวงอาทิตย์ไปด้วยความเร็ว 40,000 ไมล์ต่อชั่วโมงนั้น ถึงตอนต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1990 หลังจากเดินทางออกจากโลกมนุษย์มาได้ 13 ปี ก็ได้รับคำสั่งด่วนจากโลก ซึ่งก็คือคำสั่งจากตัวเขา Carl Sagan นั้นเอง ให้หันกล้องกลับทิศทางมายังดาวเคราะห์ทั้งหลายที่ผ่านมาแล้ว ให้ลองหันหน้ากล้องไปยังโลก แล้วถ่ายภาพโลกมาให้ดูกันหน่อย ว่าโลกที่มนุษย์อยู่อาศัยกันนั้นมีภาพรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร จากมุมมอง 32 องศา เหนือระนาบโคจรของดาวเสาร์ ระยะห่างจากโลก 6 พันล้านกิโลเมตร หรือ 4 พันล้านไมล์ ยาน Voyager 1 ถ่ายภาพโลกมนุษย์มาได้ 60 ภาพ หรือ 60 frames ได้ภาพโลกเป็นเพียงจุดเล็กๆขนาด 0.12 pixel” (http://www.planetary.org/explore/space-topics/earth/pale-blue-dot.html) เท่านั้นเอง! เป็นที่มาของภาพโลกที่เห็นเป็นเพียงจุดแสงสีฟ้าจืดเรียกว่า “Pale Blue Dot” เมื่อมนุษย์ได้ดูโลกของตนจากระยะห่างเพียง 6 พันล้านกิโลเมตร มองจากดาวเสาร์ แล้วก็จะรู้ว่า จุดเล็กสีฟ้าจืดขนาดไม่ถึงครึ่ง pixel ที่เรียกว่าโลกนี้ไม่มีอะไรสำคัญให้สดุดตาเป็นพิเศษ นักบินอวกาศจากดาวดวงอื่น หากเดินทางผ่านมาก็คงผ่านไปโดยไม่สังเกตเห็นอะไรน่าสนใจให้แวะชม สำรวจ หรือทำสงครามด้วย ด้วยความเป็นนักปรัชญาวิทยาศาสตร์ Carl Sagan เขียนในหนังสือ Pale Blue Dot (Chapter 1 You are Here) ว่า: “สำหรับเราผู้เป็นมนุษย์ โลกของเรามีความแตกต่างสำคัญ มองดูจุดสีฟ้าจางๆนั้นอีกที ตั้งใจมองให้ดี ที่นั่นคือบ้านของเรา นั่นคือเรา ทุกคนที่เรารักอยู่บนจุดสีฟ้าอ่อนนั้น ทุกคนที่เรารู้จัก ทุกคนที่เราเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขา ทุกชีวิตมนุษย์อยู่อาศัยใช้ชีวิตกันก็บนจุดสีฟ้าจางๆอันนี้ คือโลกใบนี้เอง บนจุดสีฟ้าจืดนี้แหละรวมเอาไว้ซึ่งความสุข ความทุกข์ นับร้อยนับพันของศาสนา อุดมการณ์ ลัทธิเศรษฐกิจ นักล่า และ นักกวาดต้อนเสบียงกรัง วีรบุรุษผู้กล้าและผู้ขลาดเขลาทั้งหลาย มนุษย์ผู้สร้างและทำลายอารยธรรมทั้งปวง กษัตริย์และไพร่ทุกคน คู่หนุ่มสาวที่กำลังตกอยู่ในห้วงรัก แม่และพ่อทุกคน เด็กที่มีความหวังแห่งอนาคต นักประดิษฐ์ นักสำรวจ ครูและนักเทศน์ผู้อบรมสั่งสอนศีลธรรมทั้งหลาย นักการเมืองผู้ทุจริตคดโกงทุกๆคน พวกดาวรุ่งโด่งดังเป็น superstar ทั้งหลาย อีกทั้งท่านผู้นำสูงสุด นักบุญ นักบวช และคนบาปทั้งมวลทุกคนในปะวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ทุกคนล้วนใช้ชีวิตอยู่อาศัยบนละอองฝุ่นจุดเล็กที่ล่องลอยอยู่ในลำแสงจากดวงอาทิตย์อยู่ ดังที่เห็นเป็นจุดสีฟ้าจางนี้เอง.” (หน้า 6) ในบทบรรยาย “The Varieties of Scientific Experience: A Personal View of the Search for God” ของ Carl Sagan เรื่องหลักคือการถกเถียงเรื่องพระเจ้าที่เขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มี หากจะมีใครที่เชื่อว่ามีก็ต้องหาเหตุผลและข้อพิสูจน์มาลบล้าง แต่ ณ วันนี้ ไม่มีพระเจ้า หากจะพูดว่ามีพระเจ้าก็ต้องเป็นอย่างที่ Albert Einstein ว่า พระเจ้านั้นก็คือ Gravity กับ Quantum Machanics Gravity คือแรงโน้มถ่วงของวัตุที่มีขนาดใหญ่จับต้องได้ ไปจนถึงขนาดดวงดาวทั้งหลาย ทั้งที่เป็นดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ Quantum Mechanics ก็คือกฎแห่งแห่งปฏิกริยาระหว่างสะสารและรังสีในระดับอนุภาคของอะตอมและโมเลกุล บนพื้นที่อวกาศและกาลเวลา คำพูดอันโด่งดังของ Albert Einstein ที่ผู้คนนิยมอ้างถึงกันคือ ถ้ามีพระเจ้า “พระเจ้าจะไม่เล่นลูกเต๋า” เพราะพระเจ้าคงไม่เสี่ยงสร้างโลกที่อลเวงวุ่นวายไม่มีอะไรแน่นอนแบบนี้ได้ พระเจ้าที่แท้จริงต้องอธิบายปรากฏการณ์ในเอกภพได้ ดังเช่นกฎแห่งฟิสิกส์ สิ่งนี้เป็นตัวกำหนดความเป็นไปและปรากฏการณ์ที่ศัพท์วิทยาศาสตร์เรียกว่า event ต่างๆในเอกภพ หากพระเจ้ามีตัวตนจริงๆดังภาพวาดตามเพดานและผนังโบสถ์ พระเจ้าก็ดูจะเหมือนมนุษย์ เพียงแต่มนุษย์ที่อ้างว่าสร้างโดยพระเจ้านั้นมีทั้งดีและชั่ว โดยเฉพาะพระเจ้ามีเหตุผลอะไรที่สร้างมนุษย์บาปมาบนโลกเพื่อมนุษย์เหล่านั้นจะทำลายโลกที่พระเจ้าสร้างในที่สุดอย่างนั้นหรือ? Carl Sagan บรรยายว่า ความเชื่อเก่าของมนุษย์นับแต่โบราณกาลก็เกิดจากการเชื่อตามสามัญสำนึกที่มองเห็นตามภาพสิ่งที่ปรากฏต่อหน้า และเชื่อตามที่คนอื่นบอกเล่าไว้ โดยเฉพาะจากคนที่มีสถานภาพพิเศษเหนือคนอื่นในสังคม ความเชื่อผิดๆหลงผิดเพราะนักคิดผู้มีสถานภาพสูงในสังคมสอนไว้ ในที่สุดก็จะค่อยๆถูกลบล้าง ด้วยข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ในเวลาต่อมา อาจจะใช้เวลานานนับร้อยนับพันปีกว่าคนทั้งโลกจะยอมรับความจริงทางวิทยาศาสตร์. Aristotle ปราขญ์ชาวกรีกโบราณเมื่อกว่า 300 ปีก่อนคริสตกาลบอกและไม่มีใครกล้าเถียงว่า โลกของมนุษย์นั้นจอดนิ่งอยู่กับที่เฉยๆ ส่วนดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดาวเคราะห์ดวงอื่นที่มองเห็นนั้นโคจรขึ้นและลงไปตามแนวโค้งของครอบฟ้าใส ทรงครึ่งลูกกลม ดาวดวงอื่นๆที่อยู่ไกลออกไปที่เห็นไม่เคลื่อนที่นั้นก็นิ่งอยู่กับที่เช่นกัน นั่นเรียกว่าสวรรค์ บนโลกมีธาตุที่สำคัญสี่อย่าง คือ ดิน น้ำ ไฟ และอากาศ (ลม) ส่วนบนสวรรค์นั้นเป็นธาตุสำคัญธาตุที่ห้า เป็นที่มาของคำภาษาอังกฤษว่า “quintessential” 1,800 ปี ต่อมา ถึงศตวรรษที่ 15th Nicolaus Copernicus นักดาราศาสตร์ชาว Prussia ดินแดนในราชอาณาจักรโปแลนด์ พิสูจน์ได้ว่าโลกกลมและโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เหมือนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ส่วนดวงจันทร์นั้นก็โคจรรอบโลก สวนทางกับความเชื่อของศาสนาคริสต์ที่ถือว่าพระเจ้าสร้างโลกให้เป็นศูนย์กลางของสรรพสิ่งในเอกภพ (หรือที่เราเคยเรียกว่าจักรวาล) ความจริงที่ Copernicus พิสูจน์ได้ว่าดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะ ไม่ใช่โลก เป็นความจริงที่เป็นอันตราย เสี่ยงต่อการลบหลู่คำสอนของศาสนา ความรู้ใหม่ของ Copernicus จึงถูกเก็บไว้ไม่เผยแพร่จนกระทั่งหลัง Copernicus เสียชีวิตไปแล้ว ฝ่ายศาสนาที่คิดและหวังว่าพระเจ้าในฐานะผู้เนรมิตโลกและให้กำเนิดสรรพชีวิต สร้างโลกให้เป็นศูนย์กลางของจักรวาล หรือเอกภพ ค่อยๆถูกวิทยาศาสตร์ลบล้างไปที่ละน้อยๆ อย่างช้าๆ ณ วันนี้เรารู้แน่แท้แล้วว่า:
Exoplanets: โลกอื่นที่มิใช่ของเรา Oxford English Dictionary (OED) อธิบายคำว่า ‘planet’ ที่ภาษาไทยเรียกว่า ‘ดาวเคราะห์’ นั้น ว่ามีรากศัพท์มาจากภาษากรีก แปลว่า ‘wanderer’ แปลเป็นไทยว่า “ผู้เดินทางท่องไป” มีความหมายทำนองว่าเป็นการเดินทางท่องไปอย่างไร้กำหนดการ หรือการกำกับเส้นทาง หรือการกำหนดทิศทางแน่นอน ถ้าถามว่าจะไปไหน? ก็คงตอบว่าไปเรื่อยๆ หรือ ‘ไปโน่น’ อย่างที่คนสุพรรณฯชอบตอบเมื่อถูกถามแบบที่ผู้ถามไม่ตั้งใจจะต้องการคำตอบ แต่การเดินทางแบบ ‘wanderer’ ไปเรื่อยๆ ก็มิใช่ว่าจะเป็นการหลงทาง. ดังบทกวีของ J.R.R. Tolkien ในวรรณกรรม classic เรื่อง The Lord of the Rings ภาค 1: The Fellowship of the Ring ที่ว่า ‘Not all those who wander are lost’ บทกวีนี้ปรากฏในบทที่ X : Strider (หน้า 170 ฉบับ 50th Anniversary, HarperCollinsPublishers, 2005; หน้า 224 HarperCollinsPublishers, 1999; The Lord of the Rings พิมพ์ครั้งแรกในอังกฤษ โดย George Allen & Unwin, 1954) บทกวีนี้ตั้งชื่อว่า ‘All that is gold does not glitter’ ชื่อเดิมว่า ‘The Riddle of Strider’ ซึ่งบอกว่า Strider แม้อาจปรากฏเป็นคนผู้เร่ร่อนรอนแรมไปในป่ากว้างแต่ที่จริงแล้วเขาคือกษัตริย์ Aragorn ผู้ครั้งหนึ่งเคยทรงความยิ่งใหญ่มาก่อน ในตอนจบ ภาค 3: The Return of the King นักผจญไพรผู้นี้ได้กลับสู่ราชบัลลังก์เป็น King Elessar Telcontar ("Elfstone Strider") of Gondor”. อาศัยวรรณคดีเป็นเครื่องเปรียบเทียบ ชาวกรีกโบราณเรียกดาวเคราะห์ว่าเป็นดวงดาวที่โคจรไปเรื่อยๆในวงโคจร ที่สุดท้ายก็กลับที่เดิมอันเป็นจุดเริ่ม จากนั้นก็โคจรในรอบวงต่อไป ดาวเคราะห์จึงมิใช่ว่าจะหลงทางแต่อย่างใด สำหรับดาวเคราะห์ The Earth หรือ โลกของเรา ก็โคจรไปเรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ไม่หลงทางเพราะวนกลับมา ณ จุดเดิมได้ทุกรอบปี ดาวเคราะห์ดวงอื่นในระบบสุริยะของเราก็โคจรไปเรื่อยๆแบบไม่หลงทางเช่นกัน เราจึงมองเห็นดาวเคราะห์เหล่านั้นในตำแหน่งประจำตามกำหนดเวลาที่สอดคล้องกันเสมอ ดาวเคราะห์ทั้งแปดดวง (ไม่รวมดาว Pluto) อยู่ในระบบสุริยะ (Solar System) อันเป็นระบบดวงอาทิตย์ดวงเดียวของเราที่เรารู้จักใกล้ชิด ในเมื่อมนุษย์รู้แล้วว่าเพียงเฉพาะในแกแล็กซี่ทางช้างเผือกแต่เพียง Galaxy หรือ ดาราจักรเดียวเท่านั้นก็มีดาวฤกษ์แบบดวงอาทิตย์ของเรานี้ถึงนับแสนล้านดวง ดังนั้นดวงอาทิตย์ดวงอื่นใน Galaxy ของเรานั้นก็น่าจะเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะอื่นได้ โดยอาจจะมีดาวเคราะห์อีกมากมายที่ต่างก็ ‘wander’ หรือเดินทางเป็น ‘wanderer’ โคจรไปเรื่อยๆรอบดวงอาทิตย์อื่นๆนอกระบบสุริยะของเรา. ดาวเคราะห์อื่นนอกระบบสุริยะของเรานี้นักวิทยาศาสตร์เรียกว่า ‘Exoplanet’ มาจากคำว่า Extrasolar Planet แปลว่าดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของเรา หรือดาวเคราะห์ในระบบสุริยะอื่น. การค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะของเราดำเนินมาเป็นเวลานานแล้วนับแต่เริ่มมีการตั้งคำถาม แต่การสำรวจดวงดาวด้วยตาเปล่านั้นสุดวิสัย ทำไม่ได้ หรือแม้กระทั่งการสำรวจด้วยกล้องดูดาวอวกาศทั้งหลายก็มิอาจเห็นได้ด้วยการถ่ายภาพโดยตรง การค้นหาดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ หรือ Exoplanet ทำได้โดยดูการหักเหหรือกระพริบวูบวาบของแสงจากดวงอาทิตย์อื่นทั้งหลายเวลาที่มีดาวเคราะห์บริวารโคจรรอบและในจังหวะที่ผ่านหน้าบังแสงจากดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์นั้นๆ เมื่อกล้องดูดาวอวกาศมองเห็นอาการวูบวาบหรือกระพริบหักเหของแสงชั่วระยะสั้นๆก็สันนิษฐานได้ว่ามีการเดินทางผ่านของดาวเคราะห์ วิธีการศึกษาเช่นนี้พัฒนาจนได้ผลดีมากขึ้นเมื่อมีกล้องดูดาวท่องไปในอวกาศเช่น Hubble และ Kepler, etc. ที่สามารถส่องดูได้ไกลมากๆโดยไม่มีอุปสรรคขวางทางแสงเหมือนกล้องบนหอดูดาวบนยอดเขา จึงมีการค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะมากขึ้น. ล่าสุด ณ วันที่ 19 ธันวาคม 2024: Wikipedia (https://en.wikipedia.org/wiki/Exoplanet) ระบุว่า พบ Exoplanet แล้ว 5811 ดวง ใน 4,310 ระบบสุริยะอื่น และในจำนวนนั้นมี 973 ระบบสุริยะที่ มีดาวเคราะห์โคจรรอบมากกว่า 1 ดวง. ส่วนนักวิทยาศาสตร์นานาชาติของ Website: exoplanet.eu ก็บันทึกว่ามีดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะในฐานข้อมูลถึง 7,000 ดวง (https://exoplanet.eu/home/) (Websites อื่นๆ ของนักวิทยาศาสตร์มืออาชีพที่ติดตามเรื่อง Exoplanet ตลอดเวลา ดูที่ http://exoplanet.eu/sites/ ) กล้องดูดาวอวกาศ Kepler กำลังจะหมดอายุใช้งาน หลังจากส่งขึ้นวงโคจรในอวกาศเมื่อปี 2009 และเวลานี้ก็มีกล้องดูดาวอวกาศชื่อ The Transiting Exoplanet Survey Satellite ขึ้นปฏิบัติหน้าที่แทนแล้ว นอกจากนี้องค์การอวกาศยุโรป (European Space Agency) กำลังเตรียมส่งกล้องดูดาวอวกาศ หรือดาวเทียมสำหรับค้นหาดาวเคราะห์ Exoplanets เพิ่มอีกสองกล้อง คือ The Characterising Exoplanets Satellite ซึ่งจะส่งขึ้นปี 2019 นี้, และจะส่งกล้อง Planetary Transits and Oscillations of Stars ขึ้นสู่อวกาศในปี 2026. นับวันก็จะมีการค้นพบ Exoplanet มากยิ่งขึ้น เกือบไม่เว้นแต่ละวันแต่ละสัปดาห์แต่ละเดือน เพราะความสงสัยใคร่รู้ของมนุษย์ เพราะเทคโนโลยีก้าวหน้าที่ใช้สำรวจ เพราะความใส่ใจของนักวิทยาศาสตร์ เพราะจำนวนมหาศาลของดวงดาวในเอกภพ มนุษย์ในโลกวันนี้จึงมั่นใจได้แล้วว่ามีดาวเคราะห์ดวงอื่นโคจรรอบระบบสุริยะอื่น และบางดวงก็อยู่ในวงโคจรที่เว้นระยะห่างเหมาะสม ที่เรียกว่าเงื่อนไข Goldilock อันสามารถวิวัฒนาการชีวิตได้. …… และแล้วมนุษย์ผู้ทรงภูมิปัญญาก็ตั้งคำถามต่อไป...... สิ่งมีชีวิตในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งอาจกำเนิดได้บนดาวเคราะห์ดวงอื่น เพียงแต่การเดินทางค้นหาด้วยยานอวกาศและกล้องดูดาวอวกาศยังไม่พบ ไม่ว่าจะชีวิตต่างดาว หรือพระเจ้าที่อาจพบผ่านสวนทางกับยานอวกาศระหว่างทางท่องจักรวาล แต่มนุษย์ก็ยังไม่อาจเดินทางหรือส่องกล้องดูได้มากกว่าส่วนแยกย่อยน้อยนิดของเอกภพ Are we alone in the Universe? คือคำถามที่ใหญ่ที่สุดของมนุษย์บนดาวเคราะห์โลก "No, we are not alone." คือคำตอบอันเป็นความเชื่อ ณ เวลานี้ หากว่า "เวลา" มีอยู่จริง! สมเกียรติ อ่อนวิมล 1 มกราคม 2568 2025
|
Vertical Divider
SOCRATES: Haven't you noticed that opinion without knowledge are shameful and ugly things? The best of them are blind - or do you think that those who express a true opinion without understanding are any different from blind people who happen to travel the right road? ●โสเครติส: ท่านไม่สังเกตหรือว่าความเห็นที่ขาดความรู้เป็นสิ่งน่าเกลียดน่าอับอาย? มันไม่มีอะไรดีไปกว่าความมืดบอด - หรือคิดอิกนัยหนึ่งได้ไหมว่า คนที่แสดงแม้ความเห็นที่แท้จริงแต่ไร้ซึ่งความเข้าใจนั้น จะต่างอะไรไปจากคนตาบอดที่บังเอิญเดินถูกทาง? [Plato's REPUBLC, Book VI 506c] สมเกียรติ อ่อนวิมล -แปล SOMKIAT ONWIMON, (b.1948-d.xxxx)
Park Hill High '67 (American Field Service International Scholarship), a Harvard-Yenching fellow, studied Political Science, International Relations, and South Asia Regional Studies at the University of Delhi (1968-73) and the University of Pennsylvania (1975-81). A political scientist, TV journalist, drafter of Thailand 1997 constitution, and a one-term senator, I am now living a tranquil life of reading, writing, and thinking, in rural Thailand . TAN ONWIMON
● Master of Music in Screen Scoring (Class of 2023): USC Thornton School of Music, LA ● Bachelor of Music in Film Scoring (2014-2017): Berklee College of Music, Boston. ● B.A. in Journalism / Film Studies (2008-2012): Thammasat University, Bangkok ● Walla Walla High School (2007l, WA, (American Field Service International Scholarship) (2007) ● Kasetsart University School, Bangkok (1996-2008) Tan Onwimon is a Los Angeles-based media composer from Bangkok. His music has been featured in the Hulu Original Series "Wu-Tang: An American Saga" Season 2-3; CNN Movie "Blue Carbon" (2024);THAI Airways Inflight video; Duck Academy (Documentary); an action video game based on Kyrgyzstan’s legend "Manas"; a medieval fiction podcast "Dragon's Rest", and many more. Tan recently collaborated with the Colorado Symphony in their 2023-24 Season by orchestrating music for the world premiere of RZA of Wu-Tang Clan’s “The Ballet Through Mud”. He also orchestrated music for “Portugal. The Man", featuring the Colorado Symphony in their sold-out concert at Red Rock Amphitheater in 2023. He assisted the Tony Award and Grammy Award Winner Casts of ‘Some Like It Hot’ in producing the Christmas Music for "Broadway’s Carol for a Cure" 2023 Album. Outside of media music, Tan also participates in Broadway, where he is currently assisting the upcoming Andrew Lloyd Webber’s Cats Revival to be performed at PAC New York in June and July, 2024. Also in June, 2024 Tan orchestrates the music for "Jelly's Last Jam" at Pasadena Playhouse. Tan lives in Los Angeles. Tan's Recent Works:
References: USC Class of 2023 Instagram @tanonwimon E-mail: [email protected] Website: http://www.tanonwimon.com YouTube: https://www.youtube.com/@TanMusic Vimeo: https://vimeo.com/tanonwimon IMDb: https://www.imdb.com/name/nm8830684/. ▶️ MORE ON TAN ONWIMON |
Vertical Divider
|
Vertical Divider
|
Vertical Divider
|
Vertical Divider
|
THAIVISION® is a personal website of Somkiat Onwimon of Thailand. All contents, unless otherwise stated, are SO's sole responsibility. Intellectual property rights are strictly observed under the Berne Convention (1886, 1914, 1979), the World Intellectual Property Organization Copyright Treaty (1996), and Thai laws. THAIVISION aims to serve the public in areas of SO's personal interest. Books and literatures are the main sources of enlightenment. World affairs, science, humanities, philosophy and culture are among leading subjects to be explored. Constructive engagement from readers are highly valued. THAIVISION is bi-lingual, ไทย and English. Somkiat Onwimon is the legal owner of THAIVISION and all copyrights therein, excluding other non-copyright and public domain materials. THAIVISION.com is registered with Network Solutions and hosted by Weebly.
©THAIVISION Header/logo background picture: Pak Chong sky 26 April 2019
©THAIVISION Header/logo background picture: Pak Chong sky 26 April 2019