On the Origin of Species by Means of Natural Selection
or the Preservation of Favoured Races in the Struggle for Life โดย Charles Darwin [Darwin, Charles, On the Origin of Species ( ชื่อเดิมเมื่อพิมพ์ครั้งแรก : On the Origin of Species by Means of Natural Selection or the Preservation of Favoured Races in the Struggle for Life - A Facsimile of the First Edition published in London by John Murray, 1859), Harvard University Press, Cambridge, U.S.A. and London, U.K., 2001, 513 หน้า, ISBN 0-674-63752-6] กำเนิดชีวิต เพื่อมิให้การเดินทางค้นหาประเทศไทยเร็วจนเกินไปจนไม่เห็นความสำคัญของชีวิต กว่าจะเกิดเป็นคนไทยในราชอาณาจักรไทย ต้องเกิดเป็นชีวิตในรูปแบบต่างๆก่อน ถือกำเนิด และวิวัฒนาการชีวิตไปอย่างช้าๆ โดยกระบวนการคัดสรรโดยธรรมชาติ ใครแข็งแรงก็อยู่รอดและพัฒนาพันธุ์ต่อไป นี่คือหลักการของชีวิตที่ Charles Darwin นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษเขียนเป็นทฤษฎีไว้ ส่วนที่เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์กลุ่มพันธุ์หรือสายพันธุ์ไทย ก็จะเป็นวิวัฒนาการทางการเมืองในยุคหลังต่อมา ซึ่งเรื่องหลังนี้เป็นหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์ไทย ”On the Origin of Species” โดย Charles Darwin มีชื่อเต็ม และยาวว่า “On the Origin of Species by Means of Natural Selection or the Preservation of Favoured Races in the Struggle for Life” เป็นหนังสือที่มนุษย์ทุกชาติพันธุ์ต้องอ่าน เป็นหนังสือสำคัญที่ต้องอ่านก่อนพระคัมภีร์ Bible ต้องอ่านก่อนพระไตรปิฎก และต้องอ่านก่อนพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน มนุษย์ต้องรู้ต้นกำเนิดของชีวิตตนเองก่อน แล้วจึงจะเลือกทางดำเนินชีวิตที่เหมาะสมและทรงคุณธรรม. หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1859 ผู้เขียนคือผู้บุกเบิกงานชีววิทยาและธรรมชาติวิทยา เป็นผู้บอกมนุษย์บนโลกว่า ชีวิตบนโลกกำเนิด เติบโต และเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมมาได้อย่างไร เป็นหนังสือที่ทุกคนในโลกต้องรู้จัก และมนุษย์ทุกคนควรอ่าน
On the Origin of Species ต้นกำเนิดสรรพชีวิตชนิดพันธุ์ต่างๆ เขียนโดย Charles Darwin หาก Charles Darwin ยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะคิดอย่างไรกับความผันแปรของมวลหมู่ชีวิตบนโลก ซึ่งอาศัยเทคโนโลยีชีวภาพ พันธุวิศวกรรมศาสตร์ การตัดแต่งองค์ประกอบทางพันธุกรรม เพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ มากมาย ภายในเวลาอันสั้นไม่กี่ปี หรือบางที บางที่ ก็ทำได้ภายในเวลาไม่กี่วัน ในช่วงชีวิตของ Charles Darwin การศึกษาสิ่งมีชีวิตบนโลก ทั้งพืช สัตว์ และ มนุษย์ ต้องอาศัยการทดลองภาคสนาม ในธรรมชาติจริง และต้องคอยกาลเวลาตามธรรมชาติไม่ว่าจะนานสักเท่าใด เป็นกระบวนเปลี่ยนแปลงรูปแบบพันธุกรรม Charles Darwin ต้องปลูกพันธุ์ไม้หลายแปลง หลากพันธุ์ ผสมเกสรข้ามพันธุ์ ข้ามดอก ข้ามแปลง แล้วคอยให้กาลเวลาและฤดูกาล หาคำตอบให้ นอกจากนั้น ท่านก็ต้องเดินทางไปในดินแดนห่างไกลเพื่อสังเกต ศึกษา เก็บข้อมูลความรู้มาเปรียบเทียบ เพื่อหาคำตอบว่าสิ่งมีชีวิตต่างๆ มีความเป็นมาอย่างไร ในปี ค.ศ.1831 Charles Darwin เดินทางไปกับเรือชื่อ HMS Beagle นาน 5 ปี เพื่อสำรวจธรรมชาติในอเมริกาใต้ โดยเฉพาะพืชและสัตว์บนหมู่เกาะ Galapagos แหล่งรวมธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ที่สุดของโลก ในประเทศ Ecuador หลังจากเดินทางกลับอังกฤษแล้ว Charles Darwin ศึกษาค้นคว้าต่อไปอีกนานถึง 23 ปี ท่านจึงยอมสรุปงานศึกษาค้นคว้าวิจัยธรรมชาติของท่าน เขียนออกมาเป็นหนังสือชื่อ “On the Origin of Species by Means of Natural Selection or the Preservation of Favoured Races in the Struggle for Life” หรือที่รู้จักกันในแบบชื่อย่อว่า “On the Origin of Species” หรือ "Origin of Species" จากชื่อก็จะเห็นว่าเป็นความพยายามที่จะศึกษา เพื่อทำความรู้จักกับต้นกำเนิดของชนิดและกลุ่มพันธุ์สิ่งมีชีวิตต่างๆบนโลกมนุษย์ ซึ่งการศึกษาค้นคว้าและทดลอง แต่เริ่มแรกจน Charles Darwin มีอายุถึง 50 ปี นั้นสรุปได้ว่า ธรรมชาติ และกาลเวลา จะปรับปรุงคัดสรรความหลากหลายทางชีวภาพ ให้เหลือพันธุ์ที่จะเหมาะสมที่สุดที่อยู่รอด และเติบโตต่อไป ดังชื่อหนังสือที่แปลความได้ว่า “ต้นกำเนิดของกลุ่มพันธุ์ชีวิต โดยกระบวนการคัดสรรของธรรมชาติ หรือการรักษากลุ่มพันธุ์ที่ธรรมชาติพอใจ ในการต่อสู้เพื่อชีวิต” อันเป็นที่มาของทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์มาตั้งชื่อกันภายหลังว่า “ทฤษฎีวิวัฒนาการ” หรือ “Theory of Evolution” หรือที่พูดเป็นวลีที่คุ้นเคยว่า “Survival of the Fittest” แปลว่า “ใครปรับตัวได้ดีก็อยู่รอด” “ใครดีใครอยู่” ชีวิตใดที่ปรับตัวเข้ากับสภาวะแวดล้อมของโลกได้ดีที่สุด ชีวิตนั้นก็ยั่งยืนอยู่กับโลกได้ อันที่จริงในหนังสือ “On the Origin of Species” นั้น Charles Darwin มิได้ใช้คำว่า “Evolution” หรือ “วิวัฒนาการ” มิได้ใช้วลี “Survival of the Fittest” เพื่อให้คำนิยาม หรือ อธิบายทฤษฎีของท่านเลย คำหลักที่ท่านใช้อธิบายวิวัฒนาการ คือ “Natural Selection” หมายถึงพลังคัดสรรของธรรมชาติ ซึ่งในที่สุดจักทำหน้าที่รักษาชีวิตที่เหมาะสมที่สุด มีพลังเข้มแข็งที่สุด ที่จะสามารถทนสภาวะแวดล้อมรุนแรงของทำธรรมชาติที่กดดันอยู่ตลอดเวลา ให้ดำรงชีวิต และเผ่าพันธุ์อยู่ได้ คำว่า “Bio-Diversity” หรือ “ความหลากหลายทางชีวภาพ” ที่ใช้กันมากในปัจจุบัน ในสมัยของ Charles Darwin ก็ยังไม่มีคำนี้ใช้ แต่ท่านใช้คำว่า “Variation” หมายถึงความผันแปรหลากหลายของสายพันธุ์แห่งมวลหมู่สรรพชีวิตตามธรรมชาติ ที่แวดล้อมไปด้วยแรงกดดันต่างๆกัน ซึ่งก็มีความหมายทำนองเดียวกันกับ “Bio-Diversity” คำว่า “Variation” หรือสายพันธุ์ที่หลากหลายในธรรมชาตินั้น เป็นความสำคัญพื้นฐาน เป็นผลพวงของวิวัฒนาการ “The Origin of Species” โดย Charles Darwin มีรวมทั้งสิ้น 14 บท 3 ใน 14 บท คือบทที่ 1 บทที่ 2 และ บทที่5 ให้รายละเอียดเรื่อง Variation หรือความแตกต่างหลากหลายของสายพันธุ์ อย่างละเอียดลึกซึ้ง เริ่มบทที่ 1 Variation Under Domestication ว่าด้วยเรื่องความหลากหลายของพันธุ์พืชและสัตว์ ที่มนุษย์ปลูกและเลี้ยงในครัวเรือน บทที่ 2 Variation Under Nature ว่าด้วยเรื่องพันธุ์พืชและสัตว์ที่เติบโตเองในธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ต้องต่อสู้เพื่อการอยู่รอดดังอธิบายใน บทที่ 3 Struggle for Existence การต่อสู้และอยู่รอดด้วยพลังของธรรมชาติในการคัดสรรชีวิต เหนือพลังความสามารถของมนุษย์ ที่แม้จะพยายามจะคัดสรรตัดแต่งแปลงพันธุ์เอาเอง ก็ไม่มีทางเอาชนะเหนือธรรมชาติได้ ดังปรากฏในบทที่ 4 ต่อไป บทที่ 4 Natural Selection หลังการคัดสรรโดยธรรมชาติแล้วจึงได้บทสรุปเป็นกฎแห่งความหลากหลายของชีวิตทั้งมวล บทที่ 5 Laws of Variation เป็นการอธิกายกฎเกณฑ์ของความหลากหลายของชีวิต จากนั้น Charles Darwin จึงต่อไปอธิบายปัญหาของทฤษฎีในครึ่งหลังของหนังสือ Charles Darwin กล่าวตอนหนึ่งว่า: “เมื่อเราดูพืชและสัตว์ที่ปลูกและเลี้ยงกันมาแต่เก่าก่อน แต่ละต้น แต่ละตัว ที่อยู่ในสายพันธุ์ หรือสายพันธุ์ย่อยกลุ่มเดียวกัน หนึ่งในสิ่งแรก ที่ทำให้น่าสนใจก็คือว่า มันแตกต่างกันมากในหมู่พวกกันเอง ยิ่งกว่าความแตกต่างระหว่างพืชและสัตว์ต่างสายพันธุ์กัน ที่เติบโตเองตามธรรมชาติ” ข้อสรุปนี้บอกชัดว่า ตัวแปรสำคัญของวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตนั้นคือ ธรรมชาติ โดย ธรรมชาติเอง และมนุษย์ที่เอาพืชมาปลูก เอาสัตว์มาเลี้ยง เป็นเพียงกระบวนการเปลี่ยนธรรมชาติของธรรมชาติให้มาอยู่ในกำกับของมนุษย์ เท่านั้น แต่ Charles Darwin ก็ยืนยันชัดเจนว่า มนุษย์สร้างชีวิตพันธุ์ใหม่โดยไม่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ และสายพันธุ์ดั้งเดิมไม่ได้ “มนุษย์มิได้เป็นผู้สร้างความหลากหลายของเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิต” Charles Darwin กล่าวในบทที่ 14 บทสรุปสุดท้ายของหนังสือที่เริ่มต้นวิชาธรรมชาติวิทยา และ ชีววิทยาของมนุษยชาติ ท่านเตือนถึงความจำกัดของมนุษย์ในการสร้างสัมพันธ์กับธรรมชาติว่า มนุษย์ : “เพียงแต่นำสิ่งมีชีวิตมาให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขใหม่ของชีวิต โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วปล่อยให้ธรรมชาติเป็นผู้จัดการ จนยังผลก่อเกิดเป็นความหลากหลายของสายพันธุ์ชีวิตใหม่ แต่ว่ามนุษย์สามารถเลือกสายพันธุ์ที่ธรรมชาติส่งมอบมาให้เลือกได้ สะสมเลี้ยงดูต่อไปตามประสงค์ แล้วปรับสัตว์และพืชใช้เพื่อผลประโยชน์หรือความพึงพอใจของมนุษย์เอง มนุษย์อาจทำอย่างเป็นระบบ หรืออาจทำโดยไม่รู้ตัว โดยเก็บรักษาพันธุ์ที่ให้ประโยชน์สูงสุดเอาไว้ ในตอนนั้น โดยไม่คิดจะไปปรับปรุงแก้ไขสายพันธุ์แต่ประการใด” ทำเพียงแต่เท่านี้ มนุษย์ก็มีส่วนในการแผ่อิทธิพลต่อวิวัฒนาการมากแล้วตามกาลเวลาที่ผ่านมา ตามหลักคิดของทฤษฎี “การคัดสรรโดยธรรมชาติ” หรือ “Natural Selection” ในหนังสือ “On the Origin of Species” ของ Charles Darwin ซึ่งอาจอนุโลมเรียกตามแบบสมัยใหม่ว่า “ทฤษฎีวิวัฒนาการ” หรือ “Evolution” ก็ได้นั้น สิ่งมีชีวิตทั้งปวงอาจจะเริ่มต้นกำเนิดเดียวกันครั้งที่โลกเกิดมาใหม่ๆ แต่ด้วยธรรมชาติ และอิทธิพลของมนุษย์ ที่วิวัฒนาการไปกับกาลเวลา โลกมนุษย์ปัจจุบันจึงอุดมไปด้วยรูปแบบชีวิต ที่หลากหลาย จนต้องแบ่งตามหลักวิชาชีววิทยา เป็น Phylum Class / ชั้น Order / ลำดับ Family / ตระกูล Genus / พันธุ์ Species / กลุ่มพันธุ์ Variety / สายพันธุ์ และ Sub-Species / กลุ่มพันธุ์ย่อย ดังที่อธิบายไว้ในบทที่ 1 ว่าด้วยเรื่องความหลายหลายของสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์เลี้ยงเอง ปลูกเองในครัวเรือน ในบทที่ 9 : “On the Imperfection of the Geological Record” ว่าด้วยเรื่องหลักฐานทางธรณีวิทยาที่ไม่สมบูรณ์ Charles Darwin กล่าวว่า : “สิ่งมีชีวิตกลุ่มพันธุ์เดียวกัน ล้วนเชื่อมโยงได้กับกลุ่มพันธุ์พ่อแม่ของแต่ละพันธุ์ โดยมีความแตกต่างไม่มากไปกว่าความแตกต่างที่เราเห็นได้ระหว่างสายพันธุ์ที่อยู่ในกลุ่มพันธุ์เดียวกันในปัจจุบัน และกลุ่มพันธุ์พ่อแม่เหล่านี้ แม้ปัจจุบันโดยทั่วไปจะสาบสูญไปหมดแล้ว ก็เชื่อมโยงกับกลุ่มพันธุ์บรรพบุรุษแต่โบราณเช่นกัน และเชื่อมโยงย้อนหลังต่อๆไปเช่นนี้ ไปสู่บรรพบุรุษเดียวกันของแต่ละชั้นเดียวกัน” หากชีวิตเป็นไปตามทฤษฎีของ Charles Darwin ดังที่ว่านี้ ปัญหาก็คือ ร่องรอยการเชื่อมต่อในแต่ละช่วงของวิวัฒนาการหายไปไหนหมด ทั้งที่ยังเป็นชีวิตอยู่ หรือที่ล้มตายไปแล้ว ทำไมจึงมองหาไม่พบเลย ที่ว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิง หากเป็นจริง ชีวิตแบบที่อยู่ระหว่างกลาง จากลิง มาเป็นมนุษย์ นั้น ทำไมจึงไม่มีให้เห็น ซากดึกดำบรรพ์ที่เป็นกลุ่มพันธุ์ระหว่างทาง ที่เชื่อมต่อระหว่างกลุ่มแรก กับกลุ่มที่สาม ซึ่งควรจะเป็นกลุ่มที่สอง หายไปไหนกันหมด นกพิราบพันธุ์หางพัด กับ พันธุ์คอพอง เกิดมาจากต้นสายพันธุ์นกพิราบป่าพันธุ์ นกพิราบหินพันธุ์เดียวกัน ทำไมจึงหานกพิราบที่หางเป็นพัดและคออวบพองด้วยไม่ได้ Charles Darwin อธิบายรอยเชื่อมต่อที่หายไป (The Missing Links) นี้ในบทที่ 9 -10-11 และ 12 ว่า หลักฐานทางธรณีวิทยาที่ควรจะมีอยู่ให้เห็นได้ถูกธรรมชาติและกาลเวลาอันยาวนานทำลายไปหมดสิ้น หรือหากยังเหลือก็ยังค้นหาไม่พบ โลกนี้กว้างเกินกว่าที่มนุษย์จะขุดค้นหาอดีตทุกตารางนิ้วได้ การค้นพบซากดึกดำบรรพ์ที่ค่อยๆค้นพบในโลกปัจจุบันโดยรวมจะเป็นการค้นพบโดยบังเอิญมากว่า นอกจากนั้น การกระจายถิ่นเติบโตของพืชและสัตว์ไปตามที่ต่างๆที่มีความหลากหลายและมีระยะทางห่างไกลกันจากถิ่นกำเนิดเดิมของกลุ่มพันธุ์พ่อแม่ จากน้ำสู่เขา จากบกสู่ทะเล จากมหาสมุทรสู่เกาะ ล้วนเป็นตัวแปรที่ทำให้การบันทึกหลักฐานทางธรณีวิทยาไม่สมบูรณ์ทั้งสิ้น เรื่องนี้ Charles Darwin ต้องอธิบายมากเป็นพิเศษ เพราะ ความสำเร็จของทฤษฎีการคัดสรรโดยธรรมชาติ อยู่ที่ความกระจ่างในเรื่องภาพต่อเนื่องจากอดีตที่แสนยาวนานดึกดำบรรพ์ มาถึงศตวรรษที่ 19 อันเป็นยุคของช่วงชีวิต Charles Darwin ยุคที่มนุษย์ยังเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงสร้างโลกสร้างมนุษย์ สร้างชีวิตทั้งปวง ทุกอย่างพระองค์สร้างเสร็จใน 7 วัน มาจนถึงปัจจุบันนี้ ศตวรรษที่ 21 มนุษย์กำลังทำ ทั้งผสมเทียม ทั้งปรุงแต่งดัดแปลงชีวิต และสร้างชีวิตใหม่ มนุษย์กำลังเริ่มไม่เชื่อในพระเจ้ากันมากขึ้นแล้ว มนุษย์กำลังจะกลายเป็นพระเจ้าเองแล้ว ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ Genome - แผนที่พันธุกรรมชีวิต GMO – การแปลงโครงสร้างของพันธุ์ชีวิต Cloning – การสร้างชีวิตใหม่เหมือนทำสำเนาแบบจากต้นกำเนิดชีวิตเดิม Charles Darwin มิอาจมีชีวิตอยู่ได้นานพอที่จะเห็นมนุษย์ในยุคปัจจุบันทำตัวเป็นพระผู้เป็นเจ้าเองได้ แต่ท่านก็กล่าวไว้เมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้วว่า ธรรมชาติเท่านั้นที่เป็นผู้สร้างชีวิตได้ ธรรมชาติสร้างแล้วคัดสรรชีวิตที่เหมาะสมให้อยู่รอดสืบสายพันธุ์ จรรโลงโลกต่อไป มนุษย์ทำได้เพียงเลือกปรับแต่งใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์ตามควรเท่านั้น Charles Darwin เสี่ยงมากที่พิมพ์เผยแพร่ The Origin of Species เพราะเป็นความรู้ใหม่ที่ขัดแย้งกับพระเจ้า และลดบทบาทของพระเจ้าไปเกือบสิ้น แต่มนุษย์ในโลกปัจจุบันกำลังเสี่ยงยิ่งกว่า Charles Darwin เพราะมนุษย์วันนี้กำลังทำตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง หมายเหตุ : หนังสือ “On the Oriigin of Species” ของ Charles Darwin เป็นหนังสือที่โด่งดังมากที่สุดในโลกที่มนุษย์ทุกคนต้องอ่าน จึงมีการพิมพ์หลายครั้งหลายรูปแบบ ตั้งแต่การพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1859 สำหรับเล่มที่ใช้อ้างอิงในบทความนี้เป็นการพิมพ์สำเนาเหมือนต้นฉบับเดิมในปี ค.ศ. 1859 ทุกประการ รวมทั้งปกเดิมที่ปรากฏในหน้า iii งานทั้งหมดของ Charles Darwin รวบรวมไว้ให้คนทั้งโลกได้อ่านและใช้ประโยชน์ โดยมหาวิทยาลัยของ Charles Darwin คือ Cambridge University ที่ Darwin Online |