THAIVISION
  • REFLECTION
  • ON PLANET EARTH
    • EARTH
  • AND BEYOND
  • THAILAND
    • KING BHUMIBOL
    • NATIONAL PARKS OF THAILAND >
      • KHAO YAI NATIONAL PARK
      • PHA TAEM NATIONAL PARK
      • PHU WIANG NATIONAL PARK
      • NAM NAO NATIONAL PARK
      • PHU HIN RONG KLA NATIONAL PARK
      • PHU KRADUENG NATIONAL PARK
      • PHU RUEA NATIONAL PARK
      • MAE YOM NATIONAL PARK
      • DOI SUTHEP-PUI NATIONAL PARK
      • DOI INTHANON NATIONAL PARK
      • THONG PHA PHUM NATIONAL PARK
      • KAENG KRACHAN NATIONAL PARK
      • MU KO ANG THONG NATIONAL PARK
      • MU KO SURIN NATIONAL PARK
      • MU KO SIMILAN NATIONAL PARK
      • HAT NOPPHARATA THARA - MU KO PHI PHI NATIONAL PARK
      • MU KO LANTA NATIONAL PARK
      • TARUTAO NATIONAL PARK
  • THE LIBRARY
    • MORNING WORLD BOOKS >
      • CASINO ROYALE
      • 1984
      • A BRIEF HISTORY OF TIME
      • A HISTORY OF THAILAND
      • CONSTITUTION OF THE UNITED STATES
    • DEMOCRACY IN AMERICA
    • FIRST DEMOCRACY
    • JOHN MUIR
    • MODELS OF DEMOCRACY
    • MULAN
    • THE VOYAGE OF THE BEAGLE
    • ON THE ORIGIN OF SPECIES
    • PHOOLAN DEVI
    • THE REPUBLIC
    • UTOPIA
    • A Short History of the World [H.G.Wells]
    • WOMEN OF ARGENTINA
    • THE EARTH : A Very Short Introduction
    • THE ENGLISH GOVERNESS AT THE SIAMESE COURT
    • TIMAEUAS AND CRITIAS : THE ATLANTIS DIALOGUE
    • HARRY POTTER
    • DEMOCRACY / HAROLD PINTER
    • MAGNA CARTA
    • DEMOCRACY : A Very Short Introduction
    • DEMOCRACY / Anthony Arblaster]
    • DEMOCRACY / H.G. Wells
    • ON DEMOCRACY / Robert A. Dahl)
    • STRONG DEMOCRACY
    • THE CRUCIBLE
    • THE ELEMENTS OF STYLE
    • THE ELEMENTS OF JOURNALISM | JOURNALISM: A Very Short Introduction
    • LOVE
    • THE EMPEROR'S NEW CLOTHES
    • THE SOUND OF MUSIC
    • STRONGER TOGETHER
    • ANIMAL FARM
    • POLITICS AND THE ENGLISH LANGUAGE
    • GEORGE ORWELL
    • HENRY DAVID THOREAU >
      • WALDEN
    • MAHATMA GANDHI
    • THE INTERNATIONAL ATLAS OF LUNAR EXPLORATION
    • พระมหาชนก
    • ติโต
    • นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ | A Man Called Intrepid
    • แม่เล่าให้ฟัง
    • SUFFICIENCY ECONOMY
    • พระเจ้าอยู่หัว กับ เศรษฐกิจพอเพียง
    • KING BHUMIBOL AND MICHAEL TODD
    • ... คือคึกฤทธิ์
    • KING BHUMIBOL ADULYADEJ: A Life's Work
    • THE KING OF THAILAND IN WORLD FOCUS
    • พระราชดำรัสเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ
  • IN MY OPINION
  • THAIVISION
  • SOMKIAT ONWIMON
    • MY STORY
    • THE DISSERTATION
    • THE WORKS >
      • BROADCAST NEWS & DOCUMENTARIES
      • SPIRIT OF AMERICA
      • THE ASEAN STORY
      • NATIONAL PARKS OF THAILAND
      • HEARTLIGHT: HOPE FOR AUTISTIC CHILDREN IN THAILAND
    • KIAT&TAN >
      • TAN ONWIMON >
        • THE INTERVIEW


​MY STORY

​O N C E   U P O N   M Y   T I M E

Picture
Picture

⬇️

Picture
เ รื่ อ ง ข อ ง ผ ม
MY STORY | SOMKIAT ONWIMON
ส ม เ กี ย ร ติ  อ่ อ น วิ ม ล
ค น สุ พ ร ร ณ ฯ  บ้ า น ส า ม ชุ ก 
​
ผมเกิดมาในครอบครัวที่มีความหลากหลายและผันผวนทั้งในชีวิตสังคมและเศรษฐกิจ ช่วงที่ยังจำความไม่ได้ พ่อเปิดร้านถ่ายรูปในตลาดอำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี มาจำความได้ก็ตอนที่เริ่มเดินได้ในวัยเด็กเล็กๆ พ่อขายร้านถ่ายรูปไปแล้ว ย้ายไปทำท่าถ่านริมน้ำติดด้านเหนือของตลาด เริ่มเรียนหนังสือชั้นอนุบาลและประถมศึกษาก็ตอนที่พ่อแม่และพี่สาวขายถ่านและล่องเรือเดินแม่น้ำท่าจีน (คนสุพรรณตั้งชื่อใหม่เป็น "แม่น้ำสุพรรณฯ") จำได้แม่ยำตอนที่ถูกหมาบ้ากัดต้องไปฉีดยารอบสะดือทุกวันจนครบ 12 เข็ม หรือกี่เข็มก็ไม่แน่ใจ แต่จำได้ว่าซ้อนจักรยานไปให้หมอฉีดยารอบสะดืออยู่หลายวัน ที่จำได้แม่นอีกอย่างก็คือตอนที่โรงสีข้างบ้านเขาติดตั้ง"โทรภาพ"เครื่องแรกของตลาด ผมวิ่งไปดูเห็นเสาอากาศสูงๆ ส่วนภาพ "โทรภาพ" บนจอเห็นแต่จุดๆสีขาวๆดำๆพร่าๆมัวๆเป็นแบบที่ตอนต่อมาเขาเรียกกันว่าเหมือนหิมะตก ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหิมะมันคืออะไร ฟังดูชื่อออกจะหยาบโลนอยู่ ตอนหลังที่เคยเรียกว่า "โทรภาพ" เขาก็เรียกใหม่ว่า "โทรทัศน์" ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเรียกให้มันยากไปทำไม เรียก "โทรภาพ" ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นภาพที่ไม่ชัด หลังจากนั้นผมก็มิได้สนใจวิ่งไปดูโทรภาพอีกเลย ที่บ้านก็ไม่มีไฟฟ้า ใช้ตะเกียงเจ้าพายุ ตะเกียงโป๊ะ กับตะเกียงรั้ว เป็นหลัก เมื่อไม่สนใจโทรทัศน์ผมก็เลือกไปดูหนังขายยาที่มักจะมาฉายบ่อยๆที่สนามข้างตลาด บางทีก็ดูหนังในวิก หรือโรงหนังประจำตลาด ไปดูลิเก ดูดนตรีลูกทุ่งตามงานวัดบ่อย ดูงิ้วทุกปีที่ชาวตลาดจัดมาให้ดูฟรีๆ วิทยุก็ฟังประจำ ทั้งข่าว และละคร แต่ผมจะชอบนิทานที่เล่าทางวิทยุมากเป็นพิเศษ ผมชอบนิทานคณะ ฉลาด เค้ามูลคดี ส่วนพี่สาวชอบฟังละคร คณะแก้วฟ้า 

ต่อมาพ่อกับแม่ขายที่ขายกิจการท่าถ่านเอาเงินไปใช้หนี้ใครก็ไม่รู้ แล้วย้ายออกมาซื้อที่นาราวสิบไร่หลังตลาด พ่อทำนาปลูกพืชสวน แม่ทำขนมหาบเร่ขายในตลาด ผมเองก็ช่วยงานบ้านอย่างเต็มที่เพราะเป็นลูกชายวัยรุ่นที่อยู่ในวัยแข็งแรงทำงานได้สบายๆ แถมหาบขนมไปนั่งขายในตลาดทุกเช้าก่อนไปโรงเรียนอีกต่างหากย้ายโรงเรียนจากระดับประถมศึกษาไปเรียนระดับมัธยมฯที่โรงเรียนในวัดหลังตลาด เรียนจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่ากับชั้น ม. 4 ในปัจจุบัน แล้วจึงออกจากบ้าน มุ่งสู่กรุงเทพมหานคร ตอนที่บ้านยังคงไม่มีไฟฟ้าใช้อยู่ เข้ากรุงแล้ว เห็นไฟฟ้า แสงสี และชีวิตแปลกๆก็อดคิดถึงบ้านไม่ได้ ปิดเทอมเมื่อไรเป็น กลับสามชุกทันที ... เข้ากรุง...แล้ว...ชีวิตก็ดำเนินต่อไป. . . . . . . . . . . 
. . . . . .The rest is personal history . . . . . . . . . . . . . .


Vertical Divider
Pictureดช.สมเกียรติ อ่อนวิมล
 I
​ชีวิตสับสนตั้งแต่เกิด 
​

ที่จริงแล้วประเพณีครอบครัวผมที่ สามชุก ไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันเกิด ไม่จัดงาน ไม่อวยพร ถือเป็นวันธรรมดาในชีวิตชาวบ้านทั่วไปเหมือนทุกวัน ผมจึงไม่ได้ให้ความสำคัญต่อวันเกิดตนเอง แต่ก็มีเรื่องสำคัญส่วนตัวค้างคาใจอยู่เรื่องหนึ่ง คือเรื่องวันเกิดของตัวผมเองนั้น หาหลักฐานชัดเจนแน่นอนทางหนึ่งทางเดียวไม่ได้ พ่อกับพี่สาวก็จดไว้คลาดเคลื่อน โดยจดไว้ตามปฏิทินจันทรคติ ขึ้น-แรม ไม่ใช้วันที่ตามปฏิทิน Gregorian หรือปฏิทินสากลที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ผมเอาปฏิทิน 100 ปี มาเทียบดูแล้วก็ยิ่งสับสนอลเวง ไม่ตรงกัน และตามค้นหาความจริงไม่ได้
เมื่อไม่เห็นความสำคัญของวันเกิดเป็นประเพณีเดิมของชาวบ้านอยู่แล้ว จึงปล่อยเลยไป ไม่คิดอะไรให้วุ่นวายกับเรื่องที่ไม่มีสาระสำคัญ เกิดวันไหนก็ว่าตามทะเบียนบ้านและบัตรประชาชน 

ดูเอกสารเก่าที่พ่อผม (นายอุย อ่อนวิมล) บอกให้พี่สาวผมบันทึกไว้เป็นลายมือของพี่สาวของผมเอง (ป้าเทพ อ่อนวิมล หรือที่รู้จักกันแพร่หลายในชื่อ "หมี่กรอบป้าเทพ" แห่งตลาดสามชุก สุพรรณบุรี)
จากบันทึกของพ่อ-โดยพี่สาวเป็นผู้บันทึก-ตามที่พ่อบอก ผมเกิด ปีฉลู เดือน 6 วันศุกร์ ขึ้น 4 ค่ำ และในสมุดบันทึกของพี่สาว ก็เขียนกำกับว่า ... ผมเกิด วันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2491 พอไปตรวจดูปฏิทิน 100 ปีแล้ว พบว่า ปีฉลู เดือน 6 วันศุกร์ ขึ้น 4 ค่ำ ไม่มี! ที่ใกล้เคียงที่สุดคือ ปีฉลู เดือน 6 วันศุกร์ ขึ้น 3 ค่ำ ตรงกับ วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2492 แต่ถ้าจะถือเอา วันที่ 2 เมษายน 2492 เป็นหลัก ก็จะตรงกับ ปีฉลู เดือน 5 ขึ้น 5 ค่ำ วันเสาร์ ซึ่งก็จะคลาดเคลื่อนไปมากจาก ปีฉลู เดือน 6 วันศุกร์ ขึ้น 4 ค่ำ  แถมจะทำให้ผมแก่ไปอีกหนึ่งปี แบบแก่นี้ผมไม่เอาดีกว่า ผมเองคิดว่าต้องยึดบันทึกของพ่อลายมือพี่สาวเป็นหลัก คือผมจำจะต้องเกิด ปีฉลู เดือน 6 วันศุกร์ แต่ไม่ใช่ขึ้น 4 ค่ำ ที่บันทึกไว้ว่า “ขึ้น 4 ค่ำ” นั้น ผมต้องลงความเห็นว่าผิด ผมคิดว่า “ขึ้น 3 ค่ำ” น่าจะถูกต้องกว่า เพราะยกให้เป็นเป็นความคลาดเคลื่อนเพียงค่ำเดียว เมื่อ ปีฉลู เดือน 6 วันศุกร์ ขึ้น 3 ค่ำ ตรงกับวันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2492 ตอนบันทึกเลขวันที่เป็น 2 เมษายน ก็อาจเพียงแค่ตกเลข 9 ไปตัวหนึ่งเท่านั้นเอง แทนที่ผมจะเกิดวันที่ 29 เมษายน ก็กลายเป็น วันที่ 2 เมษายน แทนที่จะเป็นปี พ.ศ. 2492  ก็กลายเป็นปี 2491 ไป ทำให้ผมแก่เกินวันเกิดที่ผมเชื่อว่าเป็นวันเกิดจริงไป หนึ่งปี เวลาใครทักผมว่า “อาจารย์ยังดูไม่แก่เลย” ผมก็มักจะมีอาการเหม่อลอยย้อนอดีตไปปฏิทิน 100 ทุกครั้งไป 
​
ไม่อยากอธิบาย เพราะเรื่องมันยาวดังที่อธิบายมาในวันนี้
อย่างไรก็ตาม วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2491 กลายมาเป็นวันเกิดอย่างเป็นทางการในบัตรประชาชนของผมมาจนทุกวันนี้ ผมไม่เคยเห็นสูติบัตรของผมเลย จึงยึดบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านเป็นหลัก
แต่วันเกิดที่แท้จริงของผมนั้น ไม่อาจพิสูจน์ทราบได้ และผมก็เห็นว่าไม่สำคัญอะไรนัก เพราะไหนๆก็เกิดมาแล้ว ใช้ชีวิตให้เหมาะควรพอเพียงก็แล้วกัน หมอดูคนไหนที่มาทำนายดวงชะตาผม ก็เอาฐานข้อมูลวันเกิดผมไปคำนวนแบบผิดๆ หมอดูหรือโหราจารย์คนไหนในโลกก็ทำนายดวงชะตาผมไม่ได้ ผมจึงไม่เคยเชื่อหมอดูหรือโหราจารย์คนไหนในโลกนี้

สรุปก็ได้ว่าผมคงเกิดเมื่อ วันที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2492 ตรงกับ ปีฉลู เดือน 6 วันศุกร์ ขึ้น 3 ค่ำ แต่ในบัตรประชาชน กลายเป็นว่าผมมาเกิด วันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2491 ตรงกับ ปีชวด เดือน 4 วันศุกร์ แรม 9 ค่ำ


Picture
คลองชลประทาน หลังตลาดสามชุก
Picture
ที่ดิน-ที่นา ของครอบครัวพ่ออุย-แม่แม้น อ่อนวิมล


Picture
บ้านเก่าติดคลองชลประทานหลังตลาดสามชุก

                                                          
​II
เท่าที่จำได้ในวัย 75

​
ผมเกิดมาในครอบครัวที่มีความหลากหลายและผันผวนทั้งในชีวิตสังคมและเศรษฐกิจ ช่วงที่ยังจำความไม่ได้ พ่อเปิดร้านถ่ายรูปในตลาดอำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี มาจำความได้ก็ตอนที่เริ่มเดินได้ในวัยเด็กเล็กๆ พ่อขายร้านถ่ายรูปไปแล้ว ย้ายไปทำท่าถ่านริมน้ำติดด้านเหนือของตลาด เริ่มเรียนหนังสือชั้นอนุบาลและประถมศึกษาก็ตอนที่พ่อแม่และพี่สาวขายถ่านและล่องเรือเดินแม่น้ำท่าจีน (คนสุพรรณตั้งชื่อใหม่เป็น "แม่น้ำสุพรรณฯ") จำได้แม่ยำตอนที่ถูกหมาบ้ากัดต้องไปฉีดยารอบสะดือทุกวันจนครบ 12 เข็ม หรือกี่เข็มก็ไม่แน่ใจ แต่จำได้ว่าซ้อนจักรยานไปให้หมอฉีดยารอบสะดืออยู่หลายวัน ที่จำได้แม่นอีกอย่างก็คือตอนที่โรงสีข้างบ้านเขาติดตั้ง"โทรภาพ"เครื่องแรกของตลาด ผมวิ่งไปดูเห็นเสาอากาศสูงๆ ส่วนภาพ "โทรภาพ" บนจอเห็นแต่จุดๆสีขาวๆดำๆพร่าๆมัวๆเป็นแบบที่ตอนต่อมาเขาเรียกกันว่าเหมือนหิมะตก ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหิมะมันคืออะไร ฟังดูชื่อออกจะหยาบโลนอยู่ ตอนหลังที่เคยเรียกว่า "โทรภาพ" เขาก็เรียกใหม่ว่า "โทรทัศน์" ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะเรียกให้มันยากไปทำไม เรียก "โทรภาพ" ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นภาพที่ไม่ชัด หลังจากนั้นผมก็มิได้สนใจวิ่งไปดูโทรภาพอีกเลย ที่บ้านก็ไม่มีไฟฟ้า ใช้ตะเกียงเจ้าพายุ ตะเกียงโป๊ะ กับตะเกียงรั้ว เป็นหลัก เมื่อไม่สนใจโทรทัศน์ผมก็เลือกไปดูหนังขายยาที่มักจะมาฉายบ่อยๆที่สนามข้างตลาด บางทีก็ดูหนังในวิก หรือโรงหนังประจำตลาด ไปดูลิเก ดูดนตรีลูกทุ่งตามงานวัดบ่อย ดูงิ้วทุกปีที่ชาวตลาดจัดมาให้ดูฟรีๆ วิทยุก็ฟังประจำ ทั้งข่าว และละคร แต่ผมจะชอบนิทานที่เล่าทางวิทยุมากเป็นพิเศษ ผมชอบนิทานคณะ ฉลาด เค้ามูลคดี ส่วนพี่สาวชอบฟังละคร คณะแก้วฟ้า 

ต่อมาพ่อกับแม่ขายที่
ขายกิจการท่าถ่านเอาเงินไปใช้หนี้ใครก็ไม่รู้ แล้วย้ายออกมาซื้อที่นาราวสิบไร่หลังตลาด พ่อทำนาปลูกพืชสวน แม่ทำขนมหาบเร่ขายในตลาด ผมเองก็ช่วยงานบ้านอย่างเต็มที่เพราะเป็นลูกชายวัยรุ่นที่อยู่ในวัยแข็งแรงทำงานได้สบายๆ แถมหาบขนมไปนั่งขายในตลาดทุกเช้าก่อนไปโรงเรียนอีกต่างหากย้ายโรงเรียนจากระดับประถมศึกษาไปเรียนระดับมัธยมฯที่โรงเรียนในวัดหลังตลาด เรียนจนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 หรือเทียบเท่ากับชั้น ม. 4 ในปัจจุบัน แล้วจึงออกจากบ้าน มุ่งสู่กรุงเทพมหานคร ตอนที่บ้านยังคงไม่มีไฟฟ้าใช้อยู่ เข้ากรุงแล้ว เห็นไฟฟ้า แสงสี และชีวิตแปลกๆก็อดคิดถึงบ้านไม่ได้ ปิดเทอมเมื่อไรเป็นกลับสามชุกทันที ... เข้ากรุงแล้ว...ชีวิตก็ดำเนินต่อไป
.... The rest is history .....
                                               
​
III
ลูกชาวนา เลิกทำนา


ในวัยเด็กที่บ้านผมมีที่ดินประมาณ 10 ไร่ ใช้ทำนา 7 ไร่ ที่เหลือ 3 ไร่เป็นที่อยู่อาศัย ปลูกบ้านและพืชผักสวนครัว ทำแปลงปลูกผักตามฤดูกาล ขุดสระน้ำและคูส่งน้ำเข้านา เลี้ยงปลา และเป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้ในบ้าน โชคดีที่บ้านอยู่ห่างจากคลองชลประทานเพียง 400 เมตร จึงไม่ลำบากที่จะเดินไปหาบน้ำจากคลองมาใส่โอ่งแล้วกวนสารส้มเก็บน้ำสะอาดไว้กินไว้ใช้อย่างสะดวกอีกส่วนหนึ่ง รวมกับน้ำฝนที่เก็บใส่โอ่งดินอีกสองสามโอ่ง เท่านี้ชีวิตก็พออยู่ได้ แต่ก็พบว่าทำนาเพียง 7 ไร่ เลี้ยงลูก 10 คนจะไม่ไปได้ถึงไหนนักหนา พี่ๆที่โตแล้วไม่มีใครมีโอกาสเรียนหนังสือกันเกินมัธยมต้น พี่สาวแต่งงานแยกครอบครัวไปอยู่ต่างจังหวัดกันสองคน พี่ชายเร่ร่อนไปหากินที่โคราชเป็นนักพากย์หนังสายอีสานอีกสองคน อีกคนไปเป็นช่างฟิตอยู่เมืองชลฯ 

ส่วนตัวผมเข้าสู่วัยรุ่นตอนต้น ช่วงเรียน ม.1 (เทียบเท่า ป.5 ปัจจุบัน) เป็นต้นไป ผมเป็นแรงงานหลักคนหนึ่งในบ้าน ขุดดิน-ถากหญ้า-ทำนา-ไถคราด-ดำนา-เกี่ยวข้าว-ฟาดข้าว-โบกข้าว-ยาขี้ควายทำลานตากข้าว-โกยข้าว-หาบข้าว สารพัดงานทำนาที่เด็กพอช่วยผู้ใหญ่ทำได้ และที่ผมชอบมากที่สุดคืองานเผาซังข้าวในนาที่เกี่ยวข้าวแล้ว เป็นเรื่องสนุกสนานมากโดยไม่รู้ว่าการเผาซังข้าวในนาเป็นผลเสียทำลายฮิวมัสในดิน 

บ้านเดิมที่รื้อไปแล้ว ขายที่ดินส่วนหนึ่งไป


การทำนานั้นแม้จะเหนื่อยแต่ก็สนุกคึกคักที่ญาติพี่น้องและเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงจะมาช่วยกัน “ลงแขก” ทำนากันตั้งแต่ต้นจนจบฤดูทำนา แต่รายได้จากการทำนาก็ไม่พอที่จะเลี้ยงครอบครัว พ่อเป็นคนกำกับดูแลงานทำนาทั้งหมด เมื่อเห็นการทำนาข้าวทำท่าจะไม่ค่อยดี บางปีก็เปลี่ยนไปทำนาแห้ว แล้วก็หวนกลับมาทำนาข้าวอีกสลับกันไป แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรดีกว่าเดิม พ่อจึงเสริมอาชีพด้วยการปลูกพืชผักผลไม้อย่างอื่นเท่าที่จะลองทำดูได้ 

ส่วนแม่ก็ทำขนมหาบเร่ขายในตลาด หาเช้ากินค่ำ ทำขนมถ้วย ไข่เหี้ย ขนมห่อต่างๆ เช่นขนมตาล ขนมกล้วย ขนมใส่ไส้ บางครั้งก็ทำกล้วยแขก-กล้วยทอด-ข้าวเม่าทอด บ้าบิ่น ข้าวเหนียวกลอย ข้าวเหนียวหน้ากุ้ง-สังขยา-ปลาแห้ง ข้าวหลาม ขนมจีน สารพันขนม แม่สลับทำขนมขายตามแต่ว่าอะไรจะขายดีขายไม่ดี ตามอารมณ์ของคนกินขนมที่ตลาดสามชุก สุพรรณบุรี ผมเองก็เป็นแรงงานประเภทไร้ทักษะ ทำหน้าที่โม่แป้ง ปอกมะพร้าว ขูดมะพร้าว คั้นกะทิ และหาบขนมไปนั่งขายในตลาดจนได้เวลาไปโรงเรียน ในช่วงปีหลัง พ.ศ.2500 รายรับเป็นเงินสดจากการขายขนมวันละ 50-60 บาท ก็พอมีกำไรช่วยค่ากับข้าวในบ้านได้ ส่วนรายได้จากการทำนาก็พอมีเหลือไว้ซื้อพันธุ์ข้าวปลูก ซื้อยาฆ่าเพลี้ยฆ่าแมลง และพอเหลือเป็นค่าทดลองวิทยาการใหม่ๆ พ่อทดลองปลูกพืชพันธุ์ใหม่ๆที่พ่อได้ยินข่าวน่าสนใจจากกรุงเทพและจาก”นิตยสารกสิกร” ที่พ่อยังคงรับอ่านเป็นประจำ พุทราจีน ทุเรียน ลำใย และแอ๊ปเปิ้ลของพวกฝรั่ง ฝรั่งพันธุ์ลูกใหญ่ พ่อก็ลองปลูกโดยผมเป็นมือผสมและฉีดยาฆ่าแมลง แต่ก็ล้มเหลว พี่สาวผมก็เสริมรายได้ด้วยการเข็นรถขายถ่าน หลังจากที่เคยทำท่าถ่านริมน้ำทั้งที่สามชุกและศรีประจันต์มาพักใหญ่ ​

ดังนั้นโดยภาพรวมที่บ้านผมก็พออยู่กันไปได้ พี่สาวพอมีเงินเหลือซื้อนิตยสารสกุลไทย และเดลิเมล์วันจันทร์อ่านได้ไม่ขาดตอน แต่โอกาสที่ผมหรือพี่ๆและน้องๆจะได้มีโอกาสเรียนหนังสือสูงๆดูริบหรี่เต็มทน 

ในวัยเด็กผมเห็นชัดแล้วว่าอาชีพทำนาอย่างเดียวบนที่นา 7  ไร่จะไปไม่ถึงไหนแน่ 
โดยเฉพาะตัวผม ถ้าผมอยากจะไปถึงไหนๆกับเขาบ้าง

ครอบครัวผมไม่ได้ยากจนข้นแค้นอะไร
 พอมีพอกินมีข้าวและพืชผักผลไม้ขนมกินอุดมสมบูรณ์ หากจะกินข้าวจากนาของตัวเองก็ตำเก็บไว้กินได้ แต่ส่วนใหญ่ซื้อขาวสารจากตลาดสะดวกกว่า อาหารจำเป็นที่ต้องซื้อกินก็คือเนื้อหมูเนื้อวัวและไก่ ส่วนปลานั้นผมหาเอาจากลำคลองและในนาได้เสมอ แต่ชีวิตแบบนี้ก็มองไม่เห็นว่าจะมีอนาคตอะไรนักสำหรับลูกๆรวมทั้งตัวผมด้วย. ⤴︎

Vertical Divider
ผมจึงคิดว่าจะต้องเรียนหนังสือให้มากๆ เรียนให้เก่งๆ จะได้เข้ากรุงเทพฯไปเรียนต่อให้สูงขึ้น 

เมื่อรู้ดีแล้วว่าทำนาไม่ได้ผล ในที่สุดเราก็เลิกทำนา พี่ๆที่แยกครอบครัวไปและที่ย้ายไปหากินต่างจังหวัดก็ช่วยกันส่งน้องๆที่เหลือให้เรียนหนังสือ ผมจึงเป็นลูกคนแรกที่เข้ากรุงเทพฯไปเรียนต่อที่วิทยาลัยครูจันทรเกษม จนจบได้ประกาศนีบัตรวิชาการศึกษาตอนต้น ที่เรียกว่า ป.กศ.(ต้น) (เทียบเท่า ม.6) ผมสามารถเรียนได้จนจบด้วยการส่งเสียของพี่ชายและพี่สาวสุดแต่ว่าใครจะพอมีเงินช่วยผม - ตามฤดูกาลเช่นกัน - พ่อเองก็หันหน้าเข้าช่วยงานวัด และปั้นพระพุทธรูป ทำพระเครื่องดินเผาพิมพ์ “ผงสุพรรณบ้านสามชุก” บริจาคตามวัดที่ห่างไกลความเจริญ ผมก็เป็นลูกมือพ่อ ช่วยตำดินให้พ่อปั้นพระด้วยอีกแรงหนึ่ง 

เมื่อพ่อตายเราก็เลิกทำนาเด็ดขาด และหลังแม่ตายที่ดิน 10 ไร่ที่มีอยู่ก็แบ่งขายเอาเงินใช้หนี้ แล้วกันไว้ให้พี่สาวและน้องที่ไม่แต่งงานได้ปลูกบ้านอยู่ต่อมาจนทุกวันนี้ ที่เหลือแบ่งกันในหมู่ลูกๆทั้งหมด 10 คน บางคนก็ขายต่อให้คนอื่น ตัวผมได้มา 100 ตารางวาเศษ และซื้อจากพี่อีกแปลง ทำให้ผมนึกถึงพ่อแม่สมัยทำนาได้ทุกครั้งที่ผมนึกถึงที่ครึ่งไร่ที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้เป็นเครื่องเตือนใจว่า: 

“ทำนาอย่างเดียว” ไม่รอดแน่ 

บ้านผมเลิกทำนานานมากแล้ว ผมกับน้องอีกสองคนได้เรียนหนังสือจนจบ ได้ปริญญาตรีและปริญญาโทกัน น้องชายผมจบวิทยาลัยพลศึกษา เป็นอาจารย์สอนโรงเรียนเทพศิรินทร์ เป็นผู้ฝึกสอนทีมฟุตบอลเทพศิรินทร์อยู่ช่วงหนึ่ง และเป็นผู้ตัดสินฟุตบอลมาตรฐานฟีฟ่า แล้วออกมาเป็นผู้พากย์กีฬาทางโทรทัศน์ โดยหลัก เป็นผู้พากย์มวยให้กับค่ายเฮียทรงชัย รัตนสุบรรณ ในยุคแรกๆ และต่อมาทั้งน้องชายและหลานชายก็ทำงานเป็นผู้พากย์กีฬาในค่าย Siam Sport น้องสาวคนสุดท้องจบวิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยาเป็นครูสอนในโรงเรียนที่ผมเคยเรียนจนเพิ่งจะเกษียณอายุราชการปี 2557 นี้เอง 

ส่วนตัวผมก็มุ่งมั่นขยันเรียนหนังสือเพื่อหนีการทำนา และหนีงานขูดมะพร้าว-คั้นกะทิ-หาบขนมขาย จนผมเรียนเก่งพอสอบชิงทุนได้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมอเมริกันฟิลด์เซอร์วิส (American Field Service - AFS) ได้ไปเรียนชั้นมัธยมปลายหนึ่งปีที่สหรัฐอเมริกา แล้วกลับมาสอบเอ็นทร๊านซ์เข้าเรียนได้ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่จำใจลาออกไปเพราะได้ทุนจากรัฐบาลอินเดีย ไปเรียนจบปริญญาตรีและโท สาขารัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเดลฮี  จากนั้นก็ได้ทุนจากสถาบัน Harvard - Yenching Institute, Harvard University ไปเรียนจนได้ปริญญาเอกที่ University of Pennsylvania ผมสอนหนังสือที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ 14 ปี แล้วลาออกมาเป็นนักข่าวและผู้ผลิตรายการข่าวและสารคดีโทรทัศน์ และทำรายการวิทยุคู่ขนานกันไปเป็นเวลาเกือบ 20 ปี

ผมออกจากงานสื่อสารมวลชนไปสมัครและได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญจากจังหวัดสุพรรณบุรี ช่วยร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 อยู่ 8 เดือน  ต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาจากสุพรรณบุรีอีก 6 ปีเศษ แล้วได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติอีกปีหนึ่ง จากนั้นก็เร่ร่อนรับจ้างทำงานตามสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆรวม 8 ช่อง ล่าสุด ปีเศษที่ผ่านมาผมปฏิเสธคำชักชวนให้ร่วมงานกับสถานีโทรทัศน์ระบบดิจิตอลที่เปิดใหม่อีก 3 ช่อง และปฏิเสธคำขอจากองค์กรทางวัฒนธรรมแห่งหนึ่งที่ขอเสนอชื่อผมเข้าแข่งขันคัดเลือกเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ

ในวัย 75 ผมนั่งดูความล้มเหลวของอาชีพทำนามาอย่างเกาะติดอดีตตัวเอง

อาชีพสื่อสารมวลชนทำให้ผมพอมีรายได้กลับไปซื้อที่นาที่สามชุกบ้านเกิดได้ 10 ไร่ และให้ชาวนาตัวจริงเช่าทำนาและอยู่อาศัยจนผมมีรายได้ปีละ 3,000-4,000 บาท 

ที่อำเภอเดิมบางนางบวช ผมซื้อดินริมน้ำไว้ 7 ไร่ ปล่อยทิ้งให้ต้นไม้ขึ้นจนรกแน่นไม่ได้ทำประโยชน์ทางเศรษฐกิจอะไร มีมะม่วง มะปราง มะไฟ ละมุด กล้วย มะพร้าว กระท้อน ประดู่ ตะแบก ตะโก สะเดา ไผ่  ฯลฯ ขึ้นแน่นไปหมด แถมไปซื้อที่นาไว้อีก 10 ไร่ แล้วขุดบ่อน้ำกว้างไร่เศษ เอาดินมาถมนาปลูกป่าทิ้งไว้ให้นกและปลามาอยู่อาศัย และปล่อยให้ชาวบ้านมาหาปลากินกันตามสะดวก แถมชาวนาที่มีที่นาติดกันกับบ่อน้ำของผมแอบสูบน้ำจากบ่อน้ำของผมไปใช้ในนาตัวเองอีกต่างหาก 

ผมกะว่าเมื่อถึงวัยอันควรผมจะไปอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียงและใช้ทฤษฎีใหม่ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสอนไว้ แต่จะไม่ทำการเกษตรใดๆ จะอ่านหนังสือเขียนหนังสือ และแปลหนังสือ อยู่ในบ้านหลังเล็กๆแต่มีห้องสมุดกว้างๆ ที่ดินกว้างๆ ให้วิ่งออกกำลังได้สบายๆ และมีต้นไม้ขึ้นรกๆเต็มพื้นที่ 

ถ้าผมต้องการเงินพัน ผมก็เขียนบทความ 
ต้องงานเงินหมื่น ก็เขียนหนังสือแปลหนังสือ 
ต้องการเงินแสนเงินล้าน ก็ขายที่นา! 

ถ้าไม่ต้องการเงินผมก็จะอยู่เฉยๆ ไม่ทำงานหาเงินให้เสียเวลาชีวิต
แต่ตอนนี้ผมไม่มีความต้องการเงินมากกว่าเดือนละสอง-สามหมื่น 
… ซึ่งก็ยังพอหาได้

ที่ไม่ได้ทำก็คือ ไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตที่สุพรรณบุรี ทั้งๆที่มีที่ดินอยู่ถึง 4 แห่ง รวมเกือบ 30 ไร่ แต่ไปปลูกบ้านและทำห้องสมุดส่วนตัวบนที่ 200 ตารางวา ที่ภูพิมานรีสอร์ท ปากช่อง นครราชสีมา และคิดว่าจะอยู่ปากช่องไปจนวันสุดท้ายของชีวิต เพราะยิ่งไปอยู่ยิ่งชอบความสงบและธรรมชาติตลอดจนลมฟ้าอากาศที่นั่น ถึงเวลากันไม่สมควรเมื่อไร ก็อาจจะเผาศพตัวเองที่ปากช่อง นครราชสีมา, หรือไม่ก็ที่สามชุก สุพรรณบุรี, หรือไม่ก็ที่ปากเกร็ด เพราะบ้านที่เมืองทองธานีก็ยังอยู่ สุดแต่ว่าตอนสิ้นลมหายใจผมจะอยู่ใกล้ที่ไหน ที่ดินที่สุพรรณฯก็ทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร รอวันที่อาจจะขาย ขึ้นอยู่กับความขัดสนเงินใช้จะมาเยือนปีไหนข้างหน้า หากผมอายุยืนเกินไป ไม่มีรายได้อะไร ก็ขายที่ดินเอามาเลี้ยงชีวิตไปวันๆได้

ปัจจุบัน ณ ปี 2565 ผมอายุ 75 ปี ไม่ทำงานการอะไรเป็นอาชีพ จัดเป็นผู้สูงอายุที่พออยู่พอกินด้วยรายได้จากการบรรยายบ้าง เขียนบทความบ้าง ได้ค่าจ้างผลิตงานภาพยนตร์สารคดีบ้าง เงินสวัสดิการจากงานเก่าบ้าง ให้ความเห็นทางรายการวิทยุและโทรทัศน์บ้าง แถมยังได้เงินค่าครองชีพผู้สูงอายุจากภาษีอากรของประชาชนเดือนละ 700 บาท - ซึ่งเป็นรายได้อย่างเดียวที่แน่นอนว่าจะได้ทุกเดือนไปจนตายในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า -  ผมไม่ห่วงเรื่องรักษาพยาบาล เพราะผมได้รับรางวัลเป็นผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมสัญญาว่าจะรักษาพยาบาลผมไปจนตาย เมื่อตายผมก็จะได้ค่าทำศพและพิมพ์หนังสือแจกงานศพอีก 100,000 บาท

จึงเรียกได้ว่าผมเกษียณอายุโดยสมัครใจ และรอวันตายโดยไม่ห่วงตัวเองอะไรนัก

ผมใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบอยู่กับหนังสือ 6,000 เล่มในห้องสมุดส่วนตัวที่บ้านพักภูพิมานรีสอร์ท บนเนื้อที่ 200 ตารางวา อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ส่วนที่ดินที่สุพรรณบุรีที่ผมมีรวมแล้ว 27 ไร่ ผมคงไม่ได้กลับไปใช้ประโยชน์อะไรอีกแล้ว ยกให้ลูกชายคนเดียวทั้งหมด ซึ่งก็เชื่อว่าลูกชายผมคงไม่กลับไปทำนาหรือทำประโยชน์ทางการเกษตรอื่นใด เพราะลูกชายเรียนจบมาทางด้านสื่อสารมวลชนสาขาวิชาภาพยนตร์ จากคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ลูกชายคนเดียวของผมเรียนจบวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และวิชาดนตรีประกอบภาพยนตร์จาก Berklee College of Music, Boston, USA. กำลังใช้ชีวิตแสวงหาโอกาสบรรลุศักยภาพตนเองอยู่ที่ Los Angeles

ลูกชายไม่ทำนาแน่นอน  แต่อาจใช้บรรยากาศที่นาสร้างแรงดลใจแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ได้

ครอบครัวพ่อแม่ผมได้ประสบการณ์ชีวิตอย่างหนึ่งคือ: 
เมื่อรู้ตัวว่าทำนาอย่างเดียวไปไม่รอดก็ต้องทำอาชีพเสริม 
ส่วนลูกๆก็รู้ว่าการศึกษาเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยให้ชีวิตปรับเปลี่ยนได้ 
จะดีขึ้นหรือไม่ดีขึ้น ก็ต้องลองดู เพราะการทำนานั้นไม่พอเลี้ยงชีพได้ 
บ้านอื่นที่เขาทำนาเก่งก็ทำต่อไป ที่ร่ำรวยก็พอมี ที่พออยู่ได้อย่างพอเพียงก็พอมี โดยไม่เคยมีการโอบอุ้มช่วยเหลือจากรัฐบาล และชาวนาก็ไม่เคยเรียกร้องให้ใครช่วย 

ชาวนาต้องคิดเอาเองว่าเราจะทำนาไหวหรือไม่? 
จะทำนาไปทำไมถ้ามันไม่ไหว? 
แล้วจะจัดการปัญหาที่ว่าอย่างไรด้วยตัวเอง?

อาชีพทำนาในโลกทุกวันนี้ยังเป็นอาชีพที่สำคัญมากอยู่เช่นเดิม แต่คนทำนาจำต้องปรับตัวให้เป็นมืออาชีพ เท่าๆกับเป็นวิถีชีวิต เรียนรู้ให้ทันวิทยาการแห่งโลกาภิวัตน์สมัย ทั้งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการทำนา ชีววิทยาและพืชศาสตร์ในการบำรุงปรับปรุงพันธุ์ เศรษฐศาสตร์ในการบริหารจัดการ และการตลาด นิเทศศาสตร์ในกระบวนการรับข่าวสารข้อมูลการเกษตรและการตลาดในเวทีโลก ติดตามข่าวสารการเกษตรจากทุกมุมโลก และโดยเฉพาะในอาเซียน

ชาวนาต้องทราบข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐาน GAP และ GMP
“GAP” และ “GMP” คืออะไร? สำคัญอย่างไร? ผมจะไม่บอก 
เป็นเรื่องที่ชาวนาจะต้องค้นหาเรียนรู้เอาเอง 

เงินสดกี่พันบาทก็ช่วยชาวนาไม่ได้ ถ้าชาวนาไม่รู้จัก GAP และ GMP

ผมเป็นลูกชาวนาที่ล้มเลวในการทำนา จึงเลิกทำนา และหาทางอื่นให้ชีวิต
ชีวิตก็พออยู่ได้ 

สมเกียรติ อ่อนวิมล
เขียนครั้งแรกเมื่อ 5 ตุลาคม 2557

ปรับปรุงแก้ไข 3 สิงหาคม 2565


MY 1966-67 HIGH SCHOOL WATER COLOURS IN EXHIBITION AT WARD PARKWAY, KANSAS CITY, MO.
All paintings were sold and kept in private collections somewhere in Missouri.

Just a Little Spice in My Journalistic Life
Picture
Picture

OUT OF THE LIMELIGHT
สมเกียรติ อ่อนวิมล วันที่ลงจากเวที
นิตยสาร  GM  November 2014
THAIVISION® 
REFLECTION ON EVENTS ON PLANET EARTH AND BEYOND 
​©2021 All Rights Reserved  Thai Vitas Co.,Ltd.  Thailand  
✉️
  • REFLECTION
  • ON PLANET EARTH
    • EARTH
  • AND BEYOND
  • THAILAND
    • KING BHUMIBOL
    • NATIONAL PARKS OF THAILAND >
      • KHAO YAI NATIONAL PARK
      • PHA TAEM NATIONAL PARK
      • PHU WIANG NATIONAL PARK
      • NAM NAO NATIONAL PARK
      • PHU HIN RONG KLA NATIONAL PARK
      • PHU KRADUENG NATIONAL PARK
      • PHU RUEA NATIONAL PARK
      • MAE YOM NATIONAL PARK
      • DOI SUTHEP-PUI NATIONAL PARK
      • DOI INTHANON NATIONAL PARK
      • THONG PHA PHUM NATIONAL PARK
      • KAENG KRACHAN NATIONAL PARK
      • MU KO ANG THONG NATIONAL PARK
      • MU KO SURIN NATIONAL PARK
      • MU KO SIMILAN NATIONAL PARK
      • HAT NOPPHARATA THARA - MU KO PHI PHI NATIONAL PARK
      • MU KO LANTA NATIONAL PARK
      • TARUTAO NATIONAL PARK
  • THE LIBRARY
    • MORNING WORLD BOOKS >
      • CASINO ROYALE
      • 1984
      • A BRIEF HISTORY OF TIME
      • A HISTORY OF THAILAND
      • CONSTITUTION OF THE UNITED STATES
    • DEMOCRACY IN AMERICA
    • FIRST DEMOCRACY
    • JOHN MUIR
    • MODELS OF DEMOCRACY
    • MULAN
    • THE VOYAGE OF THE BEAGLE
    • ON THE ORIGIN OF SPECIES
    • PHOOLAN DEVI
    • THE REPUBLIC
    • UTOPIA
    • A Short History of the World [H.G.Wells]
    • WOMEN OF ARGENTINA
    • THE EARTH : A Very Short Introduction
    • THE ENGLISH GOVERNESS AT THE SIAMESE COURT
    • TIMAEUAS AND CRITIAS : THE ATLANTIS DIALOGUE
    • HARRY POTTER
    • DEMOCRACY / HAROLD PINTER
    • MAGNA CARTA
    • DEMOCRACY : A Very Short Introduction
    • DEMOCRACY / Anthony Arblaster]
    • DEMOCRACY / H.G. Wells
    • ON DEMOCRACY / Robert A. Dahl)
    • STRONG DEMOCRACY
    • THE CRUCIBLE
    • THE ELEMENTS OF STYLE
    • THE ELEMENTS OF JOURNALISM | JOURNALISM: A Very Short Introduction
    • LOVE
    • THE EMPEROR'S NEW CLOTHES
    • THE SOUND OF MUSIC
    • STRONGER TOGETHER
    • ANIMAL FARM
    • POLITICS AND THE ENGLISH LANGUAGE
    • GEORGE ORWELL
    • HENRY DAVID THOREAU >
      • WALDEN
    • MAHATMA GANDHI
    • THE INTERNATIONAL ATLAS OF LUNAR EXPLORATION
    • พระมหาชนก
    • ติโต
    • นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ | A Man Called Intrepid
    • แม่เล่าให้ฟัง
    • SUFFICIENCY ECONOMY
    • พระเจ้าอยู่หัว กับ เศรษฐกิจพอเพียง
    • KING BHUMIBOL AND MICHAEL TODD
    • ... คือคึกฤทธิ์
    • KING BHUMIBOL ADULYADEJ: A Life's Work
    • THE KING OF THAILAND IN WORLD FOCUS
    • พระราชดำรัสเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ
  • IN MY OPINION
  • THAIVISION
  • SOMKIAT ONWIMON
    • MY STORY
    • THE DISSERTATION
    • THE WORKS >
      • BROADCAST NEWS & DOCUMENTARIES
      • SPIRIT OF AMERICA
      • THE ASEAN STORY
      • NATIONAL PARKS OF THAILAND
      • HEARTLIGHT: HOPE FOR AUTISTIC CHILDREN IN THAILAND
    • KIAT&TAN >
      • TAN ONWIMON >
        • THE INTERVIEW