Democracy
โดย Anthony Arblaster * Democracy โดย Anthony Arblaster ศาสตราจารย์สาขาวิชารัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัย Sheffield ประเทศอังกฤษ พิมพ์ครั้งแรกปี 1987/๒๕๓๐ พิมพ์ครั้งที่สอง ปี 1994/๒๕๓๗ เริ่มต้นที่คำถามว่า: ประชาธิปไตยคืออะไร? Anthony Arblaster ตอบว่า (6) “There are therefore good reasons to think that those who try to define democracy only in term of present-day realities – as type of political system or culture which some societies posses and others do not – will find themselves left behind by history.” “มีเหตุผลดีพอที่จะคิดว่าคนที่พยายามให้คำนิยามประชาธิปไตยในความหมายที่เห็นเป็นจริงในปัจจุบัน - กล่าวคือ ประชาธิปไตยเป็นระบบการเมืองหรือวัฒนธรรมซึ่งมีในบางสังคม และในบางสังคมก็ไม่มี – คนที่พยายามจะอธิบายประชาธิปไตยทำนองนี้เห็นที่จะล้าหลัง ตามประวัติศาสตร์ไม่ทันเสียแล้ว” ศาสตราจารย์ Anthony Arblaster ไม่รีบร้อนให้คำตอบแบบง่ายๆหรือตรงไปตรงมา มันอาจจะยากที่ตอบแบบสั้นเพียงประโยคสองประโยคแล้วจะให้ใครๆเข้าใจได้ทันทีก็ได้ ลองยืมคำตอบจาก ศาสตราจารย์ C.B. Macpherson มาก่อนก็ได้ว่า (7) “Democracy used to be a bad word. Everybody who was anybody knew that democracy, in its original sense of rule by the people or government in accordance with the will of the bulk of the people, would be a bad thing – fatal to individual freedom and to all the graces of civilized living. That was the position taken by pretty nearly all men of intelligence from the earliest historical times down to about a hundred years ago. Then, within fifty years, democracy became a good thing.” [C.B. Macpherson, The Real World of Democracy, Oxford, Clarendon Press, 1966] “คำว่าประชาธิปไตยเคยเป็นคำไม่ดี ใครๆที่เป็นคนสำคัญรู้ดีว่าประชาธิปไตยในความหมายแต่แรกเริ่มที่หมายถึงการปกครองโดยประชาชน หรือรัฐบาลที่บริหารประเทศโดยความเห็นชอบของชนหมู่มากนั้นถือเป็นการปกครองหรือรัฐบาลที่ไม่ดี – เป็นอันตรายต่อเสรีภาพของบุคคล ก่อให้เกิดหายนะต่อวิถีชีวิตที่มีอารยะธรรม นั่นคือจุดยืนของแนวคิดของคนเกือบทุกคนที่เป็นปัญญาชน นับจากยุคประวัติศาสตร์โบราณ ต่อเนื่องมาจนเมื่อราวร้อยปีที่แล้วนี่เอง หลังจากนั้นภายในเวลาเพียงห้าสิบปี ประชาธิปไตยก็กลับกลายมาเป็นของดีไปได้” Democracy โดย Anthony Arblaster เป็นหนังสือที่อธิบายประชาธิปไตยในเชิงปรัชญาพื้นฐานโดยการตั้งคำถามสำคัญที่กระตุ้นแนวคิดใหม่ให้กับประชาธิปไตยที่ Anthony Arblaster แห่ง University of Sheffield วิเคราะห์ว่าเป็นกระบวนการที่พัฒนาต่อเนื่องไม่จบสิ้น ไม่มีคำนิยามตายตัว ประชาธิปไตยเกิดแต่สมัยกรีซโบราณ รุ่งเรื่อง ล่มสลาย (25) แล้วกลับมาฟื้นคืนชีวิตอีก “Probably the basic ideas of democracy – the idea of equal political rights for all (or at least for all men), the idea of the government of the poor or of the people, the idea of turning the traditional social hierarchies upside down – have never entirely disappeared among the vast submerged majorities in history.” “บางทีอุดมการณ์พื้นฐานของประชาธิปไตย ที่ว่าด้วยความเท่าเทียมกันทางสิทธิทางการเมืองของพลเมืองทุกคน (หรืออย่างน้อยก็ของผู้ชายทุกคน) ความคิดที่ว่ารัฐบาลเป็นของคนจน หรือของประชาชน ความคิดที่พลิกระดับชนชั้นในสังคมตามประเพณีนิยมดั้งเดิมกลับชนชั้นข้างบนลงมาอยู่ข้างล่าง ยกชนชั้นล่างขึ้นอยู่ชั้นบนนั้น ล้วนเป็นความคิดหรืออุดมการณ์ที่ไม่เคยสูญสลายหายไปทั้งหมดในหมู่พลเมืองส่วนใหญ่ที่มักจะถูกประวัติศาสตร์ฝังถมทับมานานเนิ่น” Democracy โดย Anthony Arblaster ประชาธิปไตยเป็นการให้อำนาจแก่คนส่วนใหญ่ ในเมื่อคนส่วนใหญ่เป็นคนจน ประชาธิปไตยจึงเป็นการให้อำนาจแก่คนจนนั่นเอง ที่ประชาธิปไตยไม่สำเร็จ ถูกขัดขวางในหลายประเทศตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานนั้นก็เพราะคนจนไปมอบอำนาจให้คนรวย และคนรวยก็ไม่คืนอำนาจให้คนจน ประชาธิปไตยที่เหลือเพียงรูปแบบการเลือกตั้งคนรวยเข้าสู่อำนาจจึงไม่ใช่ประชาธิปไตย Democracy ประชาธิปไตย กลายเป็น Oligarchy คณาธิปไตย ประชาธิปไตยของคนมีอำนาจไม่กี่คน ไม่ว่าประชาธิปไตยจะล้มเหลว หรือพัฒนาได้ช้าอย่างไร ประชาธิปไตยก็พยายามกลับมาอีก ครั้งแล้ว ครั้งเล่า (36) หลังการปฏิวัติในฝรั่งเศส (1787-1799) 220 ที่แล้ว คำว่า “ประชาธิปไตย” กลับมามีความหมายส่วนสำคัญและถาวรในพจนานุกรมศัพท์การเมือง ประชาธิปไตยมีความหมายชัดเจนว่าเป็น Popular Politics การเมืองของมหาชน (54) “…governments should be popularly elected as the test of legitimacy for any regime or political system.” “...รัฐบาลควรจะมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน เป็นการพิสูจน์ความชอบธรรมในการปกครองสำหรับทุกรัฐบาลหรือระบบการเมืองการปกครอง” ด้วยการกลับมาของอำนาจประชาชนส่วนใหญ่นี้เองที่ทำให้ศาสตราจารย์ Anthony Arblaster เตือนว่า (54) “There are plenty of powerful and privileged groups who see democracy as a threat to themselves and their values, and will therefore resist its development by every means…There are those too for whom democracy and the freedoms which often accompany it are an inconvenience, an obstruction to the uninhibited pursuit of wealth and profit…” “ยังมีผู้มีอำนาจและกลุ่มผู้มีสิทธิพิเศษในสังคมอยู่อีกมากมายที่มองว่าประชาธิปไตยเป็นอันตรายข่มขู่วิถีชีวิตและค่านิยมของพวกเขา แล้วจะขัดขืนขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตยทุกวิถีทาง...แล้วยังมีคนอีกพวกหนึ่งที่คิดว่าประชาธิปไตยกับอิสรภาพที่พ่วงติดมาด้วยเป็นความไม่สะดวกต่อชีวิตของพวกเขา เพราะมันขวางทางแห่งการแสวงหากำไรและความมั่งคั่งที่เป็นคติชีวิตของเขาเหล่านั้น...” (57) อุดมการณ์ประชาธิปไตยในยุคใหม่ คือยุคปัจจุบัน มีปัญหาที่คนสมัยใหม่นี้ต้องขบคิดหลายประการ (59) “Government by the People” รัฐบาลโดยประชาชน คือปัญหาใหญ่ปัญหาแรก Anthony Arblaster เวลาประชาชนไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ก็คิดถึงประโยชน์ส่วนตน ครั้นรวมกันเป็นเสียงส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นสิ่งดีสำหรับทุกคน หรือแม้กระทั่งคนส่วนใหญ่ แล้วสิทธิเสียงและความต้องการของคนส่วนน้อยใครจะดูแล (67) Majority Rule and its Problems ฟังแต่เสียงส่วนใหญ่คือปัญหาของประชาธิปไตยแน่ๆ คำว่า “The people” ประชาชน จะให้มีความหมายเพียงแค่เสียงส่วนใหญ่ “Majority of people” ประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ได้ “Government by the people” รัฐบาลโดยประชาชน ก็ไม่เท่ากับ “Government by the majority” รัฐบาลโดยประชาชนส่วนใหญ่ (72) ”Equality and the General Interest” ความเสมอภาค กับ ผลประโยชน์ทั่วไป ความเสมอภาคที่มาพร้อมกับประชาธิปไตย กระทบผลประโยชน์ส่วนตนเสมอ หากปกป้องผลประโยชน์ส่วนตัวเหนือประโยชน์ส่วนรวม ความเสมอภาคก็ถูกกัดกร่อน บดบัง ทำลาย ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม หากจะคิดกันแบบลึกซึ้งจริงๆ คำว่าประชาธิปไตยนั้นต้องไม่เป็นเพียงความหมายเกี่ยวกับการเมืองการปกครองของรัฐบาล แต่ประชาธิปไตยต้องหมายความรวมทั้งสังคม ประชาธิปไตยควรหมายถึง “Social Equality” ความเสมอภาคกันในทางสังคม ด้วย (87) “Consent, Freedom and Debate” การร่วมเห็นชอบ อิสรภาพ และการถกเถียงปัญหา ในสังคมประชาธิปไตย ต้องมีการถกเถียงหาข้อยุติร่วมกันเห็นชอบในปัญหาต่างๆอย่างอิสระ เสรี (79) ศาสตราจารย์ Anthony Arblaster ตั้งข้อสังเกตในตอนท้ายว่า ประชาธิปไตยแบบโบราณที่เกิดในนครรัฐเล็กเช่น Athens นั้น ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยตรง โดยการออกความเห็นและลงประชามติได้ทุกครั้งทุกเรื่องโดยไม่ต้องผ่านผู้แทนราษฎร (79) “Direct Democracy” ประชาธิปไตยโดยตรง ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารในโลกปัจจุบันมนุษย์ควรจะเพิ่มประชาธิปไตยแบบการมีประชามติโดยตรงได้มากกว่าที่ทำอยู่ ขนาดพื้นที่ และจำนวนประชากรไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เมื่อเทคโนโลยีการลงประชามติเอื้ออำนวยมากแล้ว ประชาธิปไตยเป็นพัฒนาการที่ไม่จบสิ้น ความหมายของประชาธิปไตยอยู่ในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตย (7) แต่ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยก็ไม่มีวันจบสิ้น ประชาธิปไตยจึงปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมความหมายต่อไป “…the need, not to defend democracy, but to create it” “ความจำเป็นของเรานั้น ไม่ใช่เรื่องการปกป้องประชาธิปไตย” การสร้างสรรค์ประชาธิปไตย ต่างหากที่เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเรา” * |