The Voyage of the Beagle
JOURNAL OF RESEARCHES
INTO THE
NATURAL HISTORY AND GEOLOGY
OF THE
COUNTRIES VISITED DURING THE VOYAGE OF H.M.S. BEAGLE ROUND THE WORLD,
UNDER THE
COMMAND OF CAPT. FITZ ROY, RN.
BY charles DARWIN, M.A. F.R.S.
------------------------------------------------------------------
SECOND EDITION, CORRECTED, WITH ADDITIONS.
------------------------------------------------------------------
LONDON:
JOHN MURRAY, ALBEMARLE STREET.
------------------------------------------------------------------
1845
_____________________________________________________________________________________________________________________________________
บทแนะนำหนังสือ
ในโอกาสครบรอบ 206 ปี
วันเกิด Charles Robert Darwin [12 February 1809]
_____________________________________________________________________________________________________________________________________
JOURNAL OF RESEARCHES
INTO THE
NATURAL HISTORY AND GEOLOGY
OF THE
COUNTRIES VISITED DURING THE VOYAGE OF H.M.S. BEAGLE ROUND THE WORLD,
UNDER THE
COMMAND OF CAPT. FITZ ROY, RN.
BY charles DARWIN, M.A. F.R.S.
------------------------------------------------------------------
SECOND EDITION, CORRECTED, WITH ADDITIONS.
------------------------------------------------------------------
LONDON:
JOHN MURRAY, ALBEMARLE STREET.
------------------------------------------------------------------
1845
_____________________________________________________________________________________________________________________________________
บทแนะนำหนังสือ
ในโอกาสครบรอบ 206 ปี
วันเกิด Charles Robert Darwin [12 February 1809]
_____________________________________________________________________________________________________________________________________
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1809 หรือ พ.ศ. 2352 ที่ประเทศอังกฤษ Charles Darwin เกิดมาในตระกูลที่มั่งคั่งมีชื่อเสียงในวัยเด็กเรียนโรงเรียนวัดที่Shrewbury เมื่ออายุได้ 16 ปี Dr. Robert Darwin ผู้เป็นบิดาส่งให้เรียนแพทย์ที่ Edinburgh University หวังว่าจะเจริญรอยตามอาชีพเดียวกัน สองปีในมหาวิทยาลัย หนุ่มน้อย Charles Darwin พบว่าอาชีพแพทย์ไม่ใช่อนาคตของเขาแน่ๆ จึงย้ายไป,Cambridge University เรียนวิชาศาสนา หวังว่าอาชีพนักบวชนักเทศน์อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ก็ไม่ใช่อีก
แต่สามปีที่ Cambridge ก็มิได้สูญเปล่า Charles Darwin ได้รู้จักกับอาจารย์สองท่านที่มีอิทธิพลต่อความคิดของเขามาก John Stevens Henslow ศาสตราจารย์วิชาพฤกษ์ศาสตร์ และ Adam Sedgwick ศาสตราจารย์วิชาธรณีวิทยา สอนให้ Darwin สนใจศึกษาวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ซึ่งในสมัยนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของวิชานิเวศวิทยา และ ชีวะวิทยาว่าด้วยวิวัฒนาการ ระหว่างที่อยู่ Cambridge University Darwin เฝ้าเพียรสะสมและเก็บตัวอย่างแมลง สัตว์ และพืชพันธุ์ต่างเป็นงานนอกวิชาเรียนจนเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์มากขึ้น Charles Darwin เรียนจบมหาวิทยาลัยได้ปริญญาในปี 1831 เป็นบัณฑิตหนุ่มที่กำลังเปี่ยมไปด้วยพลังของความอยากได้เรียนรู้เป็นนักวิทยาศาสตร์และธรรมชาติวิทยาอย่างเปี่ยมล้น จังหวะชีวิตมาบรรจบกับโอกาสพิเศษในเดือนสิงหาคม เรือหลวง HMS Beagle กำลังเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทางไปสำรวจภูมิศาสตร์ ธรรมชาติ และวัดเขตเวลารอบโลก โดยเฉพาะชายฝั่งรอบทวีปอเมริกาใต้ กับตันคนก่อนของเรือ The Beagle ทำงานไม่สำเร็จด้วยความเครียด และปลิดชีวิตตนเองเสียก่อน กัปตันคนใหม่ชื่อ Robert Fitz Roy เป็นหนุ่มผู้จริงจังกับงาน และต้องการคนหนุ่มที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้สนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ธรรมชาติ จากพื้นเพครอบครัวที่ดี มีความอดทน และพร้อมจะเป็นเพื่อนร่วมเดินทางที่ดีสักคนหนึ่ง เพื่อการเดินทางสำรวจรอบโลกนานสองปีตามที่กำหนดไว้แต่แรก ศาสตราจารย์ Henslow ทราบความต้องการของ กัปตัน Fitz Roy จึงแจ้งไปยัง Darwin ด้วยความตื่นเต้นดีใจและเต็มใจ Darwin ได้รับการสนับสนุนจากคุณพ่อ พร้อมด้วยเงินทุนสนับสนุนการเดินทาง เรือสำรวจภูมิศาสตร์และธรรมชาติวิทยาโลกในนามสมเด็จพระราชินีอังกฤษชื่อ H.M.S. Beagle จึงได้หนุ่ม Charles Darwin ร่วมเดินทางไปด้วย ในฐานะนักธรรมชาติวิทยาประจำเรือหลวง "The Voyage of the Beagle" หรือ การเดินทางของเรือหลวง The Beagle เริ่มออกจากท่าเรือ Devonport วันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1831
แทนที่จะเป็นการเดินทางเพียงสองปี แต่ The Beagle พา Charles Darwin ไปรู้จักกับชีวิตพืชและสัตว์รอบโลกนาน 5 ปี :
“After having been twice driven back by heavy south-western gales, Her Majesty’s ship Beagle, a ten-gun brig, under the command of Captain Fitz Roy, RN, sailed from Devonport on the 27th of December, 1831. The object of the expedition was to complete the survey of Patagonia and Tierra del Fuego, commenced under Captain King in 1826 to 1830 – to survey the shore of Chile, Peru, and of some islands in the Pacific – and to carry a chain of chronometrical measurements round the world. On the 6th of January we reached Teneriffe, but were prevented landing, by fear of our bringing the cholera: the next morning we saw the sun rise behind the rugged outline of the Grand Canary Island, and suddenly illumine the Peak of Teneriffe, whilst the lower part were veiled in fleecy clouds. This was the first of many delightful days never to be forgotten.”
“หลังโดนกระแสลมตะวันตกเฉียงใต้พัดโหมจนเรือถอยกลับไปสองครั้ง ในที่สุดเรือหลวง Beagle ขนาดปืนใหญ่ประจำการสิบกระบอก ภายใต้การบัญชาการของกัปตัน Fitz Roy แห่งราชนาวี ก็ออกเดินทางจากท่าเรือ Devonport ในวันที่ 27 เดือนธันวาคม ปี คริสต์ศักราช 1831 จุดมุ่งหมยของการเดินทางก็คือการสำรวจดินแดน Patagonia และ Tierra del Fuego ซึ่งเริ่มมาก่อนหน้านี้แล้วโดย กัปตัน King ในปี 1826 ถึง 1830 --สำรวจชายฝั่ง Chile, Peru และหมู่เกาะบางแห่งในมหาสมุทร Pacific นอกจากนั้นก็จะสำรวจพื้นที่วัดเวลารอบโลก ในวันที่ 6 มกราคม เราเดินทางไปถึง Teneriffe แต่ก็ถูกห้ามจอดเพราะกลัวว่าเราจะเอาเชื้ออหิวาต์ไปแพร่ระบาด : เช้าวันรุ่งขึ้น เราได้เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นออกมาจากเส้นขอบแนวฉากหลังโขดเขาแห่งเกาะ Grand Canary แล้วในฉับพลันก็ทอแสงจับบนยอดเขา Teneriffe สว่างจ้า ขณะที่ส่วนล่างของขุนเขายังถูกบังด้วยม่านปุยเมฆที่ขาวดุจขนแกะ นี่เป็นวันแรกของอีกมากมายหลายวันอันสวยสดงดงามที่มิมีวันจะลืมเลือนได้เลย”
“delightful”
“beautiful”
“wonderful”
เป็นคำที่ Charles Darwin ใช้บรรยายธรรมชาติที่ได้ประสบไม่เว้นแต่ละวัน
ทุกสิ่งที่ได้เห็นตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด
วันที่ 16 มกราคม 1832 The Beagle เดินทางต่อไปถึง Cape Verde
16 กุมภาพันธ์ 1832 ถึง St Paul’s Rocks
20 กุมภาพันธ์ 1832 ถึง Fernando de Noronha
28 February 1832 ถึง Bahia ฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้
5 April 1832 Rio de Janeiro
26 July 1832 Montevideo
13 January 1833 ตระเวนบริเวณทะใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้ นาน 6 เดือน
สำรวจหมู่เกาะ Falklands นาน 1 ปี
10 June 1834 The Straits of Magellan
23 July 1834 Valparaiso ชายฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้
20 July 1835 Callao
16 September 1835 ถึงสวรรค์อันงดงามเหนือคำบรรยาย คือหมู่เกาะ Galapagos Islands ดินแดนแห่งวิวัฒนาการชีวิตที่หลากหลาย
20 October 1835 ออกเดินทางจาก Galapagos
15 November 1835 Tahiti
21 December 1835 New Zealand
12 January 1836 Sydney
5 February 1836 Hobart
7 March 1836 King George’s Sound
2 April 1836 Cocos Keeling Island ทางใต้ของสุมาตรา
30 April 1836 Mauritius มหาสุมทรอินเดีย
1 June 1836 Capetown South Africa
8 July 1836 St Helena
20 July 1836 Ascension Island ระหว่างฝั่งตะวันตกของ Africa กับ ฝั่งตะวันออกของอเมริกาใต้ มุ่งหน้ากลับมาอเมริกาใต้อีกรอบหนึ่ง
1 August 1836 แวะ Bahia อีกครั้งหนึ่งหลังจากการเยือนครั้งแรกเมื่อ 4 ปี 6 เดือนก่อนหน้า
31 August 1836 กลับมา Cape Verde
20 September 1836 Azores และ
วันที่ 2 October 1836 กลับถึงอังกฤษที่เมืองท่า Falmouth, England
รวมการเดินทางสำรวจธรรมชาติรอบโลกของเรือ The Beagle และ Charles Darwinจากวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1831 ถึงวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1836 4 ปี 8 เดือน 5วัน
ตามประวัติ ชื่อหนังสือแรกเริ่มอย่างเป็นทางการ Charles Darwin ตั้งชื่อในการพิมพ์ครั้งที่ 1 เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1839 ว่า:
"The Journal of Researches into the Geology and Natural HISTORY OF THE VARIOUS COUNTRIES VISITED BY H.M.S. BEAGLE,
UNDER THE COMMAND OF CAPTAIN FITZROY, R.N. FROM 1832 TO 1836"
หรือแปลเป็นไทยว่า:
"บันทึกงานวิจัย ว่าด้วยเรื่อง ธรณีวิทยา และ ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ของประเทศต่างๆ ที่เรือหลวง BEAGLE แห่งสมเด็จพระราชินีเดินทางไปสำรวจ
ภายใต้การบังคับการของกัปตัน FITZ ROY ราชนาวี จากปี 1832 ถึง 1836"
Charles Darwin เขียนรายงานนี้เสร็จในตอนแรกแล้วพิมพ์ในปี 1839 เป็นส่วนที่สามของรายงานชุดใหญ่โดย Captain Fitz Roy แล้วจึงนำมาแยกพิมพ์เป็นหนังสือออกเผยแพร่ ฉบับที่พิมพ์ครั้งที่ 1 นี้ ปัจจุบันสำนักพิมพ์ Penguin นำมาพิมพ์แบบตัดบางส่วนออกเพื่อมิให้ยาวเกินความเหมาะสมในการพิมพ์ ดังปรากฏในเล่มนี้ 6 ปีต่อมา ในปี ค.ศ.1845 Charles Darwin นำต้นฉบับเดิมมาเรียบเรียงปรับแต่งใหม่เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้นสำหรับผู้อ่านทั่วไป ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 นี้เองที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก และใช้อ้างอิงเป็นหลักจนถึงปัจจุบัน และประชนและสำนักพิมพ์รุ่นหลังๆต่อมาก็เรียกชื่อให้สั้นลงและจำง่ายว่า The Voyage of the Beagle หรือ การเดินทางของเรือ The Beagle
สำนักพิมพ์ส่วนใหญ่ในโลก จะพิมพ์ฉบับพิมพ์ครั้งที่สองเป็นหลัก ดังเล่มนี้ โดย สำนักพิมพ์ WORDSWORTH CLASSICS ซึ่งถือว่าสมบูรณ์ที่สุดเพราะมีภาพวาดลายเส้นดั้งเดิมเป็นภาพประกอบทุกภาพหาซื้อได้จากร้านหนังสือไปกรุงเทพ ด้วยราคาที่ถูกที่สุด เพียง 285 บาท ผู้อ่านก็จะได้เดินทางไปท่องเที่ยวรอบโลก เห็นความสวยสดงดงามของธรรมชาติ ป่าเขา และทะเล สรรพสัตว์ใหญ่น้อย ผจญภัยไปกับการหลบหลีกเหล่าโจรและชนเผ่าอินเดียนพื้นเมือง นอนกลางป่าท่ามกลางฝนลูกเห็บขนาดเท่าลูกแอปเปิ้ล และได้ยลโฉมสาวงามที่สุดในโลกในวัยหนุ่มอายุเพียง 22 ปี เพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัย Cambridge Charles Darwin ไม่เพียงแต่จะเดินทางผจญภัยและศึกษาธรรมชาติเท่านั้น 5 ปีกับเรือ The Beagle ทำให้ Darwin สั่งสมความรู้ ประสบการณ์ และค้นคว้าวิจัยธรรมชาติต่อไปจนกลายเป็นผู้ให้กำเนิดทฤษฎีทางธรรมชาติวิทยาว่าด้วยเรื่องวิวัฒนาการ ที่เปลี่ยนความคิดความเข้าใจในโลกมนุษย์นี้โดยสิ้นเชิง
2 ปีแรกของการเดินทาง The Beagle เดินเลาะเลียบชายฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้ ออกจากท่า Devonport ของอังกฤษเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1831 ข้ามมหาสมุทร Atlantic ไปศึกษานกทะเลสองสายพันธุ์ เกาะโขดหิดเล็กๆชื่อ St Paul’s Rock:
(เลขหน้าอ้างอิงหนังสือ The Voyage of the Beagle ฉบับ Wordsworth Classics)
(12) (13)
“The rocks of St Paul appear from a distance of a brilliantly white colour. This is partly owing to the dung of a vast multitude of seafowl and partly to a coating of a herd glossy substance with a pearly luster. Not a single plant, not even lichen, grows on this islet”
“มองระยะไกล เห็นศิลาแห่งเซ็นต์พอลเป็นสีขาวสะท้อนแสงสว่างจ้า ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะส่วนหนึ่งเป็นแสงสีสะท้อนมาจากกองขี้นกอันกว้างไกลไพศาลมหึมา และอีกส่วนหนึ่งเป็นสีพื้นผิวดินหอนที่ฉาบด้วนบรรดาสารที่สะสมทับถมกันจาออกสีคล้ายไข่มุก ไม่มีต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว แม้แต่ตะไคร่ทะเลก็มิอาจเติบโตแถวนี้ได้”
ที่ Bahia วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 1832:
(14-15)
“The day has passed delightfully. Delight itself, however, is a weak term to express the feelings of a naturalist who, for the first time, has wandered by himself in a Brazilian forest. The elegance of the grasses, the novelty of the parasitical plants, the beauty of the flowers, the glossy green of the foliage, but above all the general luxuriance of the vegetation, filled me with admiration.”
“วันทั้งวันผ่านไปอย่างชื่นหัวใจ คำว่าชื่นหัวใจยังน้อยไปที่จะอธิบายความรู้สึกของนักธรรมชาติวิทยาผู้ซึ่งได้มีโอกาสเดินชมธรรมชาติในป่า Brazil เป็นครั้งแรก ทุ่งป่าหญ้าที่สูงสง่า ความตระการตาของเหล่าพันธุ์ไม่กาฝาก ความสวยสดงดงามของดอกไม้ สีเขียวขจีใสของใบไม้ และเหนืออื่นใด ความอุดมสมบูรณ์ที่ดารดาษไปด้วยชีวิตชีวาของพืชพันธุ์อันหลายหลาก มันทำให้ผมเปี่ยมล้นไปด้วยอารมณ์อันสุขสมชมชื่น”
5 เมษายน 1832 ถึง Rio de Janeiro แม่น้ำแห่ง Janeiro วันที่ 8 เมษายน 1832
(21)
“The day was powerfully hot and as we passed through the woods, everything was motionless, excepting the large and brilliant butterflies which lazily fluttered about. The view seen when crossing the hills behind Praia Grande was most beautiful; the colours were intense, and the prevailing tint a dark blue; the sky and the calm waters of the bay vied with each other in splendour. After passing through some cultivated country, we enter a forest, which in the grandeur of all its parts could not be exceeded.”
“วันนี้อากาศร้อนรุนแรงมาก ขณะที่เราเดินทางผ่านป่า ทุกสิ่งอย่างดูแน่นิ่งไม่ไหวติง เว้นแต่พวกผีเสื้อตัวใหญ่ๆที่บินขยับปีกบินวนไปมาอย่างเกียจคร้าน ภาพที่ปรากฏ ตอนข้ามเนินเขา ด้านหลังเมือง Praia Grande นั้นสวยเป็นที่สุด สีสดเข้ม ท้องฟ้าสีนำเงินแก่ แข่งความงามกับสีน้ำทะเลบริเวณปากอ่าว พอเดินทางผ่านพื้นที่การเกษตรไป เข้าสู่ป่าทึบ ทุกส่วนทุกซอกมุมของป่า คงมิมีที่อื่นใดอีกแล้วที่จะมีความสวยงามและยิ่งใหญ่ไปกว่าที่นี่ “
Charles Darwin ทั้งศึกษาธรรมชาติในทะเลระหว่างการเดินทาง และทั้งออกเดินบุกป่าฝ่าดงเมื่อขึ้นบก ทั้งเดินเท้า, ขี่ม้า, เดินทางไปกับเกวียนเทียมวัว, รอนแรมกลางป่าบ้าง, นอนในบ้านพักชาวบ้านตามรายทางบ้าง, นอนนอกบ้านชาวอังกฤษที่ไปตั้งถิ่นฐานในป่าบ้าง บางครั้งก็เดินทางแยกตัวออกจากเรือ The Beagle บุกป่าฝ่าดงไปนานหลายวัน แล้วไปดักพบเรือ The Beagle ที่เดินทางตามปีหลังบ้าง ไปดักรอบ้าง
(66)
วันที่ 3 สิงหาคม 1833
The Beagle เดินทางถึงปากแม่น้ำ Negro หรือ Rio Negro (คำว่า "Rio" แปลว่า "แม่น้ำ") Charles Darwin ปล่อยให้เรือ เดินทางไปจอดคอยที่ Bahia Blanca ส่วนตัวเองขอเดินทางบกด้วยม้า และชาวบ้านนำทาง ไปให้ถึง Buenos Ayres
(67)
11 สิงหาคม 1833
เริ่มเดินป่า 2 วันครึ่งมุ่งสู่แม่น้ำ Colorado Darwin พบว่า ชาวอินเดียนพื้นเมืองบูชาต้นไม้ใหญ่เส้นผ่าศูนย์กลาง 3 ฟุต ยึดมั่นสิ่งสำคัญในชีวิตเป็นปัจจัยสี่ คือ:
- ทุ่งหญ้าให้ม้ากิน
- น้ำ ถึงจะขุ่นเป็นโคลนตม ก็ได้
- เนื้อสัตว์เป็นอาหารสำหรับตนเอง
- ฟืนสำหรับก่อไฟหุงต้ม
ที่นี่เป็นคืนแรกที่ Charles Darwin นอนกลางป่า มองดูดาวบนฟ้าได้ก่อนหลับ:
“The Death-like stillness of the plain, the dog keeping watch, the gypsy-group of gauchos, making their beds round the fire, having left in my mind a strongly-marked picture of this first night, which will never be forgotten”
“ทุ่งราบยามค่ำสงบนิ่งเหมือนไร้ชีวิต มีหมาตัวหนึ่งทำหน้าที่นอนเฝ้าเรา ส่วนพวกคาวบอยที่เรียกว่า Gauchos ก็ปูที่นอนกันข้างกองไฟ ภาพคืนแรกกลางป่านี้ประทับอยู่ในความทรงจำอย่างมิมีวันลืมไปจนชั่วชีวิต”
Charles Darwin หนุ่มลูกคนรวยจากอังกฤษ เพลิดเพลินอยู่กลางป่าเขาและทะเลลึกเช่นนี้ต่อไปรวม 5 ปี
(102)
วันที่ 8 กันยายน 1833
8 September 1833
“I hired a gaucho to accompany me on my ride to Buenos Ayres,… about four hundred miles, and nearly the whole way through an uninhabited country”
“ผมจ้างคาวบอย Gaucho คนหนึ่งเป็นเพื่อนเดินทางเพื่อไปให้ถึง Buenos Ayres,….ระยะทางประมาณ 640 กิโลเมตร โดยที่เกือบตลอดทางแทบจะไม่มีผู้คนอาศัยอยู่เลย”
การเดินทางสำรวจธรรมชาติของ Charles Darwin ในดินแดนฝั่งตะวันออกของอเมริกาใต้ ถึงตอนนี้รวม 21 เดือน และจะเดินทางต่อไปด้วยอาหารและน้ำที่ต้องล่าและหาเอาในป่า ท่ามกลางภัยจากโจรป่า ชาวเผ่าอินเดียนพื้นเมืองที่รบราฆ่าฟันกับนักล่าอาณานิคมจาก ยุโรป และสงครามกลางเมืองในอเมริกาใต้ต่อไป
Charles Darwin เริ่ม เดินข้ามยอดเขาสี่ ยอด บนเส้นทางสู่ Buenos Ayres เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าและน่ากลัวภัยจากเหล่าอินเดียนพื้นเมือง
(104)
“The climbing up such rough rocks was very fatiguing…Having descended, and while crossing it, I saw two horses grazing: I immediately hid myself in the long grass, and began to reconnoiter, but as I could see no signs of Indians I proceeded cautiously on my second ascent. It was late in the day, and this part of the mountain, like the other, was steep and rugged. I was on the top of the second peak by two o’clock but goy there with extreme difficulty; every twenty yards I had the cramp in the upper of both thighs, so that I was afraid I should not have been able to have got down again.”
“การเดินขึ้นโขดเขาที่ขรุขระนั้นช่างแสนเหนื่อยล้ายิ่งนัก...ตอนขาลง เพื่อจะข้ามเขาอีกลูกหนึ่ง ผมเห็นม้าสองตัวเล็มหญ้าอยู่ ผมรีบหมอบลงหลบในพงหญ้าสูง แล้วสอดส่ายสายตาสำรวจหาพวกอินเดียน แต่ก็ไม่เห็นวี่แวว จากนั้นผมก็ค่อยๆย่องเดินข้ามเขาอีกลูกหนึ่งต่อไป ซึ่งก็ดิ่งลงลึก และขึ้นสูงชัน เป็นปุ่ม เป็นแง่ เป็นโขดหินขรุขระแบบเดียวกัน ผมขึ้นไปจนถึงยอดเขาที่สอง ราวบ่ายสองโมง แต่ก็ไปถึงอย่างลำบากยากเย็น ทุกๆ 20 หลา ผมจะเป็นตะคริวที่โคนขาทั้งสองข้าง ผมกลัวมากมากว่าขึ้นไปถึงยอดได้แล้วเดี๋ยวจะกลับลงมาไม่ไหว”
การเดินทางโดยทางบกของ Charles Darwin นั้นก็เพื่อสังเกต ศึกษา และบันทึกความรู้เรื่องดิน หิน ต้นไม้ใบไม้ ชีวิตพืชและสัตว์ต่างๆที่ผ่านพบ หรือต้องการไปพบ แต่ชาวอินเดียนพื้นเมืองเผ่าต่างๆ ทั้งชาวป่า ชาวเขา และชาวเล ก็ต้องเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ต้องเผชิญแบบไม่รู้แน่ชัดว่าจะเป็นมิตร หรือเป็นศัตรู
วันที่ 27 กันยายน ปี ค.ศ. 1833 การเดินทางทางบกจาก Buenos Ayres ไปถึง Santa Fe’ ระยะทางไกลถึง 580 ไมล์ หรือ 933 กิโลเมตร ใช้เวลา 50 วัน โดยเกวียนเทียมวัว เส้นทางบางตอนไม่ปลอดภัย Charles Darwin บันทึกว่า
(122)
“…The Indians sometimes came down thus far, and waylay travelers…We saw also skeleton of an Indian with the dry skin hanging on the bones, suspended to the branch of a tree.”
“พวกอินเดียนบางทีก็ลงจากที่สูงมาดักปล้นฆ่านักเดินทาง...ระหว่างทางเราพบซากกระดูกศพคนอินเดียนยังมีผิวหนังติดแห้งอยู่ ห้อยลงมาจากกิ่งไม้”
(169)
วันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1834
เรือ The Beagle จอดที่ปากแม่น้ำ Santa Cruz ในช่วงสำรวจเขต Patagonia ที่ราบโขดหินทิศตะวันออกของเทือกเขา Andes ซึ่งเป็นเขตภาคใต้ของ Argentina และหมู่เกาะ Falklands นอกฝั่งตะวันออก ส่วนใต้ของทวีปอเมริกาใต้
วันที่ 18 เมษายน 1834
Captain Fitz Roy และ Charles Darwin นำเรือเล็กที่ปรกติจะใช้ล่าปลาวาฬในทะเล รวมสามลำพร้อมเสบียงอาหารเตรียมเดินทางได้สามสัปดาห์ ออกทวนน้ำขึ้นสำรวจแม่น้ำ Santa Cruz พร้อมด้วยลูกเรือ 25 คน มากพอที่จะสู้กับพวกอินเดียนที่โหดร้ายได้ หากต้องเผชิญหน้ากัน
วันที่ 20 เมษายน 1834 เส้นทาง 10-20 ไมล์ระหว่างทาง เรียกว่าเป็นดินแดนที่ไม่มีใครรู้ว่าจะมีอะไรรอคอยอยู่บ้าง เรียกว่า “Terra Incognita” หรือ “ดินแดนที่ไม่รู้จัก”
(170)
“We saw in the distance a great smoke, and found the skeleton of a horse, so we knew that Indians were in the neighbourhood…tracks of a party of horses, marks left by the trailing of the chuzos, or long spears, were observed on the ground….the Indians had reconnoitred us during the night….the party had crossed the river.”
”เรามองเห็นกลุ่มควันไฟขนาดใหญ่แต่ไกล เจอซากศพม้าตัวหนึ่ง จึงแน่ใจว่าพวกอินเดียนมาแถวนี้ก่อนหน้าเราแล้ว เห็นรอยตีนม้า รอยลากเป็นทางยาวของปลายหอกที่เรียกว่า Chuzos พวกอินเดียนคงซุ่มแอบดูพวกเราเมื่อคืนนี้...แต่ก็ดูเหมือนว่าจะพาคณะลูกเด็กเล็กแดงข้ามลำน้ำไปแล้ว”
ที่เขต Tierra Del Fuego นี้เองที่ Charles Darwin ได้พบกับคนป่าซึ่งเขาบอกว่า "บรรยายได้ว่าเป็นคนป่าเถื่อนอย่างแท้จริง"
The Beagle เดินทางถึง Tierra Del Fuego เที่ยวแรก วันที่ 17 ธันวาคม ปี 1832 ปีแรกของการเดินทางที่จะจบสมบูรณ์ในห้าปี Darwin เรียกชาวป่าพวกนี้ว่า "คนเถื่อน" หรือ "Savages" อย่างแท้จริง ไม่มีเสื้อผ้านุ่มห่มปกปิดร่างกาย นอกจากหนังสัตว์ชิ้นน้อยที่ปิดอะไรไม่มิด ไม่ว่าหญิงหรือชาย นอนขดกลางฝนเหมือนสัตว์ป่า กินเนื้อกินปลาเท่าที่หาได้อย่างไม่มีวิธีการที่ใช้ภูมิปัญญา แม้แต่ซากปลาที่เน่าลอยมาก็ยังกิน หากไม่มีอะไรกินต้องอดอยากหลายๆวันก็อยู่กันไปได้ คนเถื่อนพวกนี้มายืนตะโกนร้องด้วยถ้อยคำไม่เป็นภาษามนุษย์ อย่างไม่เป็นมิตร
Charles Darwin บันทึกว่า:
(196-197)
“I could not have believed how wide was the difference between savage and civilized man: it is greater than between a wild and domesticated animal, in as much as in man there is a greater power of Improvement….The party altogether closely resembled the devils which come on the stage in plays like Der Freischutz.”
“ผมไม่อยากเชื่อเลยว่าความแตกต่างระหว่าง คนป่าเถื่อน กับคนที่มีอารยะธรรม มันช่างห่างไกลกันมากมาย มันห่างกันมากเสียยิ่งกว่าความแตกต่างระหว่างสัตว์ป่า กับสัตว์เลี้ยง แม้ว่ามนุษย์จะมีพลังอำนาจในการพัฒนาตัวเองได้ดีกว่าสัตว์ก็ตาม พวกคนป่าเถื่อนพวกนี้ดูแล้วเหมือนปีศาจในละครเรื่อง Der Freischutz”
พวกคนเถื่อนในดินแดน Tierra Del Fuego เรียกว่าพวก Fuegians นิยมจุดคบไฟเรียงรายทั่วเขตพื้นที่ เพื่อการประกาศข่าวว่ามีคนต่างเผ่าเข้ามาในพื้นที่ หรือเป็นการประกาศเป็นเจ้าของพื้นที่อีกด้วย ดินแดนของพวก Fuegians ที่เรียกว่า “Tierra Del Fuego” ก็แปลว่า “The Land of Fire” หรือ
“แผ่นดินไฟ”
(203)
“Viewing such men, one can hardly make oneself believe that they are fellow creatures and inhabitants of the same world”
“มองดูคนป่าเถื่อนพวกนี้แล้ว ก็ยากที่เชื่อจริงๆว่าพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตร่วมโลกมนุษย์ โลกเดียวกันนี้ของเราด้วย”, Charles Darwin บันทึกไว้เมื่อวัน Christmas 25 ธันวาคม ค.ศ. 1832 เมื่อได้พบคนป่าคนเถื่อน ที่ Tierra Del Fuego หรือ แผ่นดินไฟ แล้ว ก็ยังไปยลโฉม Buenos Ayres และ Argentina ดินแดนแห่งสาวงาม เขตคามแห่งสตรีที่สวยที่สุดในโลก
วันที่ 18 พฤศจิกายน 1833
(138)
18 November 1833:
“Rode with my host to his estancia, at the Arroyo de San Juan”
“ผมขี่ม้าเดินทางไปกับเจ้าของไร่ที่ภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “Estancia” ที่เมือง Arroyo de San Juan”
(140)
19 November 1833:
“Passing the Valley of Las Vacas, we slept at a house of a north American….In the morning we rode to…Punta Gorda…tried to find a jaguar. There were plenty of fresh tracks…the Rio Uruguay presented to our view a noble volume of water. From the clearness and rapidity of the stream, its appearance was far superior to that of its neighbour the Parana. On the opposite coast, several branches from the latter river entered the Uruguay. As the sun was shining, the two colours of the waters could be seen quite distinct.”
“เราเดินทางผ่านหุบเขา Las Vacas นอนค้างแรมที่บ้านชาวอเมริกาเหนือคนหนึ่ง ... รุ่งเช้าขี่ม้าต่อไป …Punta Gorda พยายามตามดูเสือ Jaguar ซึ่งมีรอยตีนใหม่ๆมากมายให้เห็นเป็นแนวทาง ... แม่น้ำ Uruguay เอ่อล้น ใส ไหลแรง มากกว่า เมื่อเทียบกับแม่น้ำ Parana ที่ไหลมาบรรจบกัน เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่อง บริเวณที่แม่น้ำ Uruguay อันสวยใส มาพบกับแม่น้ำ Parana ที่ขุ่นโดยโคลนตม นี้ ก็ปรากฏเป็นแม่น้ำสองสีชัดเจน”
“ตกเย็น เราเดินทางต่อไปตามเส้นทางสู่เมือง Mercedes ริมฝั่งแม่น้ำ Negro พอเวลาค่ำเราไปขอนอนพักบ้านแรกที่เราพบ เป็นบ้านของเศรษฐีราชาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในเขตนี้ หลานของเจ้าของไร่ หรือ Estancia เป็นคนดูแล มีทหารยศร้อนเอกหนีทัพมาจาก Buenos Ayres ดูตามสถานภาพแล้วก็น่าแปลกที่เรื่องที่สนทนากันคืนนั้นดูจะน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เขาทั้งสองแสดงความรู้สึกทึ่งที่ทราบว่าโลกที่เราอยู่นี้เป็นรูปทรงกลม ปฏิกิริยาเช่นนี้ก็คาดเดาได้ล่วงหน้า แต่เขาก็ไม่อยากเชื่อว่าหากขุดหลุมลงไปลึกมากๆ ก้จะไปโผล่อีกฟากตรงข้ามของแผนดินโลก”
“นายร้อยเอกทหารพูดกับเราในตอนท้ายที่สุดว่า มีคำถามที่อยากถามมากๆอยู่คำถามหนึ่ง ซึ่งเขาจะขอบคุณเป็นอย่างสูงหาดเราจะตอบด้วยความจริงอย่างหมดเปลือก ผมเองก็ใจสั่น ไม่รู้ว่าจะเป็นคำถามที่ต้องการคำตอบเชิงวิทยาศาสตร์ที่ลึกล้ำขนาดไหน ไม่รู้จะตอบได้หรือเปล่า แต่เขากลับถามว่า ‘เราเห็นด้วยหรือไม่ที่ว่าผู้หญิงแห่ง Buenos Ayres นั้นสวยที่สุดในโลก’ ผมเลยตอบคำถามเหมือนกับคนที่เพิ่งพ้นภัยอย่างโล่งออกว่า ’แน่นอน ผู้หญิง Buenos Ayres นั้นสวยที่สุดในโลกแน่นอนเลย’ “
“แล้วเขาก็เพิ่มเติมอีกคำถามว่า พวกผู้หญิงที่อื่นๆในโลก จะมีใครที่ไหนบ้างที่ใช้หวีเสียบผมที่มีขนาดใหญ่เท่าของหญิง Buenos Ayres ผมก็ตอบให้เขาสบายใจว่าไม่มีหรอก พวกเขาก็ปลาบปลื้มยินดีเป็นที่สุด”
นายทหารเพื่อนของหลานเจ้าของบ้านถูกใจในคำตอบจนยอมสละเตียงนอนใหญ่ให้ Charles Darwin นอนให้สบาย ส่วนตัวเขาเองเอาผ้าไปปูนอนบนพื้น ที่ผ่านๆมาบางคืนก็นอนกลางดินกินกลางป่าเขา แต่คืนนี้ คืนวันที่ 20 พฤศจิกายน 1833 Charles Darwin ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในบ้านของคนแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยตลอดชีวิต
จากวันที่เรือ The beagle ออกเดินทางจากอังกฤษ คือ วันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1831 ถึง ต้นเดือน มิถุนายน ค.ศ. 1834 Charles Darwin สำรวจธรรมชาติฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกาใต้ ทั้งในทะเล และบนบก รวม 2 ปี 5 เดือน ผ่านป่าดงดิบ, ขุนเขา, พบสรรพสัตว์นานาพันธุ์ ในมหาสมุทร ได้ศึกษาพืช และ สัตว์ทะเล และเก็บตัวอย่างเพื่อการศึกษาต่อในอังกฤษมากมาย เผชิญกับภัยทั้งจากคนป่า อินเดียนพื้นเมือง และภัยจากธรรมชาติ ฝนหนัก,
ฝนแล้ง, หิมะ, และพายุในทะเล
(202)
22 ธันวาคม 1832
ที่ Cape Horn ปลายใต้สุดของทวีปอเมริกาใต้
22 December 1832
Cape Horn
“…a storm of wind and water. Great black clouds were rolling across the heavens, and squalls of rain, with hail, swept by us with such extreme violence…”
“ลม และน้ำ โหมกระหน่ำเป็นพายุรุนแรง เมฆดำมืดคลุมมิดปิดสวรรค์ ฝนกระพือ ลูกเห็บกระหน่ำกวาดผ่านเราไปด้วยอิทธิฤทธิ์สุดหาพลังใดเทียบได้”
11 มกราคม 1833
พายุแรงจัดจนหาที่หลบจอดเรือไม่ได้ ลอยลำอยู่กลางทะเล
(207)
12 มกราคม 1833
57 องศา 23 ลิปดา ใต้
12 January 1833
57 Degree 23’
“The gale was very heavy and we did not know exactly where we were.”
“พายุแรงมากเหลือเกินจนเราไม่รู้ว่าเรือของเราอยู่ที่ไหนกันแน่”
13 January 1833
“At noon a great sea broke over us…..The poor Beagle trembled at the shock, and a few minutes would not obey her helm; but soon like a good ship that she was, she righted and came up to the wind again. Had another sea followed the first our faith would have been decided soon, and for ever.”
“วันที่ 13 มกราคม 1833 เวลาเที่ยงวัน คลื่นทั้งทะเลโถมทับเข้าใส เรือ The Beagle ที่น่าสงสาร สั่นสะเทือน ทรงตัวไม่อยู่ ไม่ยอมอยู่ใต้บังคับนานหลายนาที แต่ในที่สุดเพราะความที่เป็นเรือที่ดี The beagle ก็ตั้งลำ รับลมได้ตามเดิม ถ้าหากว่าทะเลโหดร้ายกับเราอีกรอบหนึ่งต่อจากรอบแรกทันที ชะตากรรมของเราทั้งหมดก็คงจะถูกตัดสินไปแล้ว ...สู่นิรันด์กาล”
The Beagle เผชิญธรรมชาติทั้งโหดร้าย และสวยงามปลายแหลมอเมริกาใต้บริเวณช่องแคบ Magellan จนข้ามปี
(229)
8 มิถุนายน 1834
8 June 1834
Magdalen Channel
Mount Samiento
“We weighed anchored early in the morning and left Port Famine…..The wind was fair, but the atmosphere was very thick….jagged points, cones of snow, blue glaciers…The inanimate works of nature - rocks, ice, snow, wind, and water – all warring with each other, yet combined against man – here reigned in absolute sovereignty.”
“ เราถอนสมอ ออกเดินทางจาก Port Famine แต่เช้าตรู่ ลมโชยเบาๆ แต่บรรยากาศมืดหนัก...ยอดเขาเป็นแฉกแหลม ปกคลุมด้วยหิมะ ธารนำแข็งสีน้ำเงิน ฝีมืออันหนักแน่นสงบนิ่งของธรรมชาติ หิน น้ำแข็ง หิมะ ลม และ น้ำ ที่ต่างก็ต่อสู้เข่นฆ่ากันในสงครามแห่งพลังธรรมชาติ แต่ก็รวมเป็นพลังสามัคคีท้าทายมนุษย์ และมีชัยครอบครองเหนือมนุษย์ทั้งปวงบนโลกอย่างบริบูรณ์”
Charles Robert Darwin นักธรรมชาติวิทยา บรรยายความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติด้วยสำนวนแห่งวรรณกรรม .....
10 June 1834
South Desolation
วันที่ 10 มิถุนายน 1834
2 ปีครึ่ง ของการสำรวจธรรมชาติ และธรณีวิทยาฝั่งตะวันออกของอเมริกาใต้ The Beagle เดินทางจากฝั่งมหาสมุทร Atlantic มุ่งสู่ มหาสมุทร Pacific
ชื่อ "South Desolation" นั้น ผู้ที่ตั้งชื่อแต่แรกคงจะตั้งด้วยอารมณ์อันเกิดจากสภาพธรรมชาติเวิ้งว้างว่างเปล่าไร้แหล่งพักพิง ทำนองมังกรยักษ์นอนนิ่งในถ้ำกลางป่าลึกในหนังสือผจญภัยในดินแดนโบราณกลางโลก เรื่อง The Hobbit ของ J.R.R. Tolkein
East – West Furies คือชื่อช่องแคบเชื่อมทะเลตะวันออกเข้ากับทะเลตะวันตก ด้วย Furies หรือความพิโรธแห่งท้องทะเล
(230)
“One sight of such a coast is enough to make a landsman dream for a week about shipwrecks, peril, and death, and with this sight we bade farewell for ever to Tierra de Fuego.”
“มองดูเกาะแก่งชายฝั่งนี้เพียงครั้งเดียวก็พอที่จะทำให้ ผวาไปทั้งสัปดาห์ ฝันร้ายถึงเรื่องเรือแตกต้องมาติดค้างอยู่บริเวณนี้ ทรมานชีวิต ไป จนตาย ด้วยภาพสุดท้ายที่เห็น เราอำลาแผ่นดินไฟไปอย่างไม่มีวันกลับมาอีก”
The Beagle, Captain Fitz Roy, และ Charles Darwin เดินทางเลียบชายฝั่ง ศึกษาธรรมชาติฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้นาน 16 เดือน
(232)
Chiloe
“In Chiloe in peach seldom produces fruit, whilst strawberries and apples thrives to perfection”
“ที่เกาะ Chiloe ของ Chile ต้น peach ไม่คอยออกลูก ส่วน strawberries กับ apples นั้นให้ผลดกอุดมสมบูรณ์ที่สุด”
“Tree-fern thrive luxuriantly…and I measured and trunk no less than six feet in circumference…parrots abound.”
“ต้นเฟิร์นสูงเป็นต้นไม้ใหญ่ เขียวขจีไปทั่ว...ผมวัดขนาดเส้นรอบวงลำต้นได้ไม่ต่ำกว่า 6 ฟุต...นกแก้วเต็มไปทั่วหมู่เกาะ”
(241)
เมืองท่า Valparaiso ภาคกลางของ Chili
“Everything appeared delightful…the climate felt delicious – the atmosphere so dry, and the heavens so clear and blue with the sun shining brightly, that all nature seemed sparkling with life.”
“ทุกอย่างดูสดสวย อากาศรู้สึกสุดสบาย บรรยากาศแห้ง สวรรค์ใสกระจ่าง ฟ้าสีคราม ต้องแสงงจ้าจากดวงตะวัน ธรรมชาติช่างเพียบพร้อมคึกคักด้วยเปล่งประกายแห่งสรรพชีวิต”
Charles Darwin เดินทางทางบก ศึกษาเทือกเขา Andes อันเป็นส่วนหนึ่งของแนวเทือกเขาที่เรียกชื่อว่า The Cordillera ซึ่งทอดตัวยาวตลอดชายฝั่งตะวันตก ติดมหาสมุทร Pacific ของเอเมริกาใต้ ในส่วนของประเทศ Chile , Peru และ Ecuador เทือกเขา Cordillera นี้ยาวต่อเนื่องเป็นระบบเทือกเขาเดียวกันไปจนถึงอเมริกาเหนือ จรด Canada ที่นี่ Charles Darwin ได้เห็นความมีอัธยาศัยไมตรีอันดีของชาวพื้นเมือง ทั้งที่ Chile และทุกหนแห่งในอเมริกาใต้
19 January 1835
San Carlos
วันที่ 19 มกราคม 1835
ที่ San Carlos กลางดึก ภูเขาไฟสามลูกห่างไกลกัน แต่พร้อมใจกันระเบิดกึกก้องมองเห็นจากระยะไกล ภูเขาไฟ Orsono Aconcagua ห่างไปทางเหนือ 450 ไมล์ Consequina เหนือ Aconcaguaไปอีก 2,700 ไมล์ แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นรู้สึกได้ในบริเวณ 100 ไมล์
อีกหนึ่งเดือนถัดมา
20 กุมภาพันธ์ 1835
20 February 1835
Valdivia
เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมือง Valdivia ขณะ Charles Darwin อยู่บนฝั่งพอดี แผ่นดินเลื่อนนาน 2 นาทีเต็ม อาคารบ้านเรือน ผู้คนในชุมชนได้รับความเสียหายราบเรียบ
วันที่ 4 มีนาคม 1835
เมื่อCharles Darwin เดินทางไปถึงเมือง Concepcion และเมือง Talcahuano จึงทราบว่าที่นี่เกิดคลื่นยักษ์จากทะเลพัดพังทลายเมืองทั้งเมืองพินาศ ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ วันเดียวกันกับที่ Darwin พบกับเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ Valdivia ก่อนที่ชาวญี่ปุ่นจะตั้งชื่อคลื่นยักษ์ว่า Tsunami 170 ปี Charles อธิบายปรากฏการณ์แบบเดียวกันโดยเรียกว่า “The Great Wave” หรือ “คลื่นยักษ์”
Charles Darwin อธิบาย จากคำบอกเล่าของชาวบ้านว่า:
(293-294)
“In almost every severe earthquake, the neighbouring waters of the sea are said to have been agitated. The disturbance seems generally, as in the case of Concepcion, to have been two kinds: first, at the instant of the shock, the water swells high up on the beach with a gentle motion, and then as quietly retreats; secondly, some time afterwards, the whole body of the sea retires from the coast, and then return in waves of overwhelming force.”
“เวลาเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงทุกครั้ง น้ำทะเลบริเวณใกล้เคียงจะถูกรบกวน ในกรณีของเมือง Concepcion ครั้งนี้ ดูเหมือนว่าน้ำทะเลจะถูกรบกวนสองแบบ คือตอนแรกทันที่ที่เกิดแผ่นดินไหว นำทะเลจะสูงขึ้นบริเวณชายหาดอย่างช้าๆนุ่มนวล จากนั้นก็ค่อยๆลดระดับลงอย่างเงียบๆ หลังจากนั้นต่อมาไม่นาน น้ำทั้งหมดที่ชายฝั่งก็ถอยลดระดับลงไป แล้วก็โหมกลับมาท่วมทับฝั่งด้วยพลังมหาศาล”
คลื่นยักษ์ที่ทำลายเมือง Talcahuano สูงถึง 23 ฟุต เห็นแต่มาแต่ไกลถึง 2-3 ไมล์
เดือนกรกฎาคม 1835
The Beagle เดินตามแนวชายฝั่ง Peru
เดือนกันยายน 1835
The Beagle ถึงเกาะสวรรค์แห่งวิวัฒนาการชีวิต ชื่อหมู่เกาะ Galapagos ของ Equador
จาก Callao, Lima เลียบชายฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้แนวประเทศ Peru เรือ The Beagle เดินทางถึงหมู่เกาะ Galapagos วันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1835 รวมวันเวลาถึงตอนนี้ได้ 3 ปี 8 เดือน 20 วัน หลังจากเริ่มออกเดินทางจากอังกฤษเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม1831
Charles Darwin บันทึกว่า:
(354)
“This archipelago consists of ten principal islands, of which five exceed the others in size….directly under the equator…volcanic rocks…mud…2,000 craters…sandstone…the climate is far from being excessively hot”
“หมู่เกาะแห่งนี้ประกอบด้วยเกาะสำคัญๆ 10 เกาะ ซึ่ง 5 เกาะมีขนาดใหญ่กว่าเกาะอื่นที่เหลือ....ตั้งอยู่ในตำแหน่งใต้เส้นศูนย์สูตรพอดี...เต็มไปด้วยหินจากภูเขาไฟในอดีต...โคลน... หลุมที่เกิดจากภูเขาไฟมีราว 2,000 หลุม...หินทรายเป็นโครงสร้างสำคัญ...อากาศไม่ถึงกับร้อนมากมายนักเพราะกระแสน้ำเย็นจากขั้วโลกใต้"
ธรรมชาติบนหมู่เกาะ Galapagos ที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทร Pacific ห่างจากแผ่นดินใหญ่ทวีปอเมริกาใต้ ระหว่าง 500-600 ไมล์ (800-960 กิโลเมตร) สร้างความแปลกประหลาดและฉงนสนเท่ห์ในใจของ นักธรรมชาติวิทยาหนุ่มจากมหาวิทยาลัย Cambridge ยิ่งนัก
(356)
17 September 1835
Chatham Island
“…and such wretched-looking little weeds would have better become an arctic than and equatorial flora.”
17 กันยายน 1835
Charles Darwin ออกเดินทางเก็บตัวอย่างพันธุ์พืช พบว่าหญ้าที่ดูผอมยาวน่าจะเป็นพวกหญ้าเขตขั้วโลกเหนือมากกว่าที่มาอยู่ในเขตศูนย์สูตรเช่นนี้
เรือ The Beagle ตระเวน ไปทอดสมอในบริเวณอ่าวหลายแห่งรอบๆเกาะ Chatham
“One night I slept on shore on a part of the island, where black truncated cones were extraordinarily numerous: from one small eminence I counted sixty of them…”
“มีคืนหนึ่ง ผมขึ้นไปนอนบนฝั่ง ซึ่งเต็มไปด้วยช่องปล่องทางระบายของภูเขาไฟสีดำแตกไม่เป็นระบบระเบียบมากมาย นับเฉพาะจุดที่มองมุมแคบๆนับได้ถึง 60 ปล่อง สูงตั้งแต่ 50 ถึง 100 ฟุต”
ตอนที่เดินสำรวจเกาะ Charles Darwin ก็ได้พบกับสมาชิกสำคัญของหมู่เกาะ Galapagos ที่ปัจจุบันคือชีวิตที่คนทั้งโลกหาโอกาสไปชมด้วยตาของตนเอง
(356-357)
“As I was walking along I met two large tortoises, each of which must have weighed at least 200 pounds: one was eating a piece of cactus, and as I approached, it stared at me and slowly stalked away;…The few dull-coloured birds cared no more for me, than they did for the great tortoises.”
“ขณะที่ผมเดินไปเรื่อยๆนั้น ก็ไปเจอเต่ายักษ์สองตัว แต่ละตัวน้ำหนักอย่างน้อย 200 ปอนด์ ตัวหนึ่งกำลังเคี้ยวตะบองเพชรแท่งหนึ่งอยู่ พอผมขยับเข้าไปใกล้ๆ มันก็หันมาจ้องหน้าผมหน่อยหนึ่ง แล้วก็ค่อยๆคลานต่อไปข้างหน้า... นกสีทึมๆสองสามตัวไม่สนใจอะไรผมเลย พอๆกับที่มันไม่สนใจเต่ายักษ์สองตัวนั้น”
คนที่นี่ยากจนแต่อาหารไม่มีขาดแคลน
เต่ายักษ์เป็นอาหารหลักของชาวเกาะ Galapagos นักเดินเรือ นักรบชาวทะเล พ่อค้าวาณิชย์จากต่างแดนมาเยี่ยมเยือน Galapagos นานกว่า 150 ปีแล้ว ชาวบ้านว่าบางวันเรือลำเดียวจับเต่ายักษ์ไปได้ถึง 700 ตัว เรือเล็กหน่อยก็ได้ 200 ตัว แม้ทุกวันนี้จำนวนเต่าจะลดลงไปบ้าง แต่ชาวเกาะบอกว่าหากออกไปล่าเต่าเพียงสองวันก็มีอาหารพอกินไปตลอดสัปดาห์
ระหว่างวันที่ 8 ถึง 15 ตุลาคม ปี ค.ศ. 1835 Charles Darwin นอนบนเกาะ James Island
“…, we lived entirely upon tortoises – meat: the breast-plate roasted ……, with the fresh on it, is very good; and the young tortoises make excellent soup; but otherwise the meat to my taste is indifferent.”
Charles Darwin เล่าว่า:
“เรากินแต่เนื้อเต่ายักส่วนเนื้อหน้าอกติดแผ่นกระดูกย่างกินอร่อยมาก เนื้อลูกเต่าเอามาต้มซุปสุดยอดเลย แต่ว่าเฉพาะเนื้อเต่าล้วนๆผมว่าก็ยังงั้นๆแหละ”
ชาวเกาะ Galapagos นิยมกินน้ำจากกระเพาะปัสสาวะของเต่ายักษ์ และน้ำในเยื้อหุ้มหัวใจเต่ายักษ์ก็อร่อยยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ใช่เรื่องรสชาติของเนื้อเต่า แต่ที่น่าทึ่งคือองค์ประกอบของชีวิตพืชและสัตว์ทั้งบนบกและในทะเลรอบๆหมู่เกาะ Galapagos แห่งนี้เอง หากจะนับจำนวนชนิดพันธุ์ หรือ Species
ก็มีจำนวนชนิดพันธุ์ไม่มาก แต่จำนวนสัตว์ในแต่ละชนิดพันธุ์นั้นชุกชุมมากมายจริงๆ เต่ายักษ์มี 2-3 ชนิดพันธุ์ เต่าทะเลก็มีมากกว่า 1 ชนิดพันธุ์ ทั้งๆที่สภาพป่าชื้นก็เอื้ออำนวยก็ชีวิตกบเขียด แต่ที่นี่ก็ไม่พบกบหรือเขียดเลย แต่สัตว์เลื้อยคลานประเภทกิ้งก่า ตะกวด มีมากมายมหาศาล หากจะมีการกระจายพันธุ์ด้วยการเดินทางข้ามเกาะ หรือมาจากแผ่นดินใหญ่ ไข่กบที่อ่อนนุ่ม คงจะทนทานแรงคลื่นลมไม่ได้เท่ากับไข่กิ้งก่ายักษ์ทั้งหลาย แต่ก็เป็นไปได้ว่าชีวิตสัตว์ที่ที่เกิดและเติบโตกันเองที่นี่แต่แรกเริ่ม ไม่ได้อพยพมาจากแผ่นดินอื่นเลย โดยเฉพาะเต่ายักษ์ เป็นสัตว์เฉพาะถิ่นที่นี่เท่านั้น ไม่เคยพบเต่ายักษ์ชนิดพันธุ์ Galapagos นี้ ณ ที่อื่นใดในโลก ปลาทะเลย่านนี้ ทั้งหมด 15 ชนิดพันธุ์ที่จับมาได้เป็นชนิดพันธุ์ใหม่ทั้งหมด หอยที่เก็บตัวอย่างได้บนบก 15 ใน 16 ชนิดพันธุ์ เป็นพันธุ์ใหม่ที่พบที่ Galapagos แห่งเดียว สำหรับพืชพรรณไม้ต่างๆ Darwin เก็บตัวอย่างนำกลับอังกฤษ 193 ชนิดพันธุ์ จาก 225 ชนิดพันธุ์ที่ศึกษาบนหมู่เกาะ พบว่ามี อย่างน้อยไม้ดอก 100 ชนิดพันธุ์เป็นพันธุ์ท้องถิ่นโดยแท้ ธรรมชาติบนเกาะไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยของพวกแมลง แต่แมลงประเภทปีกแข็งที่เรียกว่า beetles หรือแมลงเต่าสีต่างๆที่เก็บมาได้ /25 ชนิดพันธุ์ เกือบทั้งหมดเป็นชนิดพันธุ์ใหม่พบที่นี่เท่านั้น ยิ่งมาพบนก Finches ซึ่งเป็นชนิดพันธุ์นกกระจอกต่างๆ ก็น่าทึ่งเป็นอย่างมากที่มีชนิดพันธุ์ที่แตกต่างกันหลายรูปแบบ สังเกตชัดเจนจากจะงอยปากนกที่มีขนาดสั้นยาวต่างๆกันหลายขนาด นกที่ Galapagos เชื่องเป็นที่สุด:
(395)
มันจะไม่กลัวคนเลย บินมาเกาะหมวด เกาะแขน เกาะเหยือกน้ำ ยกเหยือกดื่มน้ำนกยังไม่บินหนีเลย เด็กๆจับนกไปกินได้เลยโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใดๆ
Charles Darwin รำพึงรำพันว่า:
(379)
“It would appear that the birds of this archipelago, not having yet learnt that man is more dangerous than the tortoises or the amblyrhychus.”
“ดูประหนึ่งว่านกที่หมู่เกาะเหล่านี้ ยังไมได้เรียนรู้เลยว่ามนุษย์นั้นร้ายกาจกว่าเต่ายักษ์และกิ้งก่ายักษ์และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหลายยิ่งนัก”
ทำไมหมู่เกาะ Galapagos จึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ที่เป็นพันธุ์เฉพาะพื้นที่ เป็นของตัวเอง และแต่ละเกาะในหมู่เกาะทั้งหมดก็มีชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ที่แตกต่างกันทั้งๆที่แต่ละเกาะก็ห่างกันเพียงระยะมองเห็นกันได้ ขณะเดียวกันที่มีความแตกต่าง ก็มีลักษณะชนิดพันธุ์ที่เชื่อมโยงกับพืชและสัตว์บนฝั่งอเมริกา มากกว่าชีวิตในมหาสมุทร Pacific
อาจเป็นเพราะลักษณะกระแสน้ำใต้มหาสมุทรที่มาจากทิศตะวันตก และตะวันตกเฉียงเหนือ แยกสภาพแวดล้อมส่วนเหนือ กับส่วนใต้ให้ต่างกัน เกาะ James Island และ Albemarle ก็ถูกแยกออกจากกลุ่มเกาะทางเหนือด้วยกระแสน้ำตะวันตกเฉียงเหนือ นอกจากนั้น Galapagos ก็ปลอดจากอิทธิพลของพายุลมแรงจากมหาสมุทร ยากที่พันธุ์พืชและสัตว์จากต่างแดนจะพัดพามาถึงจนเกิดและเติบโตได้ง่ายนัก
(378)
“…highly unlikely that they were ever connected.”
แถมเกาะแต่ละเกาะก็ดิ่งลึกเป็นหน้าผาใต้สมุทร จนอาจเรียกได้ว่าแต่ละเกาะแทบจะไม่มีแผ่นดินแผ่นหินติดกันเลย
Charles Darwin สรุปว่า:
(373-374)
“If, therefore, we except the eighteen marine, the one fresh-water, and one land-shell, which have apparently come here as colonists from the central islands of the Pacific, and likewise the one distinct Pacific species of the Galapageian group of finches, we see that this archipelago, though standing in the Pacific Ocean, is zoologically part of America.”
“หากยกเว้นให้ว่ามีหอยทะเล หอยน้ำจืด และหอยบก 18 ชนิดพันธุ์กระจายพันธุ์ข้ามมาจากเกาะกลางมหาสมุทร Pacific และมีนกชนิดพันธุ์นกกระจอกหรือนก Finches กลุ่มหนึ่งจาก Pacific ก็บอกได้ว่า หมู่เกาะ Galapagos ที่อยู่ในมหาสมุทร Pacific แห่งนี้มีลักษณะกลุ่มและชนิดพันธุ์สัตว์เชื่อมโยงกับทวีปอเมริกามากกว่า”
(374)
“…but we see that the vast majority of all the land animals, and that more than half of the flowering plants, are aboriginal productions. It was most striking to be surrounded by new birds, new reptiles, new shells, new insects, new plants, and yet by innumerable trifling details of structure, and even by the tones of voice and plumage of the birds, to have the temperate plain of Patagonia, or the hot dry deserts of northern Chile, vividly before my eyes.”
“แต่เราก็เห็นแล้วว่าสัตว์บกที่นี่ส่วนใหญ่ และไม้ดกมากกว่าครึ่ง เป็นผลผลิตชีวิตของท้องถิ่นพื้นเมืองโดยแท้ มันน่าทึ่งยิ่งนัก ที่ได้มายืนอยู่ท่ามกลางนกชนิดพันธุ์ใหม่ สัตว์เลื้อยคลานพันธุ์ใหม่ หอยพันธุ์ใหม่ แมลงชนิดพันธุ์ใหม่ พืชพรรณชนิดใหม่ แต่กระนั้นเมื่อพิจารณาโครงสร้างโดยถี่ถ้วน แม้กระทั่งฟังเสียงร้อง และสังเกตสีสวยสดของขนนก ก็จะประหนึ่งว่าธรรมชาติพืชและสัตว์ในแถบที่ราบสูงอันหนาวเย็นแห่งPatagonia หรือเขตร้อนแห่งทะเลทรายทางเหนือของ Chile ปรากฏอยู่ชัดเจนต่อหน้า”
(359)
“Hence, both in space and time, we seem to be brought somewhat near to that great fact --- that mystery of mysteries --- the first appearance of new beings on this earth”
“ดั่งนี้แล้ว ทั้งโดยสภาวะแห่งอวกาศและกาลเวลา ดูเหมือนเราจะถูกนำพาให้เข้าไปใกล้กับความจริงอันยิ่งใหญ่นั้น – นั่นก็คือความลึกลับแห่งความลึกลับทั้งปวง – ว่าด้วยกำเนิดของชีวิตชนิดใหม่บนโลกมนุษย์”
35 วันบนเกาะ Galapagos Charles Robert Darwin ผันแปรวิถีชีวิต และวิธีคิดจากนักวิทยาศาสตร์ นักธรรมชาติวิทยา กลายเป็นนักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ผู้เปลี่ยนแปลงความเข้าในกำเนิดสรรพชีวิตบนโลกมนุษย์ในอีก 24 ต่อมา
20 ตุลาคม ค.ศ. 1835
The Beagle และ Charles Robert Darwin ออกเดินทางจาก Galapagos มุ่งสู่ Tahiti และ New Zealand
(382)
20 October 1835
“The survey of the Galapagos Archipelago being concluded, we steered towards Tahiti and commenced our long passage of 3200 miles. In the course of a few days we sailed out of the gloomy and clouded ocean-district which extends during the winter far from the coast of South America. We then enjoyed bright and clear weather, while running pleasantly along the rate of 150 or 160 miles a day before the steady trade wind.”
วันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1835
“เมื่อการสำรวจหมู่เกาะ Galapagos จบสิ้นลง เราก็เดินทางมุ่งสู่ Tahiti อันเป็นการเริ่มเส้นทางเดินเรือไกล 3,200 ไมล์ ชั่วเวลาเพียงไม่กี่วันเราก็แล่นเรือพ้นย่านมหาสมุทรที่มัวมืดด้วยหมู่เมฆที่ปกคลุมต่อเนื่องจากชายฝั่งอเมริกาใต้หน้าหนาว จากนั้นเราก็มีแต่ความสุขกับอากาศที่สดใสกระจ่างแจ้ง ขณะที่เรือ วิ่งไปด้วยความเร็วราว 150 – 160 ไมล์ต่อวัน โดยลมสินค้าที่คงที่สม่ำเสมอ”
The Beagle ใช้เวลา 25 วันก็ถึงเกาะ Tahiti Charles Darwin อยู่ที่นี่จากวันที่ 15 ถึง 26 พฤศจิกายน รวม 11 วันของการศึกษาธรรมชาติ ธรณีวิทยา และชีวิตผู้คน ซึ่ง Charles Darwin มีแต่ความชื่นชมธรรมชาติ และผู้คนที่นี่
วันแรกที่สัมผัส Tahiti ด้วยเพียงสายตามองจากเรือสู่ชายฝั่ง Darwin ก็ชมว่า:
(383)
“Tahiti, an island which must for ever remain classical to voyager in the South sea..”
Tahiti เป็นเกาะที่จะเป็นอมตะในหัวใจของนักเดินเรือทะเลใต้อย่างไม่มีวันลืมเลือนได้เลย”
ชาว Tahiti หันมานับถือศาสนาคริสต์กันหมดแล้วด้วยความพยายามเผยแผ่ศาสนาของพวก Missionary
(393)
“Tahitians…merry and happy faces…morality and religion creditable…”
“ชาว Tahiti หรือที่เรียกว่า Tahitians ร่าเริงสุขเกษม และอยู่ในศีลธรรมแห่งศาสนา”
(385)
ตอนที่ไปเดินขึ้นเขา ชาวบ้านต้อนรับด้วย "hot roasted banana" หรือ "กล้วยปิ้ง", pineapple/สัปปะรด, และ coconut/มะพร้าว
“After walking under a burning sun, I do not know anything more delicious than the milk of a young coconut”
“หลังจากเดินภายใต้แสงแดดร้อนระอุมาเหนื่อยๆ อะไรมันจะสุดยอดไปยิ่งกว่าความอร่อยของน้ำมะพร้าวอ่อน”,
Darwin ใช้คำว่า "milk" ซึ่งคงจะหมายถึงน้ำมะพร้าวอ่อนมากกว่าจะเป็นน้ำกะทิ ทุกหนแห่งที่เดินสำรวจ จะพบกล้วยป่าเต็มไปหมด ต้นฝรั่งก็มากมายจนดูเหมือนวัชพืช ปลูกกระท่อมนอนกลางป่ามีหัวมันป่ากินอุดมสมบูรณ์
26 November 1835
The Beagle จาก Tahiti ไปพร้อมกับความชื่นชมยกย่องสดุดี อีก 23 วันต่อมา ถึง New Zealand ที่ Darwin ไม่มีอะไรจะชื่นชมนัก
วันที่ 19 ถึง 30 ธันวาคม ค.ศ. 1835 เป็น 11 วันที่ Darwin บันทึกว่า:
"ชาวพื้นเมืองสกปรกมาก เสื้อผ้าไม่เคยซัก ไม่มีอารยะธรรม เอาแต่สู้รบกับระหว่างเผ่าพันธุ์ มีดีอย่างหนึ่งคือธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ จนชาวพื้นเมืองไม่ต้องทำอะไรก็มีอาหารกินจากธรรมชาติ"
(408)
30 December 1835
“In the afternoon we stood out of the Bay of Islands, on our course to Sydney. I believe we were all glad to leave New Zealand. It is not a pleasant place. Among the natives there is absent that charming simplicity which is found at Tahiti; And the greater part of the English are the very refuse of society. Neither is the country itself attractive.”
“บ่ายวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1835 เราออกเดินทางถอยออกจาก the Bay of the Islands หรืออ่าวแห่งหมู่เกาะ มุ่งหน้าเส้นทางสู่ Sydney ผมเชื่อว่าเราทั้งหมดดีใจที่จะได้จาก New Zealand ไป ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่น่าอยู่เลย ในหมู่ชาวพื้นเมืองก็ไม่มีความน่ารักอย่างเรียบง่ายอย่างที่พบที่ Tahiti ส่วนพวกอังกฤษที่มาอยู่ที่นี่ก็ล้วนแล้วเป็นคนที่สังคมปฏิเสธมาจากอังกฤษทั้งนั้น และภูมิประเทศเองก็ดูไม่สวยงามอะไรเป็นพิเศษ”
(408-409)
12 January 1836
The Beagle เดินทางเข้า เมืองท่า Port Jackson ทอดสมอที่อ่าว Sydney ที่นี่ Darwin อธิบายว่าเป็นความเจริญที่ชาวอังกฤษมาสร้างให้
“It is the most magnificent testimony to the power of the British nation”
“เป็นเครื่องชี้ชัดถึงพลังของชนชาติอังกฤษอย่างแท้จริง”
12 มกราคม ถึง 14 มีนาคม 1836
แม้จะมีเวลาทำความรู้กับกับ Australia เพียง สองเดือน แม้จะออกตัวว่าไม่ใช่เวลามากพอที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับ Australia ได้อย่างถูกต้อง แต่ Charles Darwin ก็อดไม่ได้ที่จะมีความเห็นเรื่องชีวิตและสังคมที่นักโทษอังกฤษถูกเนรเทศมาอยู่นี้ว่า:
(411-412)
The aborigines: a few degrees higher in the scale of civilization than the Fuegians”
“พวกชนพื้นเมืองก็มีระดับความเจริญสูงกว่าพากคนเถื่อน Fuegians ที่อเมริกาใต้เพียงนิดเดียว”
“… a set of harmless savages wandering about without knowing where they shall sleep at night, and gaining their livelihood by hunting in the woods.”
“กลุ่มคนป่าเถื่อนที่ไม่มีอันตรายอะไรกับใครนี้ได้แต่เดินท่องไปอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าค่ำนี้จะนอนที่ไหน รุ่งขึ้นก็เข้าป่าออกล่าสัตว์กินเป็นอาหาร”
เหล่าชาวยุโรปก็มีแต่เอาสุรายาเมาและโรคติดต่อมาให้:
(412)
“Where the European has trod, death seems to pursue the aboriginal.”
“ที่ไหนชาวยุโรปไปถึง ที่นั่นก็มีแต่ความตายที่ชาวยุโรปหยิบยื่นให้ชนพื้นเมือง”
ที่เกาะ Tasmania ชาวพื้นเมืองถูกชาวยุโรปอังกฤษผู้เข้ามารุกรานแผ่นดินไล่ต้อนออกไปจนเกือบหมดทั้งเกาะ ทั้งยิงทั้งฆ่าทั้งบังคับขนย้ายออกไปให้พ้นเกาะ
(421)
“I was disappointed in the state of society---being surrounded by convict servants --- the vilest expression,…vile idea…my opinion is such that nothing but rather sharp necessity should compel me to emigrate.”
คนอังกฤษระดับชนชั้นสูงบังคับเลี้ยงดูคนอังกฤษชั้นต่ำที่เป็นนักโทษเนรเทศให้รับใช้ในบ้าน ซึ่งความต่ำชั้นของพวกนักโทษก็สะท้อนออกมาเป็นลักษณะนิสัยอันหยาบคาย Charles Darwin เศร้าใจในสังคมคนอังกฤษที่มาตั้งอาณานิคมใน Australia เป็นอย่างยิ่ง เขาสรุปว่า หากไม่จำเป็นจริงๆแล้วไม่มีทางที่เขาจะอพยพมาตั้งรกรากที่ Australia นี่แน่นอน แต่ Charles Darwin ก็มองเห็นศักยภาพการเจริญเติบโตของ Australia ทางเศรษฐกิจและการค้าที่อาจทำให้ Australia เป็นศูนย์กลางของอำนาจในมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ได้ แต่ก็ยังมีหลายอย่างที่ไม่พร้อม
14 March 1836
“Farewell, Australia! You are a rising child, and doubtless someday will reign a great princess in the south: but you are too great and ambitious for affection, yet not great enough for respect. I leave your shore without sorrow or regret.”
วันที่ 14 มีนาคม ค.ศ. 1836
“ลาก่อน Australia! เธอนั้นเหมือนเด็กกำลังเริ่มโต สักวันวันหนึ่งเถิดเธอจะกลายเป็นเจ้าหญิงผู้ยิ่งใหญ่แห่งทะเลใต้ : แต่เธอนั้นยิ่งใหญ่และทะเยอทะยานจนเกินกว่าจะเรียกร้องให้ใครรักเธอได้ แต่เธอนั้นก็ยังไม่ยิ่งใหญ่พอที่ทำให้ใครๆเคารพเธอได้ ผมจากชายฝั่งของเธอไปอย่างไม่ทุกข์โศกหรือเสียดายอะไรทั้งสิ้น”
1 April 1836
Keeling / Cocos Islands
1 เมษายน 1836
The Beagle เดินทางแวะที่หมู่เกาะ Keeling หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าหมู่เกาะ Cocos หรือเกาะมะพร้าว ที่นี่ทุกชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคน หมู ปู ปลา กินมะพร้าวเป็นอาหารสำคัญ Darwin ศึกษาธรณีวิทยาและธรรมชาติของหมู่เกาะปะการังที่นี่อย่างละเอียด
29 April 1836
Mauritius / Isle of France
29 เมษายน 1836
เดินทางต่อไปยังเกาะ Mauritius ดินแดนของฝรั่งเศสกลางมหาสมุทรอินเดีย
9 May 1836
Cape of Good Hope
วันที่ 9 พฤษภาคม 1836
The Beagle ผ่านแหลม Good Hope ปลายใต้สุดของทวีปอัฟริกา
8 July 1836
St. Helena
8 กรกฎาคม 1836
แวะเกาะ St. Helena ที่ฝังศพจอมจักรพรรดิ Napolean
19 July 1836
Ascension
19 กรกฎาคม 1836 และเกาะภูเขาไฟ Ascension
1 August 1836
Bahia
1 สิงหาคม 1836
แวะ Bahia ประเทศ Brazil อีกครั้ง และพบความไม่เป็นมิตรที่ไม่น่าประทับใจที่เมือง Olinda
(473)
19 August 1836
“We finally left the shore of Brazil. Thank God, I shall never again visit a slave--country..”
"วันที่ 19 สิงหาคม 1836 ในที่สุดเราก็พ้นฝั่ง Brazil ขอขอบพระคุณพระผู้เป็นเจ้า ผมจะไม่มีวันกลับมาประเทศพวกค้าทาสประเทศนี้อีกเลย...”
2 October 1836
Falmouth, England
วันที่ 2 ตุลาคม 1836
กัปตัน Fitz Roy และเรือหลวง The Beagle พร้อมด้วย Charles Robert Darwin เดินทางกลับถึงอังกฤษโดยสวัสดิภาพ
หลังจากนั้นสามปีจึงเขียนหนังสือเรื่อง "The Voyage of the Beagle" พิมพ์ออกเผยแพร่ในปี 1839
จากนั้นอีก 20 ปี คือปี ค.ศ. 1859 โลกจึงได้อ่าน "On the Origin of Species"
แล้วมนุษย์บนโลกก็ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
สมเกียรติ อ่อนวิมล
จากหนังสือ The Voyage of the Beagle ของ Charles Darwin
206 ปี Charles Robert Darwin / 12 February 2015

ผลงานและบันทึกส่วนตัว ทุกเรื่องทุกชิ้น ทั้งต้นฉบับลายมือและฉบับสำนักพิมพ์ต่างๆ ของ Charles Darwin อยู่ในห้องสมุด University of Cambridge สหราชอาณาจักร และให้บริการฟรี โดยมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์จัดทำเป็น website ที่สมบูรณ์ ยกให้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาสาธารณะสำหรับมนุษยชาติ ทุกท่านสามารถเข้าไปคัดลอกทำสำเนา download มาใช้ได้อย่างเสรี Darwin Online ที่ http://www.darwin-online.org.uk