THAIVISION
  • REFLECTION
    • MORNING WORLD >
      • THAKSIN and ASEAN
      • THAKSIN 2010
      • BOBBY SANDS
    • IN CONTEXT >
      • CLASS WAR IN THAILAND?
      • ราชอาณาจักรแห่งบ่อนการพนัน
      • หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม
      • SINGAPORE VS TRUMP'S TARIFF
      • สงครามการค้า สหรัฐฯ vs. ไทย
      • IN CONTEXT 17/2024 [Earth Day 1970-2024]
      • IN CONTEXT 16/2024
      • IN CONTEXT 15/2024
      • IN CONTEXT 14/2024
      • IN CONTEXT 13/2024
      • IN CONTEXT 12/2024
      • IN CONTEXT 11/2024
      • IN CONTEXT 10/2024
      • IN CONTEXT 9/2024
      • IN CONTEXT 8/2024
      • IN CONTEXT 7/2024
      • IN CONTEXT 6/2024
  • ON PLANET EARTH
    • EARTH
    • THE WORLD >
      • SCAM INC. (The Economist)
      • SOUTH-EAST ASIAN SEA
  • THAILAND
    • THE MONARCHY >
      • THE MONARCHY IN WORLD FOCUS
      • 9th KING BHUMIBOL- RAMA IX >
        • KING BHUMIBOL AND MICHAEL TODD
        • Queen Sirikit 1979
        • THE KING'S WORDS
        • THE KING AND I
      • 5th KING CHULALONGKORN >
        • KING CHULALONGKORN THE TRAVELLER
        • KING CHULALONGKORN THE INTERNATIONALIST
      • PHRA THEP (PRINCESS SIRINDHORN)
    • DEMOCRACY IN THAILAND
    • NATIONAL PARKS OF THAILAND >
      • KHAO YAI NATIONAL PARK
      • PHA TAEM NATIONAL PARK
      • PHU WIANG NATIONAL PARK
      • NAM NAO NATIONAL PARK
      • PHU HIN RONG KLA NATIONAL PARK
      • PHU KRADUENG NATIONAL PARK
      • PHU RUEA NATIONAL PARK
      • MAE YOM NATIONAL PARK
      • DOI SUTHEP-PUI NATIONAL PARK
      • DOI INTHANON NATIONAL PARK
      • THONG PHA PHUM NATIONAL PARK
      • KAENG KRACHAN NATIONAL PARK
      • MU KO ANG THONG NATIONAL PARK
      • MU KO SURIN NATIONAL PARK
      • MU KO SIMILAN NATIONAL PARK
      • HAT NOPPHARATA THARA - MU KO PHI PHI NATIONAL PARK
      • MU KO LANTA NATIONAL PARK
      • TARUTAO NATIONAL PARK
    • THAKSIN and ASEAN
  • AND BEYOND
  • THE LIBRARY
    • THE ART OF WAR by SUN TZU
    • SUFFICIENCY ECONOMY BY KING BHUMIBOL OF THAILAND
    • SOFT POWER (Joseph Nye, Jr.)
    • CONVERSATIONS WITH THAKSIN by Tom Plate
    • THE GREAT ILLUSION/Norman Angell
    • MORNING WORLD BOOKS >
      • CASINO ROYALE
      • 1984
      • A BRIEF HISTORY OF TIME
      • A HISTORY OF THAILAND
      • CONSTITUTION OF THE UNITED STATES
    • SCIENCE >
      • ประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์
      • HUMAN
    • DEMOCRACY IN AMERICA
    • FIRST DEMOCRACY
    • JOHN MUIR
    • MODELS OF DEMOCRACY
    • MULAN
    • THE VOYAGE OF THE BEAGLE
    • ON THE ORIGIN OF SPECIES
    • PHOOLAN DEVI
    • THE REPUBLIC
    • THE TRAVELS OF MARCO POLO
    • UTOPIA
    • A Short History of the World [H.G.Wells]
    • WOMEN OF ARGENTINA
    • THE EARTH : A Very Short Introduction
    • THE ENGLISH GOVERNESS AT THE SIAMESE COURT
    • TIMAEUAS AND CRITIAS : THE ATLANTIS DIALOGUE
    • HARRY POTTER
    • DEMOCRACY / HAROLD PINTER
    • MAGNA CARTA
    • DEMOCRACY : A Very Short Introduction
    • DEMOCRACY / Anthony Arblaster]
    • DEMOCRACY / H.G. Wells
    • ON DEMOCRACY / Robert A. Dahl)
    • STRONG DEMOCRACY
    • THE CRUCIBLE
    • THE ELEMENTS OF STYLE
    • THE ELEMENTS OF JOURNALISM | JOURNALISM: A Very Short Introduction
    • LOVE
    • THE EMPEROR'S NEW CLOTHES
    • THE SOUND OF MUSIC
    • STRONGER TOGETHER
    • ANIMAL FARM
    • POLITICS AND THE ENGLISH LANGUAGE
    • GEORGE ORWELL
    • HENRY DAVID THOREAU >
      • WALDEN
    • MAHATMA GANDHI
    • THE INTERNATIONAL ATLAS OF LUNAR EXPLORATION
    • พระมหาชนก
    • ติโต
    • นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ | A Man Called Intrepid
    • แม่เล่าให้ฟัง
    • SUFFICIENCY ECONOMY
    • พระเจ้าอยู่หัว กับ เศรษฐกิจพอเพียง
    • KING BHUMIBOL AND MICHAEL TODD
    • ... คือคึกฤทธิ์
    • KING BHUMIBOL ADULYADEJ: A Life's Work
    • THE KING OF THAILAND IN WORLD FOCUS
    • พระราชดำรัสเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ >
      • THE KING'S WORDS
    • TESLA INTERVIEW 1926
  • IN MY OPINION
  • S.ONWIMON
    • MY STORY
    • THE DISSERTATION
    • THE WORKS >
      • BROADCAST NEWS & DOCUMENTARIES
      • SPIRIT OF AMERICA
      • THE ASEAN STORY
      • NATIONAL PARKS OF THAILAND
      • HEARTLIGHT: HOPE FOR AUTISTIC CHILDREN IN THAILAND
    • SOMKIAT ONWIMON AND THE 2000 SENATE ELECTION
    • KIAT&TAN >
      • TAN ONWIMON >
        • THE INTERVIEW
    • THAIVISION

description of the world

the book of ser marco polo
the venetian concerning the kingdoms and marvels of the east
translated and edited, with notes, by colonel sir henry yule, r.e., c.b., k.c.s.i.,
corr. inst. france
third edition, revised throughout in the light of recent discoveries by henri cordier (of Paris)

in two volumes
with maps and illustrations
london
john murray, albemarle street, w.
​1903
​
[being the accounts of travels in china  between 1271 and 1295  by messer marco polo of venice
as told through  La Maistre Rusticien de Pise  also known as  'rusticiano']
Vertical Divider
Picture
Picture
Vertical Divider




THE BOOK OF SER MARCO POLO
THE VENETIAN CONCERNING THE KINGDOMS AND MARVELS OF THE EAST
TRANSLATED AND EDITED, WITH NOTES,
BY COLONEL SIR HENRY YULE, R.E., C.B., K.C.S.I.,

CORR. INST. FRANCE
​

THIRD EDITION, REVISED THROUGHOUT IN THE LIGHT OF RECENT DISCOVERIES 
BY HENRI CORDIER (OF PARIS)
                                                   PROFESSOR OF CHINESE HISTORY AT THE ECOLE DES LANGUES ORIENTALES VIVANTES ;                                                                                                                         VICE-PRESIDENT OF THE GEOGRAPHICAL SOCIETY OF PARIS ; MEMBER OF COUNCIL OF THE SOCIE'TE' ASIATIQUE ;
HON. MEMBER OF THE ROYAL ASIATIC SOCIETY AND OF THE REGIA DEPUTAZIONE  VENETA DISTORIA PATRIA


WITH A MEMOIR OF HENRY YULE BY HIS DAUGHTER
AMY FRANCES YULE, L.A.SOC. ANT. SCOT., ETC.

IN TWO VOLUMES
WITH MAPS AND ILLUSTRATIONS

LONDON
JOHN MURRAY, ALBEMARLE STREET, W.
​1903
​
-

BEING THE ACCOUNTS OF TRAVELS IN CHINA  
BETWEEN 1271 TO 1295  
LATER TITLED
THE TRAVELS OF MARCO POLO
BY MESSER MARCO POLO OF VENICE
AS TOLD THROUGH  LA MAISTRE RUSTICIEN DE PISE  
ALSO KNOWN AS  'RUSTICIANO'


-

แปล และ บทนำ
โดย 
สมเกียรติ อ่อนวิมล

THAIVISION.COM
​2023

​
Vertical Divider
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Vertical Divider
บทนำ
​                                                             
    “เราอ่านหนังสือเพราะต้องการหาความรู้ ทำความเข้าใจกับสังคม โลก และเอกภพรอบโลกของเรา ที่สำคัญเราต้องการรู้จักและเข้าใจความเป็นอยู่ของตัวเราเอง มีหนังสือจำนวนมากที่เราอ่านเพราะชอบและต้องการอ่าน แต่ก็มีอีกจำนวนมากที่อ่านเพราะต้องอ่าน เพราะเป็นหนังสือดีไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม มีหนังสือภาษาอังกฤษจำนวนมากที่ผมอ่านเพราะชอบและต้องการอ่าน แต่ก็มีอีกจำนวนมากที่อ่านเพราะต้องอ่านด้วยเหตุที่เป็นหนังสือดีไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม หนังสือเหล่านี้เป็นงานเขียนอมตะที่โลกรู้จักและได้อ่านกันทั้งโลกมาเป็นเวลายาวนาน และจะต้องอ่านกันต่อไปอีกเป็นอมตะกาล”

    นี่เป็นหนังสือที่ยุ่งยากลึกลับซับซ้อนที่สุดในโลก อ่านกันมาก อ้างอิงกันมากที่สุดในโลก เชื่อกันมาก เถียงกันมากเพราะไม่เชื่อกันก็มาก ที่ไม่เคยอ่านเลยก็เหมาความเชื่อตามคำบอกเล่าได้ เป็นหนังสือที่ใช้อ้างถึงกันมากที่สุดในโลก แม้แต่ Christopher Columbus ก็ยังนำติดตัวไปเป็นคู่มืออ้างอิงระหว่างการเดินทางค้นพบทวีปอเมริกา เป็นหนังสือที่ถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์กันมากหลายเรื่อง รวมทั้งประเด็นโต้แย้งที่ว่าหนังสือ “The Travels of Marco Polo” มีจริงหรือเปล่า!
    หนังสือ “The Travels of Marco Polo” มีจริง อายุผ่านมากว่า 700 ปีแล้ว Marco Polo เกิดที่เมือง Venice ประเทศอิตาลี เมื่อปี ค.ศ.1254  ในปี 1260 พ่อชื่อ Nicolo Polo กับลุง(พี่ชายของพ่อ-มีข้อโต้แย้งว่าอาจเป็นน้องชายก็ได้ แต่หลักฐานจากงานค้นคว้าส่วนมากเห็นพ้องกันว่าเป็นพี่ชาย) ชื่อ Maffeo Polo ในฐานะพ่อค้าชาวเมือง Venice ในประเทศอิตาลี เดินทางไปค้าขายที่ Constantinople ต่อไป Crimea, Bokhara ต่อไปถึงเมืองจีนจนได้เข้าเฝ้าพระมหาจักรพรรดิ์ Kublai Khan เล่าเรื่องเมืองฝรั่ง (คนจีนเรียกชาวตะวันตกว่า Franks = ฝรั่ง) ให้พระองค์ฟังจนเป็นที่โปรดปรานและรับสั่งให้สองพี่น้องกลับไปยุโรปเพื่อเจริญพันธไมตรีกับพระสันตะปาปา แล้วให้กลับมาเมืองจีนอีกครั้งโดยให้นำนักบวชในศาสนาคริสต์มาสักร้อยคนพร้อมทั้งนำน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้บูชาพระศพพระเยซูกลับมาถวายด้วย สองพี่น้อง Polo จึงกลับยุโรปในปี 1269 พระสันตะปาปา Clement IV สิ้นพระชนม์ และ Marco Polo บุตรชายของ Nicolo อายุ 15 ปีพอดี สองพี่น้อง Polo คอยอยู่ที่ Venice สองปีก็ยังไม่มีการแต่งตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่จึงตกลงออกเดินทางกลับเมืองจีนเพื่อเข้าเฝ้าพระมหาจักรพรรดิ์ Kublai Khan พร้อมด้วยน้ำมันศักดิ์สิทธิ์เพื่อถวายพระมหาจักรพรรดิ์จักรพรรดิ์ตามที่ได้รับพระราชบัญชาจากพระองค์ โดยคราวนี้นำบุตรชาย คือ Marco Polo ซึ่งขณะนั้นอายุ 17 ปีร่วมเดินทางไปด้วยในปี 1271 ออกเดินทางไปไม่นานก็ทราบข่าวการแต่งตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ชื่อ Gregory X จึงย้อนกลับไปเมือง Acre รับนักบวชในศาสนาคริสต์สองคน (ไม่ถึงร้อยคนตามที่หวัง) ร่วมคณะไปด้วยมุ่งหน้าสู่เมืองจีนประมาณเดือนพฤศจิกายน ปี 1271 ไปได้ไม่ไกลนักบวชสองคนไม่กล้าเดินทางต่อจึงแยกตัวกลับยุโรป Marco Polo พร้อมกับพ่อและลุงจึงมุ่งหน้าสู่ราชสำนักพระมหาจักรพรรดิ์ Kublai Khan ต่อไป ผ่านความยากลำบากของธรรมชาติ สภาวะอากาศ ชุมโจรผู้ร้าย สงครามตามรายทาง และความวิจิตรตระการตา เรื่องราวอันพิศดารของผู้คนบ้านเมืองต่างๆที่ชาวยุโรปไม่เคยได้ยินได้เห็นมาก่อน ใช้เวลาสามปีครึ่งจึงเดินทางไปถึงราชสำนักพระจักรพรรดิ์ที่เมือง Kambaluc (Kanbalu, ปักกิ่ง) ประมาณเดือนพฤษภาคมในปี 1275 ถึงตอนนี้ Marco Polo อายุได้ 21 ปี Nicolo, Maffeo และ Marco Polo อยู่เมืองจีน ทำมาค้าขายและรับใช้พระมหาจักรพรรดิ์อย่างใกล้ชิดจนปี 1277 Marco Polo ได้รับแต่งตั้งให้เดินทางไปปฏิบัติราชการสำคัญในหลายพื้นที่ และได้ปกครองเมือง Yangchow อยู่ช่วงหนึ่ง ครอบครัว Polo ทั้งสามเจริญมั่งคั่งอยู่ในราชสำนักพระมหาจักรพรรดิ์ Kublai Khan นาน 20 ปีจึงได้โอกาสรับพระราชานุญาติให้เดินทางกลับ Venice โดยออกเดินทางกลับทางเรือจากเมือท่า Zayton ตอนต้นปี 1292 มุ่งหน้าทางทะเลทิศใต้ ผ่านสุมาตรา ชวา แหลมสุวรรณภูมิ ซีลอน (ศรีลังกา)  ถึงเปอร์เซียในเวลาสองปีเศษ แล้วเดินทางต่ออีกหนึ่งปีก็ถึง Venice บ้านเกิดในปี 1295 รวมเวลาเดินทาง ไป-อยู่ในเมืองจีน-เดินทางกลับ ทั้งหมด 24 ปี ตอนต้นปี 1298 เกิดสงครามระหว่างเมือง Venice และ Genoa และ Marco Polo เข้าร่วมรบเป็นผู้บัญชาการเรือรบลำหนึ่งจนถูกฝ่าย Genoa จับเป็นเชลยศึกประมาณเดือนกันยายนและถูกจำคุกในปีเดียวกัน Marco Polo ใช้เวลาว่างในคุกเล่าเรื่องการเดินทางและประสบการณ์ในเมืองจีนให้เพื่อนร่วมคุกชาวเมือง Pisa ชื่อ Rusticien (Rusticiano หรือ La Maistre Rusticien de Pise) เป็นผู้เขียนบันทึกออกมาเป็นต้นฉบับเริ่มแรกสุดในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี (ในปี 1299 – ในสมัยนั้นยังไม่มีการพิมพ์ การเขียนหนังสือต้องเขียนด้วยลายมือทั้งเล่ม หากจะทำสำเนาก็ต้องคัดลอกด้วยลายมือทุกฉบับเช่นกัน) ในปี 1307 Marco Polo ได้มอบสำเนาหนังสือ (ซึ่งตอนแรกนั้นเรียกชื่อว่า “Description of the World” ส่วนชื่อ “The Travels of Marco Polo” เป็นชื่อที่เรียกกันใหม่ในสมัยหลังจนปัจจุบัน) ให้กับขุนนางชาวฝรั่งเศส ซึ่งปัจจุบันยังรักษาไว้ที่หอสมุดที่กรุงปารีส และเป็นที่ยอมรับกันในวงการนักค้นคว้าเรื่อง Marco Polo ว่าเป็นต้นฉบับแรกเริ่มที่แท้จริง หลังจากกลับมา Venice แล้ว Marco Polo แต่งงานกับ Donata มีลูกสามคนเป็นหญิงทั้งหมด ชื่อ Fatina, Bellala และ Moreta ในปี 1324 Marco Polo ถึงแก่กรรม รวมอายุ  70 ปี 
    หนังสือ “The Travels of Marco Polo” บอกเล่าเรื่องราว ชีวิตความเป็นอยู่วัฒนธรรมประเพณี ธรรมชาติ พืชและสัตว์ ตลอดจนเรื่องราวของการเมืองการสงคราม พร้อมด้วยเรื่องมหัศจรรย์เหนือความคาดคิดของชาวตะวันตกในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก (ช่วงเดียวกับสมัยสุโขทัย) ก่อนหน้านั้นอาจจะมีชาวตะวันตกเคยเดินทางไปเมืองจีน (Cathay) กันบ้าง หรืออาจมีการเขียนเล่าเรื่องตะวันออกไกลจากคำบอกเล่าบ้าง แต่ไม่มีใครมีโอกาสและประสบการณ์ตรงเทียบเท่าการบอกเล่าของ Marco Polo ไม่มีใครไปสัมผัสเมืองจีนอย่างใกล้ชิดพระมหาจักรพรรดิ์ มีโอกาสได้เห็น และได้อยู่ในช่วงเวลายาวนานเท่า Marco Polo และพ่อกับลุงของท่าน จนกล่าวได้ว่าท่านอธิบายทวีปเอเชียได้อย่างละเอียดเป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นพระราชกิจ วิถีชีวิตในสำนักพระจักรพรรดิ์ Kublai Khan กระบวนการยุติธรรม (คณะตุลาการสูงสุดเรียก “Thai”)  การเมืองการปกครอง การผังเมือง (สถาปัตยกรรมในราชวังและตามหัวเมือง ถนน ลำคลอง สะพาน) การติดต่อสื่อสาร (ม้าเร็ว สถานีเปลี่ยนม้า โรงเตี๊ยม) การอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สนามหญ้า ปลูกไม้ป่า เลี้ยงสัตว์ พืชพันธุ์แปลกๆ สัตว์ประหลาด ฯลฯ) เทคโนโลยีการสงคราม (เครื่องยิงกระสุน) การผลิตและค้าขายสินค้า (ไหม เพชรพลอย อาหาร) การเงิน (ธนบัตรกระดาษ) สังคมชาวบ้าน การต้อนรับแขกเมือง การแต่งงาน ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม การประกวดนางงาม สิ่งที่สุดในโลก (สาวสวย อาหาร พืชผลน้ำใจไมตรี ความป่าเถื่อน) เรื่องประเทศหรือแว่นแคว้นต่างๆจากตะวันออกกลาง จนถึงเอเชียตะวันออก ญี่ปุ่น อินเดีย พม่า ไทย ชวา มาลายู ซีลอน เปอร์เชีย ฯลฯ สารพัดเรื่องราวที่ผู้อ่านต้องอ่านให้ตลอดอย่างละเอียด หลายเรื่องไม่น่าเชื่อในสมัยนั้น แต่ปัจจุบันกลายเป็นความจริง หลายเรื่องก็เล่าคลาดเคลื่อนจนนักค้นคว้ารุ่นหลังต้องค้นคว้าเพิ่มเติมและแก้ไขให้ถูกต้อง หลายเรื่องก็ยังคงเป็นที่กังขาว่า Marco Polo รู้ได้อย่างไร รู้จริงเห็นกับตาตัวเองหรือเปล่า หรือฟังใครเขาเล่ามา นักค้นคว้าบางกลุ่มถึงกับไม่ยอมเชื่อเลยว่า Marco Polo ไปเมืองจีนจริงๆ เพราะหากไป ทำไม่ไม่เคยพูดถึงกำแพงเมืองจีน ไม่เอ่ยถึงน้ำชา ไม่เล่าเรื่องประเพณีรัดเท้าหญิงสาวจีน แต่ที่จริงใน “The Travels of Marco Polo”   Marco Polo ก็บอกให้ชัดเจนเสมอว่าเรื่องใดเห็นมาด้วยตาตัวเอง หรือ เรื่องใดฟังเขาเล่ามาอีกต่อหนึ่ง 
    ปัญหาความถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนของ “The Travels of Marco Polo” นั้นอยู่ที่การมีต้นฉบับที่คัดลอกด้วยลายมือต่อเนื่องกันมานานนับร้อยปี ถ่ายทอดผ่านผู้แปลผู้คัดลอกหลายคน หลายฉบับสำเนา หลายภาษา เฉพาะที่เป็นต้นฉบับที่เรียกว่า Manuscripts (ย่อเอกพจน์ = MS, พหูพจน์ = MSS) นั้นมีถึง 85 ฉบับ (Appendix F หน้า 530 Volume II, “The Travels of Marco Polo”, The Complete Yule-Cordier Edition, Dover Publications, 1933 และ Manuel Komroff’s Introduction in “The Travels of Marco Polo”, Riveright Publishing Corp., 1926, 1930, 1953)
ในเกือบทุกภาษาของชาวฝรั่ง นักค้นคว้าบางคนก็ว่ามีถึง 119 MSS (Benjamin Colbert’s Introduction in “The Travels of Marco Polo”, Wordsworth Classics, 1977) การคัดลอก การแปล การแต่งเติมของนักแปล นักคัดลอก จึงย่อมก่อให้เกิดปัญหาที่นักค้นคว้ายุคหลังตั้งข้อสงสัยกันมาก แต่ไม่ว่าจะวิเคราะห์กันอย่างไร “The Travels of Marco Polo” เป็นหนังสือที่ต้องอ่าน เพราะเรื่องราวที่อ่านพบนั้นเป็นความรู้อันมหัศจรรย์ตระการตา ประทับใจ ยิ่งใหญ่มหาศาลและกาลเวลากับงานวิจัยค้นคว้าทั้งหลายก็พิสูจน์เป็นส่วนใหญ่แล้วว่าส่วนใหญ่เป็นความจริง ส่วนที่สงสัยก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าจริงหรือไม่จริง 
    ก่อนถึงแก่กรรมมีคนใกล้ชิดขอให้ท่านแก้ไขเรื่องที่เล่าให้ถูกต้องตามจริงเพราะอาจมีหลายคนสงสัย แต่ท่านก็ตอบว่าที่เล่านั้นจริงทั้งหมด แต่ “ข้าพเจ้ายังเล่าไม่หมดถึงครึ่งหนึ่งที่เห็นมาเลย!” [“I have not  told half of what I saw.” – อ้างจากหน้า xxiv ของหนังสือ “The Travels of Marco Polo” ปรับปรุงจากฉบับแปลของ William Marsden งานบรรณาธิการและเขียนบทนำโดย Manuel Komroff พิมพ์โดย Liveright Publishing Corporation,ISBN 0-87140-657-8 (New York, 1926, 1930, 19530) 370 หน้า]
“The Travels of Marco Polo”  ฉบับที่แปลเป็นภาษาอังกฤษเท่าที่รวบรวมได้ในปัจจุบันมีดังนี้ :

  1. “The Travels of Marco Polo”  แปลโดย William Marsden ในปี 1818, ปรับปรุงแก้ไขโดย T. Wright ในปี1854 ต่อมา Wordsworth Classics of World Literature นำมาพิมพ์ใหม่ ในปี 1977 โดยมี Tom Griffith เป็นบรรณาธิการ และเขียนคำนำโดย Benjamin Colbert, ISBN I-85326-473-3, (Great Britain, 1977), 285 หน้า
  2. “The Book of Ser Marco Polo the Venetian Concerning the Kingdoms and Marvels of the East” แปลประกอบคำอธิบายโดย Sir Henry Yule พิมพ์ครั้งที่ 1 ปี 1871 พิมพ์ครั้งที่ 2 ปี 1875 (ปรับปรุงแก้ไขโดย Sir Henry Yule)  พิมพ์ครั้งที่ 3 ปี 1903 (ปรับปรุงแก้ไขโดย  Henri Cordier โดยพิมพ์ออกมาต่อเนื่องกันสามครั้ง ครั้งที่สาม ปี 1929) แบ่งสองเล่มจบ (Volumes I & II) ต่อมามีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมโดย Henri Cordier เรียกผลงานชิ้นนี้ว่า “Ser Marco Polo : Notes and Addenda to Sir Henry Yule’s Ediition, Containing the Results of Recent Research and Discovery” พิมพ์ครั้งแรกโดย John Murray, London ปี 1920 ต่อมาสำนักพิมพ์ Dover Publications นำเอาฉบับปี 1903 กับผลงานค้นคว้าเพิ่มเติมในปี 1920 ทั้งหมดมาพิมพ์รวมกันแบ่งเป็นสองเล่มเรียกว่า “The Travels of Marco Polo” The Complete Yule-Cordier Edition, Volumes I & II, พิมพ์ครั้งแรกปี 1993 ISBN 0-486-27586-8 (New York, 1993) ความยาวทั้งสองเล่มรวมกัน 1,430 หน้า
  3. “Marco Polo - The Travels” (ชื่อหน้าปก) หรือ “The travels of Marco Polo” (ชื่อในเล่มหน้าแรก) แปลและเขียนบทนำโดย Ronald Latham พิมพ์โดย Penguin Books, ISBN 0-14-044057-7 (London,1958) 380 หน้า
  4. “The Travels of Marco Polo” ปรับปรุงจากฉบับแปลของ William Marsden งานบรรณาธิการและเขียนบทนำโดย Manuel Komroff พิมพ์โดย Liveright Publishing Corporation, ISBN 0-87140-657-8 (New York, 1926, 1930, 19530) 370 หน้า
  5. “The Travels of Marco Polo” แปลโดย Aldo Ricci (London,1931)
  6. “Marco Polo: The Travels” หรือ “The Description of the World”  แปลโดย A.C.Moule & Paul Pelliot  สองเล่มจากต้นฉบับสองแบบ (London, 1938)
  7. “The Travels of Marco Polo” แปลโดย Hugh Murray (Edinburgh, 1847) 


                                                               ------------------------------

Vertical Divider
Picture
Vertical Divider
VOLUME II
BOOK SECOND
PART I
​​CHAPTER  LI.
Wherein is Related How the King of Mien and Bangala Vowed Vengeance
​Against the Great Kaan.

ในบทนี้จะเล่าถึงเรื่องที่กษัตริย์แห่งเหมียนและบังกาลาสาบานว่า
จะล้างแค้นองค์มหาจักรพรรดิ์ข่าน.
          แต่ข้าพเจ้าลืมที่จะบอกท่านถึงเรื่องการสู้รบที่โด่งดังที่ราชอาณาจักร Vochan ในจังหวัด Zardandan และเรื่องนี้ก็ไม่สมควรที่จะถูกตัดออกไปจากหนังสือเล่มนี้ของเรา ดังนั้นเราก็จะขอเล่าเรื่องนี้อย่างละเอียดทุกด้าน
          คือว่า ในปีแห่งพระคริสต์ 12721  องค์มหาจักรพรรดิ์ข่านได้ส่งกองทัพขนาดใหญ่ไปยังราชอาณาจักรแห่ง Carajan และ Vochan เพื่อปกป้องภัยรุกรานจากพวกหมู่คนที่หวังทำร้าย เรื่องนี้เกิดก่อนที่พระองค์จะส่งพระราชโอรสองค์ใดองค์หนึ่งเข้าไปปกครองดินแดนทั้งสอง ดังที่ตอนหลังพระองค์ได้ทรงส่งพระโอรสของพระโอรส (หลาน) ของพระองค์ผู้สิ้นพระชนม์ก่อนหน้านี้ไปสถาปนาเป็นกษัตริย์พระนามว่ากษัตริย์ Sentemur
         ณ เวลานั้นและที่นั้นนั่นเองก็มีกษัตริย์องค์หนึ่งพระนามว่ากษัตริย์แห่งเหมียนและบังกาลา หรือเบงกอล [King of Mien and Bangala (เบงกอล)] ผู้มีอิทธิพลสูงมาก ครอบครองดินแดนมากมายพร้อมทั้งทรัพย์สมบัติและประชาชนพลเมืองจำนวนมากในราชอาณาจักรของเจ้าชายพระองค์นี้ และอาณาจักรนี้ก็ยังมิได้สวามิภักดิ์ต่อองค์มหาจักรพรรดิ์ข่าน แม้ว่าหลังจากที่กล่าวถึงนี้ไม่นานองค์มหาจักรพรรดิ์ข่านก็สามารถเข้าไปครอบครองและยึดสองอาณาจักรนี้มาได้2  ในตอนที่กษัตริย์แห่งเหมียนและบังกาลาได้ข่าวการยาตราทัพขององค์มหาจักรพรรดิ์ข่านไปถึง Vochan พระองค์จึงถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องต่อสู้ขัดขวางทัพขององค์มหาจักรพรรดิ์ข่านให้จงได้ โดยใช้กองทัพที่มีขนาดยิ่งใหญ่มหาศาลที่จะเข้าต่อสู้ตัดกำลังทัพขององค์มหาจักรพรรดิ์ข่านให้มลายสิ้น จะให้องค์มหาจักรพรรดิ์ข่านได้สำนึกเสียพระทัยให้มากๆเสียบ้างว่ามิควรเลยที่จะบังอาจข้าม [พรมแดน] แผ่นดินเหมียนและเบงกอล มารุกรานกัน
         ดังนั้นกษัตริย์แห่ง Mein และ Bangala จึงเตรียมสรรพกำลังและสรรพาวุธเพื่อทำสงคราม และข้าพเจ้าขอบอกว่ากำลงัทัพของพระองค์ท่านั้นมีช้าง 2,000 ตัว บนหลังช้างแต่ละตัวมีแคร่ให้ทหารหาญติดอาวุธนั่งพร้อมรบได้ 12 ถึง 16 นาย3 นอกจากนี้ยังมีพลเดินเท้าและทหารม้ารวม  60,000 นาย กล่าวโดยสรุปก็คือกองทัพนั้นพร้อมรบ และหึกเหิมที่ระรบเพื่อชัยชนะของเจ้าชายแห่งเหมียนและเบงกอล เป็นกองทัพที่จะสามารถทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้มากมายหลายเรื่อง
         และข้าพเจ้าจะบอกท่านต่อไปอย่างไรดี? เมื่อองค์กษัตริย์เตรียมการพร้อมสรรพอย่างยิ่งใหญ่พร้อมจะรบกับพวก Tartars แล้ว พระองค์ก็มิลังเล เคลื่อนขบวนทัพเข้าประจันหน้ากับพวก Tartars ทันทีเลย แล้วหลังจากเดินทัพไปนั้นก็ไม่พบอะไรน่าสนในให้ต้องกล่าวถึง กองทัพเดินทางไปสามวันก็ถึงที่มั่นของกองทัพพระมหาจักรพรรดิ์ข่าน ซึ่งตอนนั้นอยู่ที่เมือง Vochan ในอาณาเขตของแคว้น Zardandan ที่ซึ่งข้าพเจ้าได้กล่าวถึงแล้วก่อนหน้านี้ ณ จุดนั้นกษัตริย์แห่งเหมียนและเบงกอล ก็ตั้งค่ายพักกองพัพเตรียมไพล่พลทหารหาญให้สดชื่นพร้อมที่จะรบต่อไป.

Vertical Divider
Picture
Picture
Picture
Vertical Divider
CHAPTER LII.
Of the Battle That Was Fought By the Great Khan’s Host 
and His Seneschal, Against the King of Mien.
ว่าด้วยเนื่องการรบระหว่างกองทัพมหาจักรพรรดิ์ข่านและแม่ทัพนายกองของพระองค์
​กับกองทัพของกษัตริย์แห่งเหมียน.
          และเมื่อผู้บัญชาการกองทัพ Tartars ได้ข่าวว่ากษัตริย์องค์ที่ว่านั้นยาตราทัพจะมารบกันแล้วด้วยแสนยานุภาพกองทัพที่ใหญ่ยิ่ง ท่านแม่ทัพก็รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงเพราะมีกำลังกองทัพม้าเพียง 12,000 เท่านั้น แต่ในเมื่อท่านแม่ทัพเป็นนักรบที่กล้าหาญมีประสบการณ์มากในการศึกสงคราม และเป็นผู้นำกองทัพที่สุดยอด ท่านแม่ทัพชื่อว่า Nescradin1 เหล่าพลทหารนักรบของท่านก็หาญกล้ายิ่งนัก ท่านแม่ทัพออกคำสังรบอย่างเฉพาะเจาะจงว่าจะรบและหลบหลีกอย่างไร ท่านเองก็ระวังความปลอดภัยของตัวท่านเองและกองทัพทั้งหมดด้วยความรอบคอบ  และจะให้ข้าพเจ้าเล่าเรื่องให้มันยืดยาวไปทำไมกัน? กองทัพของฝ่าย Tartars ทั้งหมดมีเพียงทหารม้าที่พร้อมอาวุธครบรบได้เพียง 12,000 นาย และม้า ท่านให้กองทัพม้ามุ่งหน้าไปก่อน ไปเผิญหน้ากับกองทัพศัตรูที่ที่ทุ่งราบแห่ง Vochan (The Plain of Vochan) แล้วรอคำสั่งประจัญบาน จากนั้นก็เริ่มรบกันโดยบัญชาการจากท่านแม่ทัพผู้เป็นเลิศพิจารณาตัดสินแล้วอย่างรอบคอบก่อนออกคำสั่ง  สมรภูมิทุ่งราบ Vochan นั้นติดกับพื้นที่ป่าทึบแน่นไปด้วยต้นไม้แน่นขนัด กองทัพ Tartars รอรับอยู่ในบริเวณทุ่งราบ ไม่เข้าเขตป่า ตอนนี้ขอพักเรื่องการเตรียมรบนี้ไว้ก่อนสักครู่ เดี๋ยวจะกลับมาเล่าต่อ ขอข้ามไปดูฝ่ายข้าศึกศัตรูบ้าง
         หลังจากกษัตริย์แห่งเหมียน ทรงพักทัพนานพอสมควรจนเหล่าทหารหายเหนื่อย ร่างกายสดชื่นพร้อมรบแล้ว พระองค์ก็ทรงนำทัพเดินต่อไปข้างหน้า จนถึงทุ่งราบแห่ง Vochan ที่ซึ่งกองทัพ Tartars รอพร้อมรบอยู่แล้ว พอกองทัพของกษัตริย์แห่งเหมียน มาถึงทุ่งราบ Vochan ห่างกันประมาณหนึ่งไมล์ พระองค์ก็ทรงสั่งให้หทารบนหลังช้างเตรียมสรรพาวุธพร้อมบุกตะลุยทันที ทั้งพลช้าง พลม้า พลเดินเท้า จัดระเบียบที่ตั้งให้เข้าระบบ แสดงถึงทักษะและพระปรีชาสามารถในการศึกสงครามของพระองค์เป็นอย่างดี เมื่อตั้งกระบวนทัพเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เข้าบุกประจัญบานข้าศึกทันที ฝ่ายกองทัพ Tartars เมื่อเห็นข้าศึกบุกเข้ามาก็ไม่หวาดกลัวใดๆ เดินเข้าปะทะอย่างเป็นระบบระเบียบและมีวินัยดียิ่ง และเมื่อเข้าถึงใกล้กันแล้วการสู้รบก็เริ่มขึ้น พลม้าของฝ่าย Tartars เห็นกองทัพช้างแล้วก็ตกตื่นกลัวด้วยภาพกองทัพช้างอันใหญ่โตน่าสะพรึงกลัว ทัพ Tartars เดินหน้าแล้วถอยร่นไม่เป็นกระบวนท่า กองทัพกษัตริย์แห่งเหมียน และขบวนทัพช้าง ดันไปข้างหน้าอย่างหึกเหิมรุกไล่ทัพ Tartars ถอยร่นกลับไปอีกไม่หยุดยั้ง2  
         เมื่อฝ่าย Tartars มองเห็นสถานการณ์เฉพาะหน้าว่าท่าทางจะลงเอยอย่างไร ก็เกิดอาการตกใจกลัว ไม่รู้จะพูดจะทำอะไรอย่างไรดี เพราะพวกเขารู้เลยว่าหากไม่สามารถนำกองพลทหารม้ารุกคืบหน้าผ่านกองทัพช้างของศัตรูไปได้ ก็คงถึงคราพ่ายแพ้ศึกสงครามกับกษัตริย์แห่งเหมียนนี้เป็นแท้ ทว่าผู้บัญชาการกองทัพ Tartars นั้นทำตัวให้ปรากฎเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ชาญฉลาดยิ่งนัก โดยท่านได้คิดแผนการรบไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ท่านออกคำสั่ง่ให้ทหารม้าทุกนายลงจากหลังม้า ผูกม้าไว้กับต้นไม้ในป่าที่ติดกับทุ่งราบ Vochan แล้วใช้ธนูเป็นอาวุธหลัก ซึ่งในโลกนี้ไม่มีกองทัพใดๆที่ไหนจะใช้ธนูสู้รบศึกสงครามได้ดีเท่ากับกองทัพ Tartars
          พลม้ายิงธนูเข้าใส่กองทัพช้างอย้่างแม่นยำ ทั้งทหารและช้างโดนธนูยิงบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากในเวลาอันสั้น ฝ่ายศัตรูก็ยิงใส่ทัพ Tartars เช่นกัน แต่ฝ่าย Tartars มีอาวุธที่ดีกว่า คือธนู แถมพวก Tartars ก็แม่นธนูกว่าใครๆในโลกอีกต่างหาก แล้วจะเอาอะไรมาเหลือ (“The enemy also shot at the Tartars , but the Tartars had the better weapons, and were the bertter archers to boot.” p.102)
         แล้วจะให้ข้าพเจ้าบอกท่านอย่างไรต่อไปดี? ต้องเข้าใจด้วยว่าเมื่อฝูงทัพช้างโดนธนูยิงเข้าใส่ราวกับห่าฝนพวกมันก็จะกลับหลังหันหางวิ่งหนีจนเรียกว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะทำให้พวกมันหันกลับมาสู้รบกับพวก Tartars อีกต่อไปได้ ดังนั้นฝูงช้างก็วิ่งเสียงร้องลั่นราวกับว่าโลกกำลังจะแตกถึงจุดจบ! แล้วช้างทั้งกองทัพก็วิ่งกลับเข้าป่าไปชุลมุนวุ่นวายกระจัดกระจายกระเจิดกระเจิงทุกสารทิศ สัปคับ-หรือที่นั่งบนหลังช้าง (castles)-ฟาดกับต้นไม้หล่นแตกกระจายลงพื้นดิน เชื่อกรัดสัปคับขาด ทุกสิ่งอย่างหล่นกระเด็นแตกหักเสียหายระเนระนาด
         ครั้นเมื่อพวก Tartars เห็นว่ากองทัพช้างกลับหางวิ่งหนีเข้าป่าแล้วก็ไม่มีใครสามารถบังคับมันให้กลับมาสู้อีกได้ เหล่าทหารม้ากล้าธนูก็ขึ้นม้าควบตามรุกไล่ฝ่ายกองทัพกษัตริย์ เหมียนทันที ใช้อาวุธทั้งดาบและคทา (mace/หอก? แหลน? กระบอง?) กองทัพทั้งสองฝ่ายรบกันอย่างดุเดือดเลือดพล่าน จำนวนทหารของกองทัพฝ่ายกษัตริย์แห่งเมี๋ยนนั้นมีมากกว่าทัพ Tartars แต่แสนยานุภาพทางอาวุธและประสบการณ์สงครามนั้นด้อยกว่ามาก ไม่อย่างนั้นพวก Tartars ก็คงไม่มีวันจะเอาชนะกำลังที่มากกว่าของพวกกองทัพกษัตริย์เมี๋ยนได้ ดังนั้นท่านจึงได้เห็นว่าทหารฝ่ายกษัตริย์เหมียนโดนฟันแทงและทุบด้วยทั้งดาบและคทาจากทหาร  Tartars ล้มตายเป็นจำนวนมาก ท่านอาจจะเห็นอัศวินนักรบผู้หาญกล้าพร้อมสรรพาวุธบนม้าศึกต้องล้มร่วงหล่นกระจายลงบนพื้นดิน  เห็นชิ้นส่วนมือแขนขาและศรีษะขาดหล่นบนสนามรบ นอกจากจะมีการล้มตายกันมากแล้วยังมีผู้บาดเจ็บนอนครวญครางมิอาจลุกหนีไปไหนได้อีกระงม นอนเจ็บปวดทรมานต่อไป เสียงอึกทึกคึกโครมกับเสียงร้องโอดโอยอื้ออึงไปทั่วสนามรบ หากว่าพระผู้เป็นเจ้าจะส่งเสียงตวาดลงมาก็มิอาจจะหาใครได้ยินไม่ เพราะถูกทับด้วยเสียงครางระงมจากเหล่าทหารผู้บาดเจ็บทั้งหลาย! เป็นการรบพุ่งทำสงครามกันอย่างหาญกล้า ฆ่ากันอย่างเหี้ยมโหดและหดหู่ทั้งสองฝ่าย แต่ว่าฝ่ายกองทัพ Tartars เป็นผู้ได้รับชัยชนะ3 
         ชั่วโมงที่เริ่มการสู้รบนั้นมันเป็นเวลาแห่งความอัปมงคลโดยแท้ สำหรับกษัตริย์กับพลเมืองของพระองค์ที่ต้องมาทำศึกสงครามจนทหารจำนวนมากต้องถูกฆ่าตายไป รบราฆ่าฟันกันไปจากเช้าไปถึงเที่ยงวัน กองทัพกษัตริย์แห่งเทมียนทนรบกับพวก Tartars ต่อไปไม่ไหว จำยอมพ่ายแพ้ หันหลังกลับ แตกทัพวิ่งกระเจิงหนีไป  พอพวก Tartars เห็นว่าฝ่ายทัพเหมียน วิ่งหนี ก็ไล่ล่าตามติด ฆ่าฟันราวีไม่ละลาไม่มีความเมตตาปราณีใดๆเลย  มันเป็นภาพที่หฤโหดสุดจะเปิดตาดูได้ แต่ว่าพอไล่ล่าตามไปสักพัก พวก Tartars ก็หยุด แล้วกลับเข้าป่าเพื่อตามจับช้างที่แตกฝูงกระจัดกระจายอยู่ในป่ากลับคืนมา ต้องโค่นต้นไม้มากมายเพื่อจัดการต้อนฝูงช้างที่เหลือโดยความช่วยเหลือของพวกทหารฝ่ายกษัตริย์เมี๋ยนที่ถูกจับเป็นเชลยศึก  เพราะทหารเมี๋ยนมีความชำนาญเรื่องช้างมากกว่าพวก Tartars ช้างนั้นนับว่าเป็นสัตว์ที่มีสติปัญญามีไหวพริบสัญชาติญานดีมากกว่าสัตว์อืนใด ด้วยวิธีที่พวกเชลยเมี๋ยนต้องช่วยต้อนช้างให้ทัพ Tartars นี้เองทำให้ได้ฝูงช้างกลับมาราวๆกว่า 200 ตัว จากสงครามกับกษัตริย์แห่งเหมียนครั้งนี้เป็นต้นมา มหาจักรพรรดิ์ข่านก็เริ่มเลี้ยงช้างไว้เป็นจำนวนมาก
         นั่นแหละคือเรื่องที่กษัตริย์องค์ที่เล่าถึงนั้นต้องพ่ายแพ้สงครามต่อพวก Tartars ซึ่งเป็นเหล่านักรบผู้ช่ำชองชำนาญศึกเหนือชั้นกว่าพวกเหมียนมาก ดังที่ท่านได้ฟังข้าพเจ้าเล่ามานั้นเอง.



Vertical Divider
Picture
Vertical Divider
CHAPTER LIII
Of the Great Descent That Leads Towards the Kingdom of Mien
ว่าด้วยเส้นทางลาดต่ำลงเขาไปสู่ราชอาณาจักรเหมียน
          หลังจากเดินทางออกจากจังหวัดที่ข้าพเจ้าเล่าให้ฟังแล้วนั้นท่านก็จะมาถึงทางลงเขาที่สูงชัน ที่จริงแล้วท่านต้องใช้เวลาเดินทาง (ride/บนหลังม้า?) ต่อเนื่องถึงสองวันครึ่ง เป็นทางลงเขา ตลอดเส้นทางไม่มีอะไรน่าสนใจที่จะพูดถึง ยกเว้นที่ว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งระหว่างทางเป็นบริเวณกว้างใหญ่ที่จะมีตลาดนัดขนาดใหญ่ จัดเป็นครั้งคราวไปในวันที่กำหนดเป็นตลาดนัดสัปดาห์ละสามวัน ให้ผู้คนในพื้นที่รอบๆได้มาเที่ียวซื้อข้าวของต่างๆ  มีทองมาแลกเงิน เพราะในย่านนี้มีชาวบ้านมีทองคำมากมายเหลือเฟือ ทองคำหนึ่งชั่งแลกได้เงินห้าชั่ง นี่จึงทำให้มีพ่อค้าต่างถิ่นทั่วสารทิศนำเงินมาแลกทองที่ตลาดนี้ วิธีค้าขายแบบนี้พ่อค้าได้กำไรงาม สำหรับชาวบ้านแถบนี้ที่เอาทองคำมาแลกกับเงินในราคาถูกมากนั้น ท่านต้องทำความเข้าใจก่อนว่าชาวบ้านเหล่านั้นอยู่อาศัยในพื้นที่ที่ไม่มีใครรู้จัก อยู่ห่างไกลในเทือกเขาป่าลึก เข้าไม่ถึง ไม่มีทางที่คนอื่นจะหาทางเข้าไปถึงที่อยู่ของคนพวกนี้ได้ หรือจะแอบหาทางเข้าไปยุ่งเหยิงกับถิ่นฐานของบคนเหล่านี้ไก็มิมีทางทำได้เลย แล้วพวกคนป่าเหล่านี้ก็จะไม่ยอมให้คนอื่นติดตามเขาไปถึงบ้านเรือนที่เขาอยู่ไกลลับลึกนั้นได้เลย1  
    หลังจากท่านขี่ม้าไปตามทางลงเขานี้ไปสองวันครึ่ง ท่านก็จะถึงจังหวัดทางใต้ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับอินเดีย และจังหวัดที่ว่านี้เรียกชื่อว่า “อาเหมียน” (Amien) หลังจากนั้นท่านก็เดินทางต่อเข้าเขตแดนภายในจังหวัดสิบห้าวัน ผ่านสถานที่ไม่มีใครนักที่จะเดินทางผ่านมา ผ่านป่าทึบ มีช้างมากมาย สัตว์มีเขาจำพวกละมั่ง เนื้อ กวาง (ใช้คำว่า unicorns) และสัตว์ป่าอื่นๆอีกหลากหลายประเภท ไม่พบบ้านเรือนหรือผู้คนเลย ดังนั้นเราก็ไม่มีอะไรจะเล่าถึงดินแดนป่าดิบเถื่อนแห่งนี้ แต่อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็มีเรื่องหนึ่งที่อยากเล่าซึ่งท่านก็จะได้รับทราบดังต่อไปนี้2

Vertical Divider
Picture
Picture
Vertical Divider
​CHAPTER LIV
Concerning the City of Mien, and the Two Towers That Are Therein, 
One of Gold and the Other of Silver.
ว่าด้วยนครเหมียน, เจดีย์สององค์ที่อยู่ในนคร, องค์หนึ่งทำด้วยทอง อีกองค์หนึ่งทำด้วยเงิน
          และเมื่อท่านได้เดินทางมาได้ 15 วัน ผ่านเส้นทางลงเขาอันวิบากดังที่ข้าพเจ้าสาธยายไปแล้วนั้น ว่าเป็นเส้นทางที่จะหาเสบียงกลางทางไม่ได้ ต้องขนติดตัวมาเองเพราะระหว่างทางไม่มีผู้คนหรือบ้านเรือนให้พักพึ่งพิงเลย เมื่อผ่านมาได้แล้ว และแล้วท่านก็มาถึงเมืองหลวงของจังหวัดเหมียน ซึ่งก็ใช้ชื่อ อาเหมียน (Amien) เหมือนกัน มันเป็นเมืองใหญ่และดูหรูหราค่าสูงมาก1  คนที่นี่บูชารูปปั้น (นับถือพุทธศาสนา) มีภาษาเฉพาะของตนเอง และเป็นพลเมืองภายใต้การปกครองของมหาจักรพรรดิ์ข่าน
    ณ เมืองนี้มีสิ่งหนึ่งที่ดูมีราคาสูงและหายากที่ข้าพเจ้าจำต้องเล่าให้ท่านรับทราบ
คือว่าในอดีตกาลนานมาแล้วมีกษัตริย์องค์หนึ่งทรงราชอำนาจมาก ตอนที่พระองค์ใกล้จะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงรับสั่งให้สร้างเจดีย์สององค์ (ใช้คำว่า ‘towers’ แปลว่าเจดีย์จะถูกต้องกว่าแปลตรงตัวว่า  ‘หอ’) แต่ละองค์อยู่สุดทางแต่ละด้าน องค์หนึ่งเป็นทอง อีกองค์หนึ่งเป็นเงิน สร้างแบบที่ข้าพเจ้าจะขอเล่าต่อไป คือเจดีย์ทั้งสององค์ก่อขึ้นด้วยหินที่เรียบงดงาม องค์หนึ่งก็ปิดทับด้วยแผ่นทองคำหนาเท่านิ้วมือคลุมเจดีย์ทั้งองค์ดูราวกับว่าเป็นเจดีย์ทองคำตันเต็มทั้งองค์เลย และเจดีย์อีกองค์หนึ่งที่ปลายทางอีกด้านนั้นก็ปิดทับด้วยแผ่นเงินหนาเช่นกัน ดูราวกับเป็นเจดีย์เงินตันเต็มทั้งองค์เช่นกัน เจดีย์แต่ละองค์สูงขนาดสิบก้าว รอบองค์กว้างได้สัดส่วนพอเหมาะ ส่วนบนของเจดีย์เป็นทรงกลม องค์เจดีย์มีระฆังแขวนโดยรอบ ปลายยอดเจดีย์ทองก็จะมีระฆังทอง ยอดเจดีย์เงินก็มีระฆังเงิน พอต้องแรงลม ระฆังนี้ก็จะมีเสียงดังกริ๊งกรั๊ง (tinkle) [ที่หลุมพระศพก็ปิดทับบางส่วนด้วยแผ่นทองและแผ่นเงินแบบเดียวกันกับเจดีย์] พระมหากษัตริย์ทรงรับสั่งให้สร้างเจดีย์นี้เป็นการเฉลิมพระเกียรติความยิ่งใหญ่และเพื่อจิตวิญญาณแห่งความดีงามของพระองค์  และจริงทีเดียวว่าภาพที่ปรากฏต่อหน้าคือความงดงามตระการตาที่สุดในโลก สร้างอย่างสวยงามพิศดารวิจิตบรรจง และด้วยราคาที่แพงมาก ตอนที่ต้องแสงอาทิตย์ยามเช้า มหาเจดีย์ทั้งสองก็สะท้อนแสงเงินและแสงทองระยิบระยับจับตา มองเห็นได้จากที่ที่ไกลแสนไกล
    ตอนนี้ท่านจำต้องรับรู้ด้วยว่าองค์มหาจักรพรรดิ์ข่านได้ทรงยึดครองเมืองนี้เป็นเมืองขึ้นตามแบบฉบับของพระองค์แล้ว (...“that the Great Khan conquered the country in this fashion.”)
    ท่านจะเห็นว่าในพระราชวังขององค์มหาจักรพรรดิ์ข่านนั้นจะมีเหล่านักร้องนักดนตรีขับขาน นักแสดงมายากล มากมาย วันหนึ่งพระองค์รับสั่งให้กองทัพออกไปยึดจังหวัดเมี๋ยน ดังกล่าวแล้ว  และพระองค์จะตั้งแม่ทัพผู้หาญกล้าและชาญฉลาดบัญชาการรบ พร้อมผู้นำหน่วยรบต่างๆ แล้วเหล่าทหารทั้งหลายก็น้อมรับพระบัญชาด้วยความยินดีปรีดาใจยิ่งนัก แล้วพระองค์ก็ทรงจัดสรรสรรพาวุธให้พร้อมเพียบตามที่กองทัพพึงมีเพื่อการรบอย่างสมบูรณ์ ตั้งแม่ทัพและนายกองผู้ช่วยอีกหลายหลากอาวุธครบถ้วน แล้วออกเดินทางไปถึงจังหวัดเหมียน แล้วยาตราทัพเข้ายึดเหมียน ได้ทั้งหมดทุกพื้นที่!  และเมื่อกองทัพเข้าไปพบเจดีย์ทองเจดีย์เงินทั้งสององค์ ดังที่ข้าพเจ้าเล่าให้ท่านฟังแล้ว ทุกคนก็ทึ่งตะลึงตื่นที่ได้เห็นมหาเจดีย์ทั้งสองต่อหน้สายตา ดังนั้นแล้วจึงส่งข่าวไปยังองค์มหาจักพรรดิ์ข่าน แล้วกราบบังคมทูลถามว่าพระองค์จะมีพระประสงค์เช่นไร จะให้กองทัพทำอย่างไรกับเจดีย์ทองเจดีย์เงินทั้งสององค์นี้ เพราะคิดคำนวนแล้วเห็นว่าเหล่าทหารจะได้ร่ำรวยเป็นมูลค่ามหาศาลมากแน่นอน และองค์มหาจักรพรรดิ์ซึ่งทราบดีแล้วว่าเจดีย์ทั้งสองนี้สร้างขึ้นมาเพื่อเฉลิมพระเกียรติและคุณความดีทางจิตวิญญาณ และเพื่อให้เป็นอนุสรณ์สถานสำหรับกษัตริย์แห่งเหมียนหลังเสด็จสรรคตไปแล้ว องค์มหาจักรพรรดิ์ข่านจึงรับสั่งว่ามิให้ทำอันตรายใดๆต่อองค์มหาเจดีย์ทั้งสอง ขอให้เก็บรักษาไว้ให้คงความงเดงามทรงคุณค่าตามที่ปรากฏอยู่แต่เดิมต่อไป และนั่นก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่แปลกอะไรเลย เพราะท่านต้องรู้ว่าชาว Tartars นั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก เขาจะมีวัฒนธรรมที่เคารพผู้ตาย จะไม่มีวันทำอะไรให้เป็นที่เสียหายหรือรบกวนข้าวของทรัพย์ของผู้ตายหรืออะไรๆที่กี่ยวเนื่องโยงใยกับผู้ตายใดๆทั้งสิ้นถ้าไม่มีเหตุสำคัญจำเป็น2 
    ในจังหวัดเหมียนนี้ มีช้างมากมาย อีกทั้งวัวป่าก็มาก3  รวมทั้งกวางเก้งเนื้อละมั่งสวยงาม มากมาย แถมสัตว์ป่าที่มีให้ล่าเป็นอาหารอีกเต็มป่า
    ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าก็ได้เล่าเรื่องจังหวัดเหมียนให้ท่านฟังหมดแล้ว จากนี้ไปก็จะขอเล่าเรื่องอีกจังหวัดหนึ่ง มีชื่อว่า เบงกาลา (เบงกอล) (Bengala/Bengal)  ดังที่ท่านจะได้ฟังต่อจากนี้ไป.


Vertical Divider
Vertical Divider
CHAPTER LV
Concerning the Province of Bangala
ว่าด้วยเรื่องจังหวัด  Bangala (เบงกอล)
          บังกาลา (เบงกอล) เป็นจังหวัดต่อไปทางทิศใต้ ซึ่งมาจนถึงปี 1290 ยังมิได้อยู่ใต้การปกครองขององค์มหาจักรพรรดิ์ข่าน และท่านมาร์โค โปโล ก็ยังคงรับใช้อยู่ในราชสำนักพระรแห่งองค์มหาจักรพรรดิ์ข่านในช่วงเดียวกัน แต่ต่อมากองทัพของพระองค์ก็บุกเข้าไปยึดครองได้ ท่านต้องรู้ด้วยว่าจังหวัดนี้มีภาษาเฉพาะเป็นของตนเอง และประชาชนที่ดูยากจนก็นับถือรูปปั้น (ศาสนาพุทธ) พวกเขาอยู่ใกล้และอยู่อย่างต้องจำยอมรับอิทธิพลจากอินเดีย ที่นั่นมีพวกขันทีจำนวนมาก พวกเจ้านายขุนนางทั้งหลายก็ได้พวกขันทีในพื้นที่จังหวัดนี้เองมารับใช้1
    คนที่นี่เลี้ยงวัวตัวสูงพอๆกับช้างแต่ไม่อ้วนใหญเท่า2  พวกเขากินเนื้อสัตว์ นม และข้าว ปลูกฝ้าย ซึ่งเป็นสินค้าขายดี ปลูกเครื่องเทศเช่น น้ำมันหอมระเหยโกฐชฎามังสี (spikenard), ข่า (galingale), ขิง (ginger), อ้อย (sugar), และอื่นๆ และชาวอินเดียก็เข้ามาหาพวกขันทีดังที่ข้าพเจ้าเอ่ยถึง  รวมทั้งหาทาสทั้งชายและหญิงด้วย ทั้งขันทีและทาสมีอยู่ในหลายพื้นที่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในเขตที่ทำสงครามรบพุ่งกันอยู่นั้นจะหาขันทีและทาสได้มาก คนอินเดียจะมาซื้อขันทีและทาสไปขายต่อทั่วโลก
    ก็ไม่มีอะไรจะเล่าเกี่ยวกับเบงกอลมากไปกว่านี้อีกแล้ว ดังนั้นข้าพเจ้าก็ขอยุติเรื่องนี้ดีกว่า และจะขอเล่าเรื่องอีกจังหวัดหนึ่งชื่อว่าเคากิกุ (Caugigu)
​

Vertical Divider
Vertical Divider

Vertical Divider
Vertical Divider



Vertical Divider
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Vertical Divider

VOLUME II
BOOK SECOND
PART III

​CHAPTER LXXVI
Description of the Great City of Kinsay, 
Which is the Capital of of the Whole Country of Manzi
สาธยายเรื่องมหานครคินเซย์
อันเป็นนครหลวงของแคว้นมันซี่ทั้งหมดทั่วแดน
[pp.185-200]
          ​เมื่อท่านออกจากเมือง Changan แล้วเดินทางต่อไปสามวันผ่านภูมิประเทศอันงดงาม ผ่านเมืองและหมู่บ้านต่างๆมากมาย แล้วก็มาถึงเมือง Kinsay อันสูงเกียรติและศักดิ์ศรีที่สุด ชื่อเมืองนั้นในภาษาของเราก็เรียกว่าเป็น “The City of Heaven” หรือเมืองแห่งสวรรค์ดังที่ข้าพเจ้าได้เล่าให้ฟังก่อนนี้แล้ว1
    และเมื่อเรามุ่งหน้าเข้าสู่เมืองนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็จะขอเล่าเรื่องราวอันสุดวิเศษเกี่ยวกับเมืองนี้เลย: และมันก็คุ้มค่าที่จะลำดับเรื่องให้ฟัง เพราะไม่เป็นที่สงสัยประการใดเลยว่าเมือง Kinsay นี้เป็นเมืองที่สุดยอดและสูงเกียรติศักดิ์ที่สุดในโลก เกี่ยวกับเรื่องนี้เราก็จะพูดโดยอ้างอิงพระราชดำรัสอันเป็นพระลิขิตของพระราชินีแห่งราชอาณาจักรนี้ที่ส่งไปยังท่าน Banyan ผู้เข้ายึดครอบครองอำนาจเหนือราชอาณาจักรนี้ เพื่อส่งต่อไปยังพระมหาจักรพรรดิ์ The Great Khan เพื่อพระองค์จะได้ทรงทราบถึงความยิ่งใหญ่อลังการของเมืองนี้เหนือเมืองอื่นใด เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงปกปักรักษาเมืองนี้ไว้มิให้ถูกใครมาแย่งยึดทำลาย ข้าพเจ้าจะบอกเล่าเรื่องจริงทั้งหมดตามที่บันทึกไว้ในเอกสารจากพระราชินีฉบับนั้น มันเป็นความจริงแน่แท้ที่ท่าน มาร์โค โปโล ก็ได้เห็นด้วยตาท่านเองในเวลาต่อมา ณ เวลานี้ เราของทบทวนเรื่องอันพิเศษสุดต่างๆที่ว่านี้ก่อนเลย
    เรื่องแรกอันเป็นเรื่องสำคัญก่อนอื่น กล่าวคือ เอกสารของพระราชินีบันทึกว่านคร Kinsay นั้นกว้างใหญ่ไพศาลมาก มีขนาดเส้นรอบวงพื้นที่ถึงร้อยไมล์ ในเมืองมีสะพานข้ามน้ำสร้างด้วยหินมากถึง 12,000 สะพาน สะพานส่วนใหญ่จะสูงมากจนกองเรือรบสามารถลอดผ่านได้อย่างสบาย และอย่าให้ใครต้องสงสัยเลยทำไมจึงสร้างสะพานกันมากมายขนาดนี้ เพราะเมืองทั้งเมืองดูราวกับว่าจะสร้างอยู่ในน้ำและล้อมรอบด้วยน้ำ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีสะพานข้ามน้ำมากมายเพื่อความสะดวกในการเดินทางสัญจร [และแม้ว่าสะพานทั้งหลายจะมีความสูงมาก แต่ทางลาดขึ้นสะพานนั้นก็สร้างให้รถม้ารถเข็นต่างๆขึ้นสะพานได้อย่างสะดวกสะบาย2 ]  
    เอกสารนั้นยังได้กล่าวต่อไปว่าในนครนี้มีกลุ่มอาชีพศิลปะหัตกรรมรวมทั้งหมด 12 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมีความชำนาญเฉพาะของกลุ่มตนแตกต่างกันออกไป แต่ละกลุ่มวิชาชีพประกอบด้วย 12,000 ครัวเรือนสมาชิกครอบครัวทั้งหมดล้วนมีความชำนาญพิเศษแบบเดียวกัน แต่ละครัวเรือนแต่ละบ้านมีลูกหลานสมาชิกครอบครัวที่เป็นผู้ชายประมาณอย่างน้อย 12 คน แต่บางบ้านก็มี 20 ถึง 40 คน ไม่ใช่ว่าทุกคนเป็นเจ้านายหรือเป็นลูกหลานในครอบครัวทั้งหมด ที่เป็นพนักงานลูกจ้างเข้ามาทำงานกับครอบครัวที่ถือเป็นเจ้านายก็มี และแน่นอนว่าคนทำงานศิลปะหัตกรรมเหล่านี้มีงานทำเต็มเวลา ผลิตสินค้าส่งออกไปยังเมืองในราชอาณาจักรอื่นๆที่มีความต้องการสินค้าหลากหลายจากนคร Kinsay นี้
          เอกสารอันเป็นพระลิขิตระบุด้วยว่าจำนวนพ่อค้าและปริมาณสินค้าที่ผ่านการผลิตโดยฝีมือครอบครัวเหล่านี้มีมากมายมหาศาลสุดคณานับ จะให้ใครมาคำนวนหรือประเมินจำนวนสินค้าส่งออกจาก Kinsay ก็มิอาจทำได้เลย และข้าพเจ้าก็ควรบอกท่านด้วยว่าเหล่าหัวหน้าครอบครัวผู้เป็นเจ้านายควบคุมงานผลิตสินค้าศิลปะหัตกรรมต่างๆดังที่ข้าพเจ้าบอกแล้วนั้น ทั้งตัวเขาเองและภรรยาของเขาไม่เคยต้องลงมือทำงานผลิตด้วยมือตนเองเลยแม้แต่น้อย  ทว่าเจ้านายหัวหน้าครอบครัวเหล่านี้กินอยู่ใช้ชีวิตอย่างสบายราวกับเป็นพระราชาและพระราชินี โดยเฉพาะฝ่ายภรรยานั้นดำรงตนราวกับจะเป็นเทพธิดา ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีกฎจากพระราชาแห่งนคร Kinsay  บังคับให้ลูกชายทุกคนเจริญรอยการประกอบธุรกิจอาชีพตามอย่างผู้เป็นบิดาหัวหน้าครอบครัว แม้ว่าลูกชายเหล่านั้นจะมีฐานะดีมีทรัพย์สินถึงขนาด 100,000 bezants3 ก็ตาม แต่กฎหมายก็ยังห้ามมิให้ละทิ้งกิจการของครอบครัว
ภายในตัวเมืองมีทะเลสาบใหญ่ขนาดรอบวง 30 ไมล์  รอบๆทะเลสาปมีอาคารใหญ่หรูหราเป็นคฤหาสถ์ราวกับปราสาทราชวังสวยงามยิ่งของบรรดาเศรษฐีผู้มีอำนาชราชศักดิ์ทั้งหลาย นอกนั้นชายฝั่งทะเลสาปที่ว่ายังมีโบสถ์วิหารสวยงามมากมายของเหล่าประชาชนผู้บูชานับถือรูปปั้น ตรงกลางทะเลสาปมีเกาะอยู่สองเกาะ มีอาคารรูปทรงหอสูงเด่นขนาดกว้างใหญ่สวยงาม ตกแต่งวิจิตรตระการตาราวกับจะเป็นพระราชวังของพระจักรพรรดิ์ หอสูงนี้ใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดงานใหญ่ของชาวมหานคร เช่นงานแต่งงาน หรือมหกรรมบันเทิงเริงรมย์ต่างๆ เลือกจัดกันได้ทั้งสองอาคารบนสองเกาะกลางทะเลสาปนี้ ในที่จัดงานเลี้ยงอันหรูหรากว้างใหญ่นี้จะมีข้าวของเครื่องใช้สารพันพร้อมสรรพ ต้องการอะไรก็สั่งได้ ไม่ว่าจะเป็นจานเงิน เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร  จาน [ผ้าปูโต๊ะ ผ้าเช็ดปาก] หรืออะไรก็ตามที่ต้องการใช้ในงาน มีทุกอย่างพร้อมให้บริการ  พระมหากษัตริย์ทรงสั่งให้บริการประชาชนเต็มที่เพื่อความสุขของประชาชนที่ประสงค์จะจัดงานเลี้ยงต่างๆ สถานที่นี้เปิดฟรีสำหรับทุกคนเพื่อความสนุกสานบันเทิง [บางทีมีการจัดงานเลี้ยงพร้อมๆกันเป็นร้อยงาน บ้างก็จัดงานเลี้ยง บ้างก็จัดงานแต่งงาน ทุกคนสามารถจับจองห้องจัดเลี้ยงได้พร้อมๆกันมากมายหลายห้องหลายหอประชุมในแต่ละอาคาร การจัดงานมากมายหลากหลายนี้สามารถจัดการมิให้ส่งเสียงรบกวนหรือก่อความไม่สะดวกต่อกันและกันได้เลย4 ]
บ้านเรือนประชาชนมักจะมีหอสูงสร้างด้วยหินใช้เป็นที่เก็บสิ่งของและทรัพย์สินที่มีค่าเพื่อให้ปลอดจากอัคคีภัย เพราะตัวบ้านส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้ซุง และมักเกิดไฟไหม้บ่อยๆ
คนที่นี่บูชานับถือรูปปั้น เนื่องจากคนเหล่านี้ถูกปกครองโดยองค์มหาจักรพรรดิ์ข่าน จึงใช้เงินแบบเป็นธนบัตร [ทั้งหญิงและชายผิวขาว มีนิสัยใจคอเป็นมิตรอบอุ่น และโดยส่วนใหญ่ใส่เสื้อผ้าทำด้วยไหม ด้วยว่าผ้าไหมมีมากมายเหลือเฟือ ทั้งที่ผลิตเองในนคร Kinsay และที่นำเข้ามาจากจังหวัดอื่นๆ5 และท่านจำต้องรู้ด้วยว่าพวกคนทั้งหลายเหล่านี้เขากินเนื้อสัตว์ทุกประเภท เนื้อหมาและสัตว์สกปรกอื่นๆเขาก็กินกัน เนื้อสัตว์พวกนี้พวกชาวคริสเตียนเขาจะไม่แตะเลย
ในเมื่อองค์มหาจักรพรรดิ์ข่านเข้าครอบครองนครนี้แล้วก็ทรงออกคำสั่งให้มีการจัดเวรยามเฝ้าสะพานต่างๆในเมืองแห่งละ 10 คน ให้ครบทั้ง 12,000 สะพาน เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่สงบที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมทั้งป้องกันการทรยศล้มล้างการปกครองของพระองค์ที่อาจมีได้เช่นกัน [เจ้าหน้าที่เวรยามรักษาความปลอดภัยแต่ละคนจะใช้อุปกรณ์เป็นท่อนไม้กลวงภายใน และฆ้องทำด้วยโลหะเป็นเครื่องอุปกรณ์ตีบอกเวลาเพื่อให้รู้เวลาโมงยามค่ำสว่าง และเมื่อถึงเวลาค่ำครบชั่วโมงก็ให้ตีท่อนไม้กลวงและฆ้องโลหะนั้นเป็นการบอกเวลาแต่ละชั่วโมง ตีสองครั้งเมื่อครบชั่วโมงที่สอง สามครั้งชั่วโมงที่สาม เรื่อยๆไป ผู้รักษาเวรยามต้องตื่นและระแวดระวังเหตุผิดปรกติต่างๆอยู่ตลอดเวลา ถึงยามเช้าตอนดวงอาทิตย์ขึ้นก็เริ่มนับชั่วโมงกันใหม่ เริ่มตีกเกราะไม้และฆ้องหนึ่งครั้งชั่วโมงแรกยามเช้า และต่อๆไป.
ส่วนหนึ่งของการเฝ้าตรวจและแจ้งโมงยามนั้น จะต้องหมั่นตรวจตราดูด้วยว่ามีแสงไฟ หรือมีการจุดกองไฟกันอยู่หลังเวลาห้ามยามค่ำหรือไม่ หากพบว่ามีการละเมิดกฎหมายเรื่องการจุดฟืนไฟหลังเวลาห้ามก็จะทำเครื่องหมายไว้หน้าประตูบ้าน ถึงตอนเช้าก็เรียกตัวเจ้าของบ้านไปศาลยุติธรรมรับฟังคดีความตัดสินให้ต้องโทษตามกฎหมายต่อไป เว้นแต่จะมีการแสดงเหตุผลอันจำเป็นและสมควร  ทำนองเดียวกัน หากเจ้าหน้าที่เวรยามพบว่ามีคนเดินอยู่นอกบ้านในเวลาห้ามออกนอกบ้านยามวิกาล คนๆนั้นก็จะถูกจับกุมและรอดำเนินคดีในตอนเช้า สำหรับคนจนและคนพิการ ในช่วงเวลากลางวัน หากมีการพบเห็นว่าเร่ร่อนไม่มีงานทำ หรือทำงานเลี้ยงชีพไม่ได้ ก็จะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลซึ่งพระมหาจักรพรรดิ์ทรงสร้างไว้ให้ประชาชนมากมายพร้อมด้วยงบประมาณสนับสนุนต่อเนื่องเต็มที่ทั่วเมือง6 หากพบว่าคนเร่ร่อนพอจะทำงานได้ก็จะให้งานทำตามที่เหมาะที่ควร หากเจ้าหน้าที่พบว่าเกิดเหตุไฟไหม้บ้านประชาชนก็จะตีเกราะไม้และตีฆ้องแจ้งเหตุเตือนอัคคีภัยโดยฉับพลันทันที ซึ่งก็เป็นการส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ผู้เฝ้าสะพานต่างๆบริเวณใกล้เคียงเร่งมาช่วยกันดับเพลิงโดยเร็ว รวมทั้งการช่วยปกป้องรักษาสินค้าและทรัพย์สินของประชาชนที่เก็บกันไว้ที่หอทรัพย์สินที่ทำด้วยหินขนาดสูงของแต่ละครัวเรือนโดยนำข้าวของลงเรือขนส่งไปเก็บไว้ที่อาคารใหญ่บนสองเกาะในทะเลสาปกลางเมือง ประชาชนทั่วไปจะไม่กล้าออกนอกบ้านของตนเวลามีเหตุเพลิงไหม้ที่บ้านอื่นตอนกลางคืน คนที่มีหน้าที่ช่วยดับเพลิงก็จะมีเฉพาะเจ้าหน้าที่เวรยามและเจ้าของบ้านเองเท่านั้น เหตุไฟไหม้บ้านแต่ละครั้งจะมีเจ้าหน้าที่แห่กันมาช่วยดับไฟที่ละพันถึงสองพันคนเป็นอย่างน้อย]
ยิ่งไปกว่านั้นในตัวเมืองยังมีบริเวณที่เป็นเนินสูงซึ่งสร้างหอสูงไว้บนเนินนั้น บนยอดหอคอยสูงนั้นได้ติดตั้งท่อนไม้แขวนไว้สำหรับเจ้าหน้าที่ตีส่งเสียงเตือนอัคคีภัยและอุบัติภัยต่างๆดังก้องไปเป็นระยะไกล ดังนั้นเวลาชาวบ้านชาวเมืองได้ยินเสียงตีเกราะเคาะไม้บนหอคอยกังก้องขึ้นก็จะรู้เลยว่ากำลังมีเหตุอุบัติภัยสำคัญๆเกิดขึ้น
องค์พระจักรพรรดิ์ข่านทรงเฝ้าดูแลความปลอดภัยของเมืองนี้อย่างไกล้ชิดขันแข็งเพราะว่าเมือง Kinsay นี้เป็นนครหลักสำคัญที่สุดในบรรดาเมืองหรือจังหวัดที่พระองค์ครอบครองทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรายได้จากภาษีอากรที่ทรงให้เก็บจากเมืองนี้มากมายมหาศาลจนทุกคนทราบว่าเป็นเมืองการผลิตการค้าที่มั่งคั่งแท้จริง
ถนนหนทางทั้งหมดในเมืองสร้างแบบปูด้วยหินหรืออิฐ ทางหลวงนอกเมืองก็สร้างแบบเดียวกันทั่วทั้งหมดในราชอาณาจักรหรือแคว้น Manzi  ดังนั้นทุกคนจึงสามารถสัญจรบนถนนเหล่านี้ได้อย่างสะดวกสบาย หากไม่ปูถนนด้วยอิฐหรือหินแบบนี้ก็จะลำบากเพราะพื้นที่ลุ่มต่ำฝนตกน้ำท่วมเสมอ หากถนนเป็นดินโคลนรถม้าและคนเดินทางก็จะติดหล่มโคลนลำบากกันแน่นอน ทางคนเดินบนไหล่ทางสองข้างถนนสายหลักขนาดใหญ่ในเมืองนั้นก็ทำไว้กว้างถึงสิบก้าว เป็นแนวขนานกันไปกับขอบถนนทั้งสองด้าน ทำแนวช่องว่างกลางถนนเป็นแนวยาวโรยกรวดทรายเหนือท่อระบายน้ำที่ฝังอยู้ใต้ดินในแนวเสมือนเกาะแบ่งกลางถนนนั้น น้ำฝนจึงสามารถระบายลงท่อได้เลย ทำให้ถนนแห้งในเวลาไม่นานตอนฝนตกหนัก]7
ท่านจำต้องรู้ด้วยว่านคร Kinsay แห่งนี้มีสถานที่สำหรับอาบน้ำถึง 3,000 แห่ง โดยได้น้ำที่ไหลออกมาจากน้ำพุใต้ดิน เป็นน้ำพุร้อน ซึ่งผู้คนในเมืองชื่นชอบเป็นที่สุด ไปอาบน้ำพุร้อนกันเดือนๆหนึ่งก็หลายครั้ง ชาวเมืองทั้งหลายจึงมีร่างกายสะอาดสะอ้านกันทั่วหน้า น้ำพุร้อนที่นี่ดีสุดยอดและเป็นแหล่งรวมบ่อน้ำพุร้อนที่อาจเรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในโลก บ่อหนึ่งๆสามารถรับคนลงไปอาบพร้อมกันถึง 100 คน8
และทะเลมหาสมุทร (Ocean Sea) ที่นี่อยู่ห่างตัวเมืองออกไปเพียง 25 ไมล์ ติดทะเลนั้นมีเมืองเล็กๆชื่อ Ganfu เป็นเมืองอ่าวสำหรับหลบลมพายุได้ มีเรือสินค้าพาณิชย์มาติดต่อค้าขายมากมายที่อ่าวนี้ ส่วนใหญ่มาจากอินเดียและจะไปอินเดีย ที่มาจากเมืองอื่นหรือจะไปส่งขายเมืองอื่นก็มีมากเช่นกัน  เป็นการนำเข้าและส่งออกสินค้าซึ่งสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้นคร Kinsay มาก อีกทั้งยังมีแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลผ่าน Kinsay ไปออกปากอ่าว ทำให้เรือสินค้าสามารถแล่นจากเมืองท่าปากอ่าวที่หลบลมพายุเข้าถึงตัวเมืองได้เลย สำหรับแม่น้ำสายที่ว่านี้นั้นก็มีต้นทางที่สามารถย้อนไปนอกเมืองเข้าเขตแดนที่ลึกๆไปอีกได้ไกล9
จงรับรู้ไว้อีกด้วยว่าองค์มหาจักรพรรดิ์ข่าน (The Great Kaan) ได้ทรงจัดการแบ่งพื้นที่การปกครองแคว้น Manzi ออกเป็นเก้าส่วน สถาปนาเป็นเก้าราชอาณาจักรย่อย ในแต่ละราชอาณาจักรนี้พระองค์ทรงแต่งตั้งกษัตริย์เป็นตัวแทนของพระองค์ไปปกครองอีกต่อหนึ่ง กษัตริยฺทั้งเก้าขึ้นอยู่และอยู่ใต้อำนาจการควบคุมขององค์พระมหาจักรพรรดิ์ข่านโดยตรง กษัตริย์ทั้งเก้าจะส่งรายได้ภาษีอากรพร้อมบัญชีการเงินให้ฝ่ายพระคลังหลวงขององค์มหาจักรพรรดิ์ข่านในเมืองหลวงอีกต่อหนึ่งทุกๆปี10 นคร Kinsay ก็เป็นเมืองศูนย์กลางปกครองของกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรหนึ่งในเก้าแห่งตามที่กล่าวมานี้ เฉพาะนคร Kinsay นั้นมีพื้นที่รับผิดชอบปกครองดูแลเมืองบริวารที่ร่ำรวยมั่งคั่งถึง 1,200 เมือง ยังไม่นับเมืองเล็กเมืองน้อยหมู่บ้านตำบลอื่นอีกจำนวนมาก องค์มหาจักรพรรดิ์ข่านทรงตั้งกองทหารประจำการรักษาพื้นที่ทั้งหมด กองทหารที่เล็กที่สุดจะมีทหารประจำการราว 1,000 นาย หน่วยใหญ่ๆก็มีราวๆ 10,000-20,000-30,000 นาย ถ้าจะนับจำนวนทหารทั้งหมดจริงๆเห็นทีจะนับให้แน่แท้จริงๆไม่ได้ เหล่าทหารประจำการทั้งหลายนี้ไม่ใช่เป็นชนเผ่า Tartars ทั้งหมด มีมาจากจังหวัด Cathay ก็มาก ส่วนใหญ่เป็นทหารราบจำนวนตามความต้องการของเมือง หน่วยทหารทั้งหมดสังกัดกองทัพองค์มหาจักรพรรดิ์ข่านโดยตรง11 
ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าทุกสิ่งอย่างที่เห็นในเเมืองนี้ยิ่งใหญ่มหึมาอลังการ รายได้แต่ละปีจากเมืองนี้เข้าสู่ท้องพระคลังขององค์มหาจักรพรรดิ์มหาศาลยิ่ง ยากนักที่จะบันทึกบอกเป็นตัวเลขให้เข้าใจได้ หากใครได้ยินจากคำบอกเล่าอย่างไร ฟังแล้วก็ดูออกจะเหลือเชื่อจริงๆ แต่เอาเถอะข้าพเจ้าจะเล่าโดยการบันทึกความจริงให้ท่านรับทราบดังนี้:
แรกเริ่มเลย ข้าพเจ้าขอเอ่ยถึงเรื่องอื่นอีกเรื่องหนึ่งก่อนว่า คนเมือง Kinsay นี้ถือประเพณีเคร่งครัดว่า หากครอบครัวมีลูกเกิดใหม่ เขาจะบันทึกวันเวลาเกิดพร้อมตำแหน่งดวงดาวและจักรราศี ดังนั้นพลเมืองทุกคนก็จะรู้รายละเอียดวันเกิดของตนแน่นอน หากในอนาคตใครจะหาฤกษ์เดินทางไปไหนๆก็จะไปหาโหราจารย์พร้อมข้อมูลวันเวลาเกิดครบถ้วนเพื่อหาฤกษ์เดินทางที่เหมาะสมปลอดภัยได้เลย หากโหราจารย์ทำนายทายทักว่าฤกษ์ไม่ดี คนๆนั้นก็จะงดการเดินทางจนกว่าจะถึงวันอันเป็นฤกษ์งามยามดีต่อไปได้  บรรดาโหราจารย์เหล่านี้แม่นยำเป็นที่เคารพเชื่อถือมาก บ่อยครั้งที่ทำนายถูกจนผู้คนเลื่อมใสเชื่อถือกันอย่างจริงจัง
เวลาคนตายก็มีประเพณีเผาศพผู้ตาย โดยก่อนพิธีเผาศพ ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงจะไว้ทุกข์โศรกเศร้าอาลัยกัน ทุกคนใส่เสื้อผ้าชุดไว้ทุกข์เป็นผ้าป่าน12 เดินตามขบวนแห่ศพนำด้วยรูปเคารพ ร้องเพลงเล่นดนตรีด้วยเครื่องดนตรีต่างๆหลากหลาย  พอขบวนมาถึงบริเวณเผาศพก็มีการจัดการเผากงเต็ก อันเป็นการประดิษฐ์จำลองข้าวของเครื่องใช้สัตว์เลี้ยง ม้า อูฐ รูปคนรับใช้ ทาสชายหญิง จำนวนมาก พร้อมกระดาษเงินทองใส่ลงกองเพลิงเผาไปพร้อมกับศพผู้วายชนม์ เป็นการประกันว่าผู้ตายจะได้มีทุกสิ่งอย่างที่ต้องการไว้ใช้ในภพหน้าต่อไปแน่นอน รูปปั้นเทพที่เคารพบูชาที่แห่แหนไปกับขบวนศพนั้นก็จะทำหน้าปกป้องรักษาเกียรติและความมั่งคั่งบริบูรณ์ของผู้ตายในภพต่อๆไป13
นอกจากนี้ ในเมืองยังมีพระราชวังของอดีตกษัตริย์แห่ง Manzi ผู้ซึ่งได้หลบลี้หนีออกจากเมืองไปแล้ว เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เอาหละตอนนี้ข้าพเจ้าก็จะขอเล่ารายละเอียดให้ท่านฟังกันเลย สำหรับพื้นที่พระราชวังที่ว่านี้มีรัศมีกว้างรอบวงยาวสิบไมล์ ล้อมรอบด้วยกำแพงป้องกันข้าศึกศัตรูขนาดสูง เข้าไปภายใน หลังกำแพงที่ว่าจะดารดาษไปด้วยสวนดอกไม้ผลไม้ที่สวยงามยิ่งนัก นำพุในสวนมากมายสวยงาม ในทะเลสาปเห็นฝูงปลาแหวกว่ายเต็มไปหมด อาคารพระราชวังตั้งอยู่ตรงกลางพื้นที่ สวยงามยิ่งใหญ่ที่สุด มีหอพระโรงรวม 20 ห้อง มีห้องที่ใหญ่มากที่สุดหนึ่งห้อง รับคนร่วมงานเลี้ยงได้มากมหึมามหาศาล ลวดลายภาพสีทองประดับประดารอบๆห้องหอสำหรับงานเลี้ยงนี้งดงามเหลือล้น ภาพตระการตาลวดลายสีทองมีทั้งภาพจากประวัติศาสตร์ ภาพสัตว์ป่า นก อัศวิน หญิงสาวผู้เลอโฉม และภาพสรรพสิ่งอันงดงามละลานตาหลากหลาย  ไม่ว่าจะมองไปทางไหน มองที่ผนังรอบด้าน แหงนมองขึ้นไปทางเพดาน จะเต็มไปด้วยภาพวาดสีทองระยิบระยับจับจิต นอกจากห้องหอสำหรับจัดงานอันยิ่งใหญ่ทั้งหลายนี้แล้ว ก็ยังมีห้องหอขนาดใหญ่อันสวยงามอีก 1,000 ห้อง ล้วนมีภาพวาดประดับด้วยสีทองและสีสรรค์อันหลากหลายอื่นๆอย่างวิจิตรพิศดาร
    
ยิ่งไปกว่านั้น ข้าพเจ้าจำต้องบอกท่านอีกว่าในเมืองนี้มีแหล่งไฟส่องสว่างอยู่รวม 160 Tomans หรือจะเรียกว่ามีบ้านเรือนผู้คนอยู่อาศัยรวม 160 Tomans ณ ตรงนี้ข้าพเจ้าต้องขออธิบายก่อนว่าหนึ่ง Toman เป็นหน่วยนับเลข เท่ากับ 10,000 (หนึ่งหมื่นหน่วย) หมายความว่า จำนวนบ้านเรือนประชาชนทั้งหมดในเมืองเท่ากับ 1,600,000 (หนึ่งล้านหกแสน) หลังคาเรือน ในจำนวนนั้นมีคฤหาสน์ราวกับปราสาทราชวังของเศรษฐีในเมืองจำนวนมาก แต่มีโบสถ์ของพวกที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายเนสโตเรียน (NestorianChristians) เพียงแห่งเดียว
มีอีกอย่างหนึ่งที่ข้าพเจ้าต้องบอกคือ มันเป็นประเพณีของคนที่นี่ทุกครอบครัวที่จะต้องเขียนชื่อสมาชิกในครอบครัวทุกคนไว้ที่ประตูบ้าน ชื่อพ่อชื่อแม่ชื่อลูกหลานและชื่อทาสรับใช้รวมทั้งจำนวนสัตว์เลี้ยงในบ้าน ต้องเขียนไว้ที่ประตูบ้านให้ครบถ้วน หากมีใครตายไปก็ให้ลบชื่อคนนั้น (หรือรายการสัตว์นั้นๆ)ออก หากมีเด็กเกิดใหม่ก็ให้เขียนเติมชื่อที่ประตู ด้วยวิธีนี้เจ้าหน้าที่รัฐจึงสามารถรู้สถิติประชากรได้แน่นอน นี่คือประเพณีที่ปฏิบัติกันทั้งสองแคว้น คือทั้ง Manzi และ Cathay14
และข้าพเจ้าขอบอกอีกว่าเจ้าของโรงเตี้ยมโรงพักแรมทุกแห่งสำหรับนักเดินทาง จะต้องให้มีการลงทะเบียนจดบันทึกชื่อสกุลของผู้มาพักแรมพร้อมทั้งวันและเดือนปีที่มากพักและออกไป ด้วยเหตุนี้ทางราชการก็จะสามารถตรวจสอบรอบรู้ได้หากต้องการถึงข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับผู้คนนักเดินทางเข้าออกเมืองทุกเวลา นักว่าเป็นนโยบายที่ยังให้เกิดความมั่นใจ เป็นความชาญฉลาดและเป็นประโยชน์ยิ่งนัก

______________________________________________________________________
Note 1.
Note 2.
Note 3.
Note 4.
Note 5.
Note 6.
Note 7.
Note 8
Note 9.
Note 10.
Note 11.
Note 12.
Note 13.
Note 14.


______________________________________________________________________

​CHAPTER LXXVII
[Further Particulars Concerning the Great City of Kinsay.]1
[เรื่องอื่นๆเกี่ยวกับมหานคร Kinsay]
[pp.200-215]
       [ตำแหน่งที่ตั้งเมืองเนี้มีทะเลสาปน้ำจืดสะอาดใสด้านหนึ่ง (เรื่องนี้เล่าให้ฟังแล้ว) และอีกด้านหนึ่งก็มีแม่น้ำสายใหญ่มากขนาบข้างอยู่ น้ำจากแม่น้ำใหญ่ที่ว่านี้จะไหลแยกลงคลองต่างๆหลากหลายขนาดซึ่งจะไหลผ่านทั่วทุกแยกซอกมุมเมืองนำพาชะล้างความไม่สะอาดต่างๆจากเมืองเข้าไปยังทะเลสาป จากนั้นก็ไหลออกลงมหาสมุทรไปยังผลให้เกิดบรรยากาศรอบพื้นที่เมืองสะอาดสุดสวยงาม ด้วยเส้นทางคมนาคมทางแม่น้ำลำคลองและถนนหนทางทั้งหลายเหล่านี้การเดินทางไปไหนมาไหนของชาวเมืองจะสะดวกสบายมาก ถนนและคลองนั้นกว้างมาก รถม้าฟากหนึ่ง กับเรืออีกฟากหนึ่งก็สามารถวิ่งแล่นผ่านไปมาขนส่งสินค้าและผู้คนพลเมืองอย่างคึกคักสะดวกรวดเร็วตลอดเวลา2
ทางด้านตรงข้ามนั้น เมืองถูกขวางกั้นด้วยช่องทางน้ำผ่านยาวราวๆ 40 ไมล์ ขนาดกว้างมาก เต็มไปด้วยน้ำจากแม่น้ำที่บรรยายมาแล้วนั้นเอง ช่องทางน้ำผ่านนี้สร้างขึ้นโดยกษัตริผู้ครองเมืองหลายๆพระองค์แต่โบราณเพื่อการระบายน้ำที่ท่วมล้นฝั่งแม่น้ำลำคลองในหน้าน้ำหลากให้ระบายออกทางคลองใหญ่ที่ขุดขึ้นนี้ และนี่ก็เป็นการปกป้องข้าศึกที่อาจมารุกรานด้วย แถมดินที่ได้จากการขุดคลองระบายน้ำก็ถูกโยนเข้าไปด้านในเมืองเป็นคันดินคันคลองสูงติดขอบแนวเมืองช่วยป้องกันเมืองอีกชั้นหนึ่ง3
ในส่วนนี้ของเมือง มีตลาดใหญ่เป็นตลาดหลักอยู่สิบแห่ง ในส่วนอื่นๆของเมืองก็มีตลาดขนาดต่างๆอีกมาก เฉพาะตลาดกลางที่ว่ามีขนาดใหญ่นั้น จะเป็นตลาดรูปสี่เหลี่ยมด้านละครึ่งไมล์ ด้านหน้าตลาดติดถนนสายหลักหลางเมือง (main street) ขนาดกว้าง 40 ก้าว ถนนสายหลักนี้ผ่านกลางเมืองถึงจุดปลายสุดทั้งสองด้านของเมือง โดยมีสะพานต่างๆมากมายระหว่างทางที่ข้ามแม่น้ำลำคลองซึ่งสะพานทั้งหลายมีความลาดขึ้นลงเนินที่ยวดยานต่างๆเดินทางข้ามสะพานได้อย่างสะดวกสบาย สิบตลาดใหญ่ขนาด 2 ไมล์รอบวงสี่เหลี่ยม(ดังที่ว่านั้น)จะอยู่ตามรายทางทุกๆสี่ไมล์ ที่เป็นแนวขนานไปกับถนนใหญ่และตลาดใหญ่นี้จะมีคลองขนาดใหญ่ยาวไปแนวเดียวกัน ฝั่งคลองด้านติดตลาดสี่เหลี่ยมจะมีอาคารขนาดใหญ่สร้างด้วยหินตามแนวคันคลองใช้เป็นโกดังเก็บสินค้าจากพ่อค้าอินเดียและพ่อค้าจากต่างประเทศอื่นๆ เพื่อความสะดวกในการส่งสินค้าเข้าตลาดได้รวดเร็ว ที่ตลาดใหญ่ทั้งสิบนั้นจะเปิดตลาดค้าขายสัปดาห์ละสามวัน มีคนเข้าแต่ละตลาดวันละ 40,000-50,000 คน นำสินค้าข้าวของเครื่องใช้อาหารการกินมาขายกันเนืองแน่น มีสิ่งจำเป็นในชีวิตขายอุดมสมบูรณ์ สารพัดเนื้อสัตว์บ้าน และเนื้อสัตว์ป่า เนื้อกวางตัวผู้ (roebuck), กวางแดง (red-deer), กวางรกร้าง (fallow-deer), กระต่ายป่า (hares), กระต่ายบ้าน (rabbits), นกกระทา (partridge),  ไก่ฟ้า (pheasants), นกกระทา (francolins), นกกระทา (Quails),ไก่ (fowls), ไก่ตอน (capons), เป็ด, และห่าน จำนวนมากแบบไม่มีจำกัด เพราะเลี้ยงกันมากมายในทะเลสาปกลางเมือง ห่านสองตัวกับเป็ดอีกสี่ตัวซื้อได้ในราคาเพียงเหรียญเงินเวนิส (Venice groat of silver) เหรียญเดียว  แล้วยังมีโรงฆ่าสัตว์ใหญ่เช่นวัวเนื้อขนาดต่างๆ ทั้งเนื้อลูกวัว (calves) และวัวเนื้อขนาดใหญ่ (beeves), ลูกแพะ (kids), แกะ (lambs), เนื้อสัตว์พิเศษเหล่านี้เป็นอาหารสำหรับพวกคนรวยและพวกเจ้านายขุนนางคนสูงศักดิ์ในเมือง4
ตลาดทั้งหลายเหล่านี้มีสารพัดผักและผลไม้วางขายมากมายทุกประเภท ผลไม้นั้นก็มีที่พิเศษสุดคือลูกแพร์ขนาดมหึมาหนักถึงลูกละสิบปอนด์ เนื้อขาวหอมยังกับขนมหวาน มีลูกพีชตามฤดูกาลสีเหลืองและสีขาวรสชาติสุดอร่อยหอมหวาน5
เมืองนี้ไม่ได้ปลูกองุ่นทั้งพันธ์ุทำเหล้าไวน์และองุ่นสดพันธุ์ทั่วไป แต่ก็นำเข้าองุ่นแห้งหรือลูกเกด และเหล้าไวน์จากต่างประเทศ คนพื้นเมืองที่นี่ไม่สนใจเหล้าไวน์อะไรนัก เพราะพวกเขาชอบและคุ้นเคยกับเหล้าขาวที่ทำจากข้าวและเครื่องเทศมากกว่า จากทะเลมหาสมุทร (Ocean Sea) ก็มีปลาทะเลมาส่งตลาดมากมายทุกวัน เรือปลาจากทะเลแล่นทวนน้ำเข้าแม่น้ำมาถึงตลาดเป็นระยะทางไกล 25 ไมล์ ก็จะเห็นชาวประมงทะเลทั้งหลายมาตลาดปลากันมากมาย ชาวประมงทะเลเหล่านี้ไม่ทำอย่างอื่นเลยนอกจากหาปลาทะเลมาขายตลาด ปลาของเขามีมากมายหลายชนิด ตามฤดูกาล  และด้วยของเสียที่ชาวเมืองทิ้งและไหลลงทะเลสาปที่กลายเป็นอาหารปลาอย่างดีทำให้ปลาอ้วนสมบูรณ์ สด มัน อร่อย ใครก็ตามที่มาเห็นปริมาณปลามากหมายมหาศาลที่ตลาดทั้งหลายนี้ก็ยากที่จะจินตนาการได้ว่าจะขายปลากันหมดทุกวันไปได้อย่างไรกัน แต่เอาเข้าจริงๆปลาขายหมดเกลี้ยงตลาดภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง รสนิยมการกินอยู่ของคนเมืองนี้จัดอยู่ในระดับสูง กินแต่ของดีๆกันทั้งนั้น เขานิยมกินปลาและเนื้อสัตว์อื่นในมื้อเดียวกันเลย
ทั้งสิบตลาดที่ว่านั้นจะมีบ้านสูงๆรายรอบ ชั้นล่างเป็นที่ขายของสารพัดสิ่ง รวมทั้งเครื่องเทศ อัญมณี และไข่มุก บางร้านขายเหล้าขาวทำจากข้าวและเครื่องเทศโดยเฉพาะไม่ขายอย่างอื่นเลยก็มี  เขาจะทำเหล้าขาวสดใหม่ขายทุกวัน แถมราคาถูกอีกต่างหาก
มีถนนบางสายในเมืองนี้เป็นที่อยู่เฉพาะของพวกผู้หญิงในเมือง มีจำนวนมากจนข้าพเจ้าไม่กล้านับจำนวนว่าจะเท่าไรอย่างไร พวกเธอจะได้รับการจัดที่ให้อยู่เฉพาะแห่งใดแห่งหนึ่งใกล้ตลาด แต่ที่อื่นๆทั่วเมืองก็จะพบพวกสตรีเหล่านี้ พวกเธอจะแต่งตัวสวยงามสดใส ประพรมน้ำอบน้ำหอมฟุ้ง อยู่ในบ้านที่ตกแต่งสวยงามและมีผู้หญิงคอยรับใช้เป็นแถว สตรีสวยงามเหล่านี้มีศิลปะและทักษะสูงในการปรนนิบัติเอาใจและการสนทนาเอาใจเหล่าแขกเหลื่อที่มาเยือน คนแปลกหน้าที่มาใช้บริการแทบจะเรียกได้ว่าหลงไหลในเสน่ห์ของสตรีเหล่านี้ราวกับว่าได้ถูกสะกดจิตให้ลุ่มหลงจนมิอาจสลัดให้หลุดพ้นเสน่ห์ยั่วยวนของพวกเธอไปได้เลย เหล่าชายที่มาเยือนนั้น พอกลับบ้านตัวเองไปแล้วมักจะพูดว่า ได้ไปเที่ยวเมือง Kinsay อันเสมือนเป็นเมืองสวรรค์ (Kinsay or the City of Heaven) และถ้าเป็นไปได้ก็จะกลับไปอีกแน่นอน6
ถนนสายอื่นๆก็เป็นบ้านแพทย์และโหราจารย์ โหราจารย์นั้นก็ทำหน้าที่เป็นครูสอนการอ่านและเขียนด้วย ผู้ประกอบอาชีพอื่นๆก็อาศัยเรียงรายโดยรอบวงของตลาดใหญ่นี้เช่นกัน ในแต่ละตลาดใหญที่เล่าถึงนี้ พื้นที่ตรงกลางมีมีสถานที่ขนาดใหญ่สองอาคารหันหน้าเข้าหากันเป็นที่ทำงานของเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยกษัตริย์ให้ทำหน้าที่ตัดสินคดีความขัดแย้งต่างๆในตลาด ทั้งระหว่างพ่อค้าแม่ค้าด้วยกัน หรือระหว่างประชาชนที่อยู่อาศัยโดยรอบ และทำหน้าที่เฝ้าระวังด้วยว่าทุกสะพานในพื้นที่รับผิดชอบจะต้องมียามรักษาการณ์แต่ละสะพานตลอดเวลาไม่ว่างเว้น หากพบว่าทหารเฝ้าสะพานขาดหายไปก็สามารถตัดสินลงโทษผู้เกี่ยวข้องตามที่เห็นสมควรได้เลย
ตามเส้นทางถนนสายใหญ่ผ่ากลางเมืองจากปลายสุดฟากหนึ่งไปปลายสุดอีกฟากหนึ่งที่เล่าไปแล้วนั้น สองข้างทางจะมีบ้านเรือนใหญ่โต สถานที่สำคัญต่างๆ พร้อมด้วยสวนสาธารณะสวยงาม สลับด้วยร้านค้าที่ขายสินค้าหลากหลายตลอดสาย ผู้คนที่ท่านพบเห็นย่านนี้ตลอดเวลานั้น ทั้งเดินทางผ่านและมาจับจ่ายใช้สอย มากันมากมายล้นหลามจนไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีจะสินค้าอะไรพอขายไม่แบบขาดตลาดได้ แต่พอมาเห็นด้วยตาตนเองก็จะพบว่า ทุกวันทุกเวลาที่เปิดตลาดพ่อค้าแม่ค้าจะมีของขายและเตรียมสินค้าเข้ามาทั้งทางบกทางน้ำเอามาสำรองเพิ่มเติมจนพอขายได้ทั้งวันไม่ขาดตกบกพร่องเลย
ขอยกตัวอย่างสินค้าสักอย่างหนึ่ง เอาพริกไทย (pepper) ก็ได้ พริกไทยเป็นสินค้าที่มีความต้องการมากมหาศาลทุกวัน  เนื้อสัตว์ เหล้าไวน์ (เหล้าขาว) ของชำต่างๆ ล้วนเป็นสินค้าหลักๆอันเป็นที่ต้องการของประชาชนโดยทั่วไปมาก  ตอนนี้ท่านมาร์โค โปโล ก็ได้ยินข้าราชการฝ่ายศุลกากรในองค์พระมหาจัรพรรดิ์ข่านบอกว่าปริมาณพริกไทยที่นำเข้ามาขายในเมือง Kinsay ทั้งหมดมากถึงวันละ 43 เที่ยวขนส่ง (loads) ซึ่งหนึ่งเที่ยวขนส่งประมาณน้ำหนักเท่ากับ 223 ปอนด์7
บ้านเรือนประชาชนนั้นสร้างกันอย่างมีคุณภาพมั่นคงสวยงาม การตกแต่งบ้านทั้งนอกบ้านในบ้านก็วิจิตรบรรจงด้วยงานจิตรกรรมและสถาปัตยกรรม ราคาค่าลงทุนก่อสร้างจะทำให้ท่านทึ่งว่าเขายอมเสียเงินสร้างบ้านกันอย่างเต็มที่ขนาดที่คาดไม่ถึงเลยจริงๆ 
คนเมืองนี้มีลักษณะเป็นผู้รักสงบ ด้วยว่าเป็นผู้มีการศึกษาดี และเป็นผู้ปฏิบัติตนตามอย่างองค์พระมหาจักรพรรดิ์ผู้ทรงปฏิบัติแต่คุณงามความดีสม่ำเสมอ ชาวเมืองนี้ไม่รู้จักการใช้อาวุธ ไม่มีอาวุธใดๆในบ้าน ท่านจะไม่มีวันได้ยินเสียงผู้คนทะเลาะเบาะแว้งขึ้นเสียงตะโกนต่อว่าด่าทออะไรต่อกันและกันเลย ในการทำธุรกิจการค้าระหว่างกัน การผลิตสินค้ามาขายกัน มีแต่ความซื่อสัตย์สุจริตจริงใจมีน้ำใจไมตรีต่อกันอย่างแท้จริง มีความเป็นมิตรกันในหมู่เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงบนถนนเดียวกันนี้ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย ท่านได้เห็นแล้วอาจจะนึกไปเลยว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเครือญาติเดียวกันแน่เลย8
อันว่าความรู้สึกเป็นมิตรไมตรีเหมือนครอบคัวเดียวกันที่ว่ามานี้ จะไม่มีการอิจฉาริษยาต่อกันเลย ไม่มีการหวาดระแวงเรื่องผู้หญิงบ้านโน้นบ้านนี้เลย เขาจะปฏิบัติต่อพวกผู้หญิงอย่างเคารพให้เกียรติอย่างสูง หากผู้ชายคนไหนมีพฤติกรรมแทะโลมล่วงเกินผู้หญิงก็จะถูกตำหนิอย่างเสียหายรุนแรงว่าเป็นคนไม่ดีหยาบคายนิสัยเสีย (infamous rascal) นอกจากนี้ชาวเมืองก็ยังปฏิบัติอย่างดีเป็นมิตรมีไมตรีดีงามกับพ่อค้าต่างชาติต่างถิ่นที่เข้ามาค้าขายด้วย ดูแลทุกข์สุขจนชนะใจ ให้คำแนะนำความช่วยเหลือเจือจานทางธุรกิจเต็มที่ ส่วนเรื่องที่ชาวเมืองไม่ชอบที่จะเห็นคือพวกทหารที่มาประจำการในเมือง เขาไม่อยากเห็นหน้าพวกทหารเพราะถือว่าพวกทหารเหล่านี้เองแหละที่เข้ามากวาดต้อนรบราล้มล้างขับไล่กษัตริย์เจ้านายผู้ปกครองแต่เดิมของพวกเขาออกไป
บนทะเลสาปที่เคยเล่าให้ฟังก่อนนี้แล้วนั้นจะมีเรือแพมากมายหลายขนาดและรูปแบบที่ใช้จัดงานรื่นเริง แต่ละลำขนาด 15-20 ก้าว จุคนได้ 10-15-20 คน หรืออาจมากกว่านั้น เป็นเรือท้องแบนขนาดกว้างพอเหมาะ คนที่ประสงค์จะเช่าไปกับผู้หญิงเพื่อความสำราญ หรือจะไปกันเฉพาะผู้ชายก็ได้ จะได้รับความสะดวกพร้อมด้วยข้าวของเครื่องใช้จัดงานทุกอย่าง ส่วนหลังคาชั้นบนจะราบแบน เป็นที่ยืนถ่อเรือของพนักงาน จะให้ถ่อพาเรือไปทิศทางไหนก็ได้ เพราะทะเลสาปนั้นตื้นเพียงสองก้าวเท่านั้น ใต้หลังคาเรือและส่วนภายในทั้งหมดมีภาพวาดหลากสีสันสวยงามประดับประดา มีหน้าต่างรอบตัวเรือปิดเปิดได้ตามต้องการ คนที่มาเที่ยวในเรือสามารถดูวิวสวยงามรอบๆเรือได้อย่างสบาย แน่นอนการลงเรือเที่ยวชมวิวในทะเลสาปแบบนี้ย่อมสวยงามน่ารักมากกว่าเที่ยวบนบกมาก  มองไปด้านหนึ่งของเรือจะเห็นตัวเมืองทอดยาวตลอดเส้นทาง ดูจากเรือจะเห็นภาพกว้างครอบคลุมอาณาบริเวณตัวเมืองทั้งหมดในระยะไกลสวยงามยิ่งใหญ่ เรียงรายไปด้วยปราสาทราชวังวัดวาอารามโบสถ์วิหารสวนสาธารณะแซมแทรกด้วยไม้ยืนต้นสูงๆค่อยลาดเทลงไปตามลักษณะพื้นที่ลงสู่ชายฝั่งทะเลเบื้องล่าง ในทะเลสาปก็มิเคยได้ขาดภาพของบรรดาเรือแพต่างๆอันเป็นเรือสำราญมีผู้คนเฮฮาปาร์ตี้กันสนุกสนาน พลเมืองมาพักผ่อนกันยามบ่ายหลังเสร็จสิ้นงานหนักมาทั้งวัน ได้พักผ่อนสนุกกันกับบรรดาสตรีสมาชิกในครอบครัว หรือบางทีก็อาจจะมากับสตรีที่มิใช่สมาชิกครอบครัวผู้มีกิติศัพท์ในทางหวือหวาบ้างก็ย่อมได้ (in enjoyment with the ladies of their families, or perhaps with others less reputable,) ไม่ว่าจะเป็นบนเรือในทะเลสาปนี้ หรือจะในรถม้าวิ่งไปตามถนนก็ตาม9
ในเรื่องการเที่ยวโดยรถเทียมม้าไปตามถนนสายต่างในเมืองนี้ มีเรื่องจะเล่าให้ฟังอยู่ด้วยบางเรื่อง อันว่าการเที่ยวทางบกบนถนนนั้นก็เป็นวิถีทางพักผ่อนของชาวเมืองทำนองเดียวกับการเที่ยวพักผ่อนทางน้ำในทะเลสาป  บนถนนสายใหญ่กลางเมืองนี้จะเห็นผู้คนเดินทางขวักไขว่ไปมาตลอดเวลา รถเทียมม้าทั้งหลายนั้นมีขนาดยาว เป็นห้องปิดม่านมิดชิดภายในเป็นเบาะนั่งสบาย กว้างพอสำหรับผู้โดยสารหกคน มีสุภาพบุรุษมากับสุภาพสตรีจองรถม้าจัดพาร์ตี้เที่ยวเพื่อความสุข (parties of pleasure) ของหญิงชายกันมากทั้งวัน พวกเขาจะนั่งรถม้าไปแวะชมสวนสวยงามตามรายทางซึ่งเจ้าของสวนจะรับจัดความสนุกสนานบันเทิงให้ในศาลาหรือหอแห่งความบันเทิงที่สร้างขึ้นมากลางสวนเพื่อจัดกิจกรรมบันเทิงนี้โดยเฉพาะ  คนมาจัดงานจะได้ผ่อนคลายลืมความเหน็ดเหนื่อยจากงานตลอดวันที่ผ่านมา สนุกกับสาวๆที่มาด้วยกัน แล้วกลับบ้านโดยรถม้าคันเดียวกันนั้นเอง10


(Further Particulars of the Palace of the King Facfur)
(รายละเอียดอื่นๆเกี่ยวกับพระราชวังของกษัตริย์ Facfur)


          ขอบเขตพื้นที่พระราชวังทั้งหมดแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนกลางเข้ามาทางประตูที่สูงมาก สองข้างมีหอที่สร้างขึ้นจากระดับพื้นดิน เสารอบศาลาตั้งรองรับหลังคาลวดลายสีทองสลับสีฟ้าใสสว่าง ตรงข้ามกับประตูนี้มีศาลาใหญ่เป็นศาลาหลังกลาง ใหญ่กว่าศาลาอื่น ทาสีเสารอบๆพร้อมสลักลวดลายสีทองแบบเดียวกัน บนเพดานประดับรูปปั้นฉาบทองอร่ามตา ผนังรอบมีภาพวาดบอกเล่าประวัติศาสตร์อันเป็นเรื่อราวของพระมหากษัตริย์พระองค์ต่างๆที่ผ่านมา
ในวันสำคัญอันเป็นวันศักดิ์สิทธิ์บางวัน กษัตริย์ Facfur* เคยใช้ที่นี่เป็นที่จัดงานเลี้ยงฉลองบรรดาแม่ทัพนายกอง บุคคลผู้ทรงเกียรติ เจ้าของโรงงานผลิตสินค้าผู้ร่ำรวยแห่งนคร Kinsay นี้ ในโอกาสดังกล่าวนั้น ห้องหอที่จัดงานจะจุคนได้ 10,000 คน นั่งตามโต๊ะเลี้ยงอาหารได้อย่างสบายๆ งานเลี้ยงพระราชทานนี้จัดติดต่อกันนานสิบถึงสิบสองวัน เป็นงานแสดงความยิ่งใหญ่อลังการวิจิตรตระการตามโหฬารมหาศาลเป็นที่ตรึงตราประทับใจผู้รับเชิญมาร่วมงานเป็นที่สุด (exhibited an astonishing and incredible spectacle in the magnificence of the guests,) ผู้มาร่วมงานแต่งตัวด้วยผ้าไหมผ้าทอง ประดับด้วยอัญมณีเรียวเป็นแถวแนวแพรวพราวทั้งตัว ต่างคนต่างก็แต่งตัวประชันกันในเรื่องความมั่งคั่งความสูงศักดิ์ในตำแหน่งพระราชทาน และอวดโอ่ความวิจิตรพิศดารของเสื้อผ้าอาภรณ์ของตน ด้านหลังของศาลาอันยิ่งใหญ่ที่หันหน้าไปทางประตูใหญ่นี้มีกำแพงและทางทะลุผ่าน เป็นส่วนปิดแยกส่วนพระราชวังส่วนใน เวลาเดินผ่านเข้าทางนี้ไปสู่พระราชวังส่วนในก็จะพบระเบียงทางเดินยาว (cloister) โดยรอบมีทางเดินเข้าด้านหน้าค้ำด้วยเสาสูง ผ่านเข้าไปจะเป็นห้องหอพระตำหนักบรรทมต่างๆสำหรับพระมหากษัตริย์และพระราชินี แต่ละช่วงของระเบียงคดโค้งไปตามรายทางมีหอพักแรมของเหล่าสตรีสาวนางสนมกำนัลรอรับใช้เบื้องพระยุคลบาท สาวน้อยเหล่านี้ได้รับการจัดที่ให้อยู่กันได้ถึงหนึ่งพันคน องค์พระมหากษัตริย์นั้นบางทีก็เสด็จพร้อมด้วยพระราชินีพร้อมด้วยนางสนมสาวๆตามเสด็จไปด้วยเพื่อพระองค์จะได้เพลิดเพลินเจริญพระราชหฤหัยในทะเลสาป หรือบางที่ก็เสด็จไปนมัสการรูปสักการะแห่งเทพเจ้า เสด็จทางเรือพระที่นั่งที่ครอบด้วยกรอบม่านผ้าไหมปิดล้อมห้องพระที่นั่งอย่างสวยงาม
ส่วนที่แยกออกไปอีกสองส่วนในพื้นที่พระราชวังนั้นก็เป็นสวนป่ากว้างใหญ่สวยงามต่อด้วยน้ำอันเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาป กับอีกส่วนหนึ่งเป็นสวนผลไม้อันเป็นส่วนที่อยู่ของสัตว์ป่าต่างๆ เช่น กวางตัวผู้ (roebuck), กวางแดง (red-deer), กวางรกร้าง (fallow-deer), กระต่ายป่า (hares), และกระต่ายบ้าน (rabbits) เป็นต้น ณ ที่นี้เองที่องค์พระมหากษัตริย์จะทรงเพลินเพลินเจริญพระราชหฤทัยไปกับบรรดาสาวน้อยรูปงามทั้งหลายของพระองค์ บ้างก็อยู่ในรถม้า บ้างก็อยู่บนหลังม้า โดยห้ามมิให้ผู้ใดใครอื่นแปลกปลอมเข้ามาเห็นเป็นเด็ดขาด บางทีพระองค์ก็จะให้สาวๆวิ่งไปกับสุนัขไล่ตามล่าสัตว์ป่าทั้งหลายไปจนเหน็ดเหนื่อย แล้วสาวๆก็หลบไปแอบพักหลังพุ่มไม้ที่ขึ้นเรียงรายชายขอบทะเลสาป ทรงบอกให้สาวๆถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้ในพุ่มไม้ป่าละเมาะ เดินออกมาตัวเปล่าเปลือย แล้วให้กระโดดลงเล่นน้ำแหวกว่ายไปมาในทะเลสาป ขณะเดียวกันพระองค์ทรงทอดพระเนตรสาวๆเหล่านั้นอย่างพอพระทัย แล้วพระองค์ก็เสด็จกลับพร้อมกับทุกคน ( ...and when they were tired they would hie to the groves that overhung the lakes, and leaving their clothes there they would come forth naked and enter the water and swim about hither thither, whilst it was the King’s delight to watch them; and then all would return home.) บ้างครั้งองค์พระมหากษัตริย์ก็ทรงให้นำพระกระยาหารไปเสวยเป็นพระกระยาหารค่ำในสวนป่าบริเวณที่รอบล้อมด้วยไม้ยืนต้นสูงๆ พวกสาวๆก็ปฏิบัติหน้าที่สนองพระราชประสงค์ปรนเปรอพระองค์ในสวนป่านั้น นั้นแหละที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้ชีวิตคละเคล้ากิเลสราคะกับนางสนมสาวๆเหล่านั้นไปวันๆ โดยมิพักจะสนพระทัยใฝ่รู้ในเรื่องการศึกสงคราม! และผลพวงจากพระอุปนิสัยไฝ่กามราคะและขลาดกลัวไม่กล้าหาญชาญศึกเช่นนี้ ยังผลให้พระองค์สูญเสียแผ่นดินสิ้นชาติ ตกเป็นเมืองขึ้นขององค์พระมหาจักรพรรดิ์ข่าน อันเป็นเรื่องราวที่อัปยศดังที่ท่านทั้งหลายเคยได้ยินมาก่อนแล้วนั้นเอง11
เรื่องทั้งหมดนี้นั้น มีพ่อค้าผู้มั่งคั่งมากคนหนึ่งมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง เขาเป็นคนสนิทชิดใกล้กับกับกษัตริย์ Facfur และรู้เรื่องราวของพระองค์อย่างละเอียด เขาเคยเห็นพระราชวังอันงดงามในยุครุ่งเรืองมาแต่อดีต แล้วยินดีอาสาเป็นคนนำทางพาข้าเจ้าเที่ยวดูแล้วเล่าเรื่องต่างๆให้ข้าพเจ้ารับรู้ ครั้นเมื่อสูญสิ้นเอกราชหลังถูกยึดครองโดยองค์พระมหาจักร-   พรรดิ์ข่าน ก็ทรงให้ตั้งกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นมาแทน ตัวอาคารหอจัดพระราชทานงานเลี้ยงรื่นเริงต่างยังคงอยู่ แต่บรรดาห้องหอที่พำนักของเหล่าสาวงามนั้นถูกปล่อยให้ชำรุดทรุดโทรมไป ทิ้งไว้เพียงร่องรอยให้สังเหตุพอได้เค้าลาง  กำแพงที่ล้อมรอบสวนป่าและสวนผลไม้นั้นพังทลายไป ต้นไม้ใหญ่น้อยและเหล่าสัตว์ป่าสูญหายไปหมดแล้ว ไม่มีเหลือให้ชื่นชมอีกต่อไป ณ วันนี้.12]

______________________________________________________________________

Note 1.
Note 2.
Note 3.
Note 4.
Note 5.
Note 6.
Note 7.
Note 8
Note 9.
Note 10.
Note 11.
Note 12.

______________________________________________________________________

CHAPTER LXXVIII
Treating of the Yearly Revenue The the Great Kaan Hath From Kinsay
ว่าด้วยเรื่องภาษีอากรที่องค์มหาจักพรรดิ์ข่านทรงเก็บจากนคร Kinsay
[pp.215-218]
​          ตอนนี้ข้าพเจ้าจะขอเล่าให้ท่านฟังเรื่องรายได้จากภาษีอากรที่พระมหาจักรพรรดิ์ข่านทรงจัดเก็บได้ในแต่ละปีจากเมือง Kinsay ที่ว่านี้ กับเมืองบริวาร รวมทั้งหมดเก้าเขตในแคว้น Manzi
ลำดับแรก จากเกลือ ภาษีอากรจากเกลือทะเลเป็นรายได้มหาศาล ทุกๆปีเป็นตัวเลขกลมๆเท่ากับ 80 เหรียญทอง tomans หนึ่ง toman มีค่าเท่ากับ 70,000 sagi of gold (เหรียญทอง saggi) รวม 80 tomans ก็เท่ากับห้าล้านกับหกแสน saggi of 999.900% gold, หนึ่ง saggio มีมูลค่ามากกว่าหนึ่ง gold florin หรือหรือ ducat (เหรียญทอง Duke) ว่ากันตรงๆก็คือมันเป็นมูลค่ามหาศาลจริงๆ! [ก็แน่หละ ดินแดนแคว้นนี้มีพื้นที่ติดทะเล และรอบชายฝั่งมีบึงบ่อน้ำทะเลที่กลายเป็นเกลือเมื่อถึงเวลาน้ำระเหยแห้งไปในหน้าร้อน จึงเป็นนาเกลือผลิตเกลือได้พอเลี้ยงทั้งห้าราชอาณาจักรของ Manzi ไม่นับที่นี่ซึ่งเป็นเขตที่หก]
เล่าเรื่องรายได้เข้าคลังจากภาษีเกลือแล้ว คราวนี้ขอเล่าเรื่องภาษีอากรที่องค์จักรพรรดิ์ข่านเก็บได้เพิ่มพูนขึ้นไปอีกจากการค้าขายสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ท่านจำต้องรู้ด้วยว่าเมืองนี้และเมืองบริวารอันเป็นเมืองขึ้นเช่นกัน สามารถผลิตน้ำตาลทรายได้มาก รวมทั้งอีกแปดเขตอื่นก็ผลิตน้ำตาลทรายได้มาก ข้าพเจ้าว่าส่วนที่เหลือเขตอื่นในโลกทั้งโลกก็คงไม่สามารถผลิตน้ำตาลทรายได้มากเท่าที่นี่ ก็ต้องสมมุติว่าอย่างน้อยๆที่ฟังมาจากหลายๆคนนั้นเป็นเรื่องจริง เฉพาะภาษีอากรจากน้ำตาลทรายก็มหาศาลแล้ว --- อย่างไรก็ตามข้าพเจ้าก็จะไม่แยกเล่าเรื่องภาษีอากรจากสินค้าแต่ละชนิดทุกชนิดไป แต่จะขอเล่ารวมเป็นกลุ่มสินค้าไปจะดีกว่า เอาละ ในกลุ่มสินค้าเครื่องเทศให้จัดเก็บภาษีอากร 3 ⅓ % (3.33%) จากมูลค่าสินค้า, สินค้าอื่นๆก็เก็บ 3.33% เท่ากัน,  [แต่สินค้านำเข้าทางทะเลจากอินเดียและประเทศแดนไกลทั้งหลายเก็บภาษี 10%]  เหล้าขาวก็ทำรายได้ดี, อีกทั้งถ่านหินที่มีขายกันปริมาณมากๆเช่นกัน,  และกลุ่มช่างฝีมืออีกสิบสองกลุ่มที่ข้าพเจ้าเคยเล่าให้ฟังแล้วนั้น พวกนี้แต่ละกลุ่มก็มีสถานีค้าขายปลีกกลุ่มละ 12,000 สถานี ไม่ว่าเขาจะทำอะไรมาขายต้องเสียภาษีอากรทั้งสิ้น และผ้าไหมที่ผลิตกันมากมายที่นี่ก็ทำรายได้เข้าราชอาณาจักรมหาศาลเช่นกัน  แต่ว่าทำไมข้าพเจ้าจึงต้องเล่าเรื่องนี้ยืดยาวนัก? ก็เพราะท่านต้องรู้ว่าภาษีสินค้าผ้าไหมนั้นเก็บถึง 10% ภาษี ภาษีสินค้าอื่นๆอีกมากมายก็เก็บ 10% 
และท่านจำต้องรู้ด้วยว่า ท่านมาร์โค โปโล ผู้เล่าเรื่องนี้ทั้งหมดทุกเรื่องนั้นได้ถูกองค์พระจักรพรรดิ์ข่านส่งไปเป็นเป็นผู้ตรวจการภาษีอากรอันเป็นรายได้แผ่นดินในเขตที่เก้าของราชอาณาจักร Manzi นี้ด้วย1 และท่านมาร์โค โปโลพบว่านอกเหนือจากภาษีเกลือที่บอกเล่าไปแล้วนั้น เฉพาะส่วนที่เหลือได้เป็นภาษีอากรเข้าแผ่นดิน 210 เหรียญทอง tommans ซี่งก็เท่ากับ 14,700,000 เหรียญทอง saggi (saggi of gold) นับได้ว่าเป็นมูลค่าภาษีอากรที่มหาศาลที่สุดเท่าที่เคยได้ยินมา และเมื่อที่นี่เป็นเพียงพื้นที่หนึ่งในเก้าราชอาณาจักรในปกครองของพระองค์เท่านั้น คิดรวมทั้งหมดท่านก็คำนวนเอาเองก็ได้ว่ามันจะมโหฬารมหาศาลขนาดไหน! อย่างไรก็ตาม หากจะพูดตามความเป็นจริง ส่วนนี้ของราชอาณาจักรถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดมีผลิตผลมากทที่สุด และด้วยสาเหตุที่ว่ารายได้เข้าคลังที่องค์พระมหาจักรพรรดิ์ข่านได้จากที่นี่อย่างมหาศาล ทำให้ที่นี่กลายเป็นเขตแคว้นทรงโปรดเป็นพิเศษของพระองค์ ทรงเฝ้าปกครองดูแลที่นี่อย่างใกล้ชิด และทรงจัดการให้พสกนิกรเมืองนี้อยู่อย่างมีความสุขสมบูรณ์พอใจจริงๆ2


ณ บัดนี้ เราขอยุติการเล่าเรื่องเมืองไว้เท่านี้ และขอไปเล่าเรื่องเมืองอื่นๆต่อไป.



______________________________________________________________________
*เรียก Fanfur ตามฉบับของ Ramusio
Note 1.
Note 2.

______________________________________________________________________

CHAPTER LXXIX
Of the City of Tanpiju and Others
​ว่าด้วยเรื่องเมือง Tanpiju และ เมืองอื่นๆ

[โปรดติดตาม]

Vertical Divider
Vertical Divider

THAIVISION®
REFLECTION ON EVENTS ON PLANET EARTH AND BEYOND 
​©2023 All Rights Reserved  Thai Vitas Co.,Ltd.  Thailand  
✉️
​
[email protected]
  • REFLECTION
    • MORNING WORLD >
      • THAKSIN and ASEAN
      • THAKSIN 2010
      • BOBBY SANDS
    • IN CONTEXT >
      • CLASS WAR IN THAILAND?
      • ราชอาณาจักรแห่งบ่อนการพนัน
      • หน้าที่พลเมืองและศีลธรรม
      • SINGAPORE VS TRUMP'S TARIFF
      • สงครามการค้า สหรัฐฯ vs. ไทย
      • IN CONTEXT 17/2024 [Earth Day 1970-2024]
      • IN CONTEXT 16/2024
      • IN CONTEXT 15/2024
      • IN CONTEXT 14/2024
      • IN CONTEXT 13/2024
      • IN CONTEXT 12/2024
      • IN CONTEXT 11/2024
      • IN CONTEXT 10/2024
      • IN CONTEXT 9/2024
      • IN CONTEXT 8/2024
      • IN CONTEXT 7/2024
      • IN CONTEXT 6/2024
  • ON PLANET EARTH
    • EARTH
    • THE WORLD >
      • SCAM INC. (The Economist)
      • SOUTH-EAST ASIAN SEA
  • THAILAND
    • THE MONARCHY >
      • THE MONARCHY IN WORLD FOCUS
      • 9th KING BHUMIBOL- RAMA IX >
        • KING BHUMIBOL AND MICHAEL TODD
        • Queen Sirikit 1979
        • THE KING'S WORDS
        • THE KING AND I
      • 5th KING CHULALONGKORN >
        • KING CHULALONGKORN THE TRAVELLER
        • KING CHULALONGKORN THE INTERNATIONALIST
      • PHRA THEP (PRINCESS SIRINDHORN)
    • DEMOCRACY IN THAILAND
    • NATIONAL PARKS OF THAILAND >
      • KHAO YAI NATIONAL PARK
      • PHA TAEM NATIONAL PARK
      • PHU WIANG NATIONAL PARK
      • NAM NAO NATIONAL PARK
      • PHU HIN RONG KLA NATIONAL PARK
      • PHU KRADUENG NATIONAL PARK
      • PHU RUEA NATIONAL PARK
      • MAE YOM NATIONAL PARK
      • DOI SUTHEP-PUI NATIONAL PARK
      • DOI INTHANON NATIONAL PARK
      • THONG PHA PHUM NATIONAL PARK
      • KAENG KRACHAN NATIONAL PARK
      • MU KO ANG THONG NATIONAL PARK
      • MU KO SURIN NATIONAL PARK
      • MU KO SIMILAN NATIONAL PARK
      • HAT NOPPHARATA THARA - MU KO PHI PHI NATIONAL PARK
      • MU KO LANTA NATIONAL PARK
      • TARUTAO NATIONAL PARK
    • THAKSIN and ASEAN
  • AND BEYOND
  • THE LIBRARY
    • THE ART OF WAR by SUN TZU
    • SUFFICIENCY ECONOMY BY KING BHUMIBOL OF THAILAND
    • SOFT POWER (Joseph Nye, Jr.)
    • CONVERSATIONS WITH THAKSIN by Tom Plate
    • THE GREAT ILLUSION/Norman Angell
    • MORNING WORLD BOOKS >
      • CASINO ROYALE
      • 1984
      • A BRIEF HISTORY OF TIME
      • A HISTORY OF THAILAND
      • CONSTITUTION OF THE UNITED STATES
    • SCIENCE >
      • ประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์
      • HUMAN
    • DEMOCRACY IN AMERICA
    • FIRST DEMOCRACY
    • JOHN MUIR
    • MODELS OF DEMOCRACY
    • MULAN
    • THE VOYAGE OF THE BEAGLE
    • ON THE ORIGIN OF SPECIES
    • PHOOLAN DEVI
    • THE REPUBLIC
    • THE TRAVELS OF MARCO POLO
    • UTOPIA
    • A Short History of the World [H.G.Wells]
    • WOMEN OF ARGENTINA
    • THE EARTH : A Very Short Introduction
    • THE ENGLISH GOVERNESS AT THE SIAMESE COURT
    • TIMAEUAS AND CRITIAS : THE ATLANTIS DIALOGUE
    • HARRY POTTER
    • DEMOCRACY / HAROLD PINTER
    • MAGNA CARTA
    • DEMOCRACY : A Very Short Introduction
    • DEMOCRACY / Anthony Arblaster]
    • DEMOCRACY / H.G. Wells
    • ON DEMOCRACY / Robert A. Dahl)
    • STRONG DEMOCRACY
    • THE CRUCIBLE
    • THE ELEMENTS OF STYLE
    • THE ELEMENTS OF JOURNALISM | JOURNALISM: A Very Short Introduction
    • LOVE
    • THE EMPEROR'S NEW CLOTHES
    • THE SOUND OF MUSIC
    • STRONGER TOGETHER
    • ANIMAL FARM
    • POLITICS AND THE ENGLISH LANGUAGE
    • GEORGE ORWELL
    • HENRY DAVID THOREAU >
      • WALDEN
    • MAHATMA GANDHI
    • THE INTERNATIONAL ATLAS OF LUNAR EXPLORATION
    • พระมหาชนก
    • ติโต
    • นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ | A Man Called Intrepid
    • แม่เล่าให้ฟัง
    • SUFFICIENCY ECONOMY
    • พระเจ้าอยู่หัว กับ เศรษฐกิจพอเพียง
    • KING BHUMIBOL AND MICHAEL TODD
    • ... คือคึกฤทธิ์
    • KING BHUMIBOL ADULYADEJ: A Life's Work
    • THE KING OF THAILAND IN WORLD FOCUS
    • พระราชดำรัสเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ >
      • THE KING'S WORDS
    • TESLA INTERVIEW 1926
  • IN MY OPINION
  • S.ONWIMON
    • MY STORY
    • THE DISSERTATION
    • THE WORKS >
      • BROADCAST NEWS & DOCUMENTARIES
      • SPIRIT OF AMERICA
      • THE ASEAN STORY
      • NATIONAL PARKS OF THAILAND
      • HEARTLIGHT: HOPE FOR AUTISTIC CHILDREN IN THAILAND
    • SOMKIAT ONWIMON AND THE 2000 SENATE ELECTION
    • KIAT&TAN >
      • TAN ONWIMON >
        • THE INTERVIEW
    • THAIVISION