ในบริบท ของ สมเกียรติ อ่อนวิมล IN CONTEXT of Somkiat Onwimon WK009/2024 [4] Soft Power - 3: Chapter One - Soft Power Explained Soft Power - 3: บทที่หนึ่ง - Soft Power อรรถาธิบาย
จากหนังสือ “Soft Power: The Means to Success in World Politics” (“อำนาจนุ่มนวล: หนทางสู่ความสำเร็จในการเมืองโลก”) โดย Prof. Joseph S. Nye, Jr. หัวใจของเรื่องแยกออกเป็นสามส่วนคือ: 1. Soft Power คืออะไร? 2. ทรัพยากรอันเป็นฐานพลังของ Soft Power คืออะไรมาจากไหน? 3. Soft Power มีข้อจำกัดอะไรบ้าง
ขอเริ่มต้นก่อนให้ละเอียดชัดเจนที่เรื่องที่หนึ่ง:
Soft Power อรรถาธิบาย?
ถ้าไม่ใช้วิธีบังคับข่มขู่เช่นการใช้กำลังทหารในการสงครามหรือให้สินจ้างรางวัลเช่นการจัดสรรหรือไม่ก็ปิดกั้นตัดขวางงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศดังสำนวนภาษาอังกฤษเปรียบเทียบเหมือนการให้หัวผักแครอทกับไม้เรียวที่ว่า “carrots and sticks” ซึ่งเป็นอำนาจแข็งหรือ “Hard Power” ศาสตราจารย์ Joseph Nye ชี้ว่ายังมีอำนาจทางอ้อมที่บางทีเรียกว่า “อำนาจระดับรอง” หรือ “the second face of power” ประเทศใดประเทศหนึ่งอาจจะได้ผลตอบกลับมาจากประเทศอื่นตามที่ปรารถนาในการเมืองระหว่างประเทศเพราะประเทศอื่นๆที่ว่านั้นมีความชื่นชมในคุณค่าคตินิยมของประเทศหนึ่งนั้นนิยมทำเลียนแบบในเรื่องที่ชื่นชอบมีพลังดลใจในอันที่จะสร้างชาติและสังคมให้มั่งคั่งรุ่งเรืองตามแบบอย่างชอบและชื่นชมอยากทำตามอย่างเปิดเผยในกรณีนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องกำหนดแนวทางและวาระที่จะจูงใจให้ประเทศอื่นๆทั้งหลายนั้นสมัครใจและผูกสัมพันธ์เข้ามาเป็นมิตรนี่แหละคือ Soft Power คือ:
“getting others to want the outcomes that you want - ทำให้คนอื่นทำในสิ่งที่เราอยากให้เขาทำให้กับเรา - co-opts ไม่ใช่ coerces - ทำโดยสมัครใจไม่ใช่โดยการบังคับให้ทำ”
Soft Power หรืออำนาจนุ่มนวลขึ้นอยู่กับพลังหล่อหลอมผู้อื่นหรือชาติอื่นให้เกิดความประสงค์หรือจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือนโยบายหนึ่งนโยบายใดมากกว่าอีกสิ่งหนึ่งหรือนโยบายหนึ่งถ้ามีทางให้จำต้องเลือกอะไรก่อนหลังก็ต้องเลือกสิ่งที่ soft Power คาดหวังก่อนอื่นหากนโยบายต่างประเทศของประเทศเราสามารถโน้มน้าวประเทศอื่นให้ทำเรื่องที่เราต้องการก่อนเรื่องอื่นได้นั่นคืออำนาจที่นุ่มนวลแท้จริงเปรียบเทียบกับเรื่องระดับส่วนตัวก็ได้ว่าในความสัมพันธ์อันเป็นความรักของชีวิตแต่งงานเป็นคู่สามีภรรยาพลังลึกลับอันเป็นเสมือนเสน่ห์แห่งเคมีระหว่างคู่รักไม่ใช่ขนาดสรีระหรือพละกำลังของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนั่นแหละเป็นพลังนุ่มนวลหรือ Soft Power ที่ดึงดูดให้ความรักแนบแน่นเป็น “power of attraction” จะเรียกว่า “พลังแห่งความรัก” ก็อาจจะได้ในโลกธุรกิจการออกคำสั่งเด็ดขาดจากผู้บริหารอาจไม่ได้ผลเท่ากับการทำให้ดูเป็นตัวอย่างคุณธรรมค่านิยมในตัวของผู้บริการกิจการนั้นย่อมเป็นพลังขับดันให้พนักงานในบริษัทมุ่งมั่นทำงานอย่างมีประสิทธิผลเกินว่าที่คาดหวังจากคำสั่งได้อีกตัวอย่างหนึ่งจากงานตำรวจชุมชนเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้วิธีการสร้างสัมพันธ์อันดีกับชุมชนชุมชนก็ยินดีร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุมชนก็สงบปลอดภัยเพราะชาวบ้านช่วยงานของตำรวจทางอ้อมโดยไม่ต้องออกคำสั่งหรือให้สินจ้างรางวัลเบี้ยเลี้ยงค่าจ้างหรือรางวัลนำจับ ศาสตราจารย์ Joseph Nye บอกว่าบรรดาผู้นำทางการเมืองทั้งหลายนั้นมีความเข้าใจมานานแล้วในเรื่องพลังอำนาจดึงดูดใจให้รักในสังคมประชาธิปไตยอำนาจนุ่มนวลทำให้ประชาชนรักสมัครใจสร้างชาติสร้างสังคมร่วมกับผู้นำทางการเมืองเปรียบเสมือนเป็นอาหารหลักของประชาธิปไตยแต่ในประเทศอำนาจนิยมหรือเผด็จการอำนาจที่ใช้ก็ตรงกันข้ามจะโน้มใจให้รักนักเผด็จการนั้นยากนักง่ายที่สุดแบบไม่ต้องเกรงใจหรือกลัวประชาชนคนไหนจะไม่รักคือการออกคำสั่งให้ทำตามรักไม่รักชอบไม่ชอบไม่สำคัญสั่งให้ทำถ้าไม่ทำก็มีโทษการเมืองแบบอำนาจนิยมจึงไม่สนใจความรักจากประชาชนสนใจเพียงการเชื่อฟังจากประชาชนเท่านั้นก็พอเพียงในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยพลังอำนาจนุ่มนวลเกิดจากขุมพลังที่มิอาจนับเป็นจำนวนหรือคำนวนปริมาณได้เหมือนอำนาจเงินหรือสิ่งตอบแทนมันมาจากบุคลิกภาพส่วนตัววัฒนธรรมประจำชาติหรือสังคมค่านิยมทางการเมืองสถาบันทางการเมืองที่เป็นแบบอย่างงดงามน่าทำตามนโยบายของรัฐที่เห็นว่าเป็นสิ่งชอบด้วยเหตุผลและมีพลังทางศีลธรรมหากมีสิ่งเหล่านี้นำทางนโยบายก็จะเป็นอำนาจ Soft Power ที่จะใช้งบประมาณการเงินน้อยมาก
อ้างข้อเขียนของศาสตราจารย์ Joseph Nye ดังนี้ : “Soft Power ไม่ใช่เรื่องเดียวกันหรือเหมือนกันกับ ‘อิทธิพล’ (influence) เพราะอิทธิพลนั้นย่อมเกิดจากอำนาจแข็งโดยการข่มขู่บังคับหรือให้สินจ้างรางวัลหรืองบประมาณช่วยต่างประเทศก็ทำได้เสมอและ Soft Power ก็ไม่ใช่แค่เรื่องการโน้มน้าวใจหรือความสามารถในการทำให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงเท่านั้นมันเป็นมากกว่านั้นแม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นส่วนสำคัญของ Soft Power แต่ความสำคัญมากกว่านั้นอยู่ที่พลังดึงดูดใจให้คิดและทำโดยธรรมชาติตามที่เราประสงค์:
ดังนั้น ‘Power’ หรือ ‘อำนาจ’ จึงมีสองสถานะคือหนึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรที่มาของอำนาจและเมื่อได้ใช้ทรัพยากรสร้างอำนาจนั้นแล้วก็จะเกิดผลลัพธ์จากการใช้อำนาจที่เป็น Soft Power นั้นหากเชื่อดังนี้แล้วก็ต้องวิเคราะห์ต่อว่าอำนาจดึงดูดให้รักนั้นบางทีก็ไม่ได้ความรักเป็นผลลัพธ์เสมอไปฝรั่งเศสถูกเยอรมนีบุกยึดได้ในปี 1940 ทั้งๆที่ฝรั่งเศสและอังกฤษสองประเทศรวมกันมีรถถังมากกว่าเยอรมนีอำนาจแข็งทำนายผลลัพธ์ของการใช้อำนาจในยามสงครามเช่นว่านี้ไม่ได้แน่นอนฉันใดอำนาจนุ่มนวลที่เป็ทรัพยากรที่ถูกใช้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการก็คาดการณ์ผลลัพธ์สุดท้ายไม่ได้แน่นอนเช่นกัน”
การอธิบายความหมายของ Soft Power จะทำได้ชัดเจนเมื่อเทียบกับ Hard Power ศาสตราจารย์ Joseph Nye อธิบายว่า: “ทางหนึ่งในอันที่จะคิดถึงความแตกต่างระหว่าง Hard Power กับ Soft Power ก็คือให้พิจารณาวิถีทางอันหลากหลายในการที่ท่านจะให้ได้มาซึ่งสิ่งหรือผลลัพธ์ที่ต้องการคุณอาจจะสั่งให้ผมเปลี่ยนทางเลือกทำตามที่คุณต้องการโดยการข่มขู่ด้วยกำลังหรือใช้การปิดกั้นขัดขวางทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า sanctions คุณอาจจะทำให้ผมปฏิบัติตามที่คุณต้องการโดยใช้อำนาจเศรษฐกิจของคุณจ่ายให้ผมให้พอคุณอาจจะจำกัดปรับเปลี่ยนลำดับความต้องการก่อนหลังของผมโดยการกำหนดวาระทำให้ผมยอมคิดตามว่าผมไม่มีทางออกทางอื่นที่จะเป็นจริงไปได้นอกจากทางที่คุณชี้นำให้หรือไม่ก็คุณอาจจะร้องขอให้ผมคำนึงถึงความรักหน้าที่ระหว่างกันค่านิยมที่เรามีเหมือนกันและเป้าหมายนโยบายที่เรามีเหมือนกันมายาวนานให้คุณยอมรับและทำตามที่คุณต้องการให้ผมทำหากคุณใช้วิธีนี้ทำให้ผมเปลี่ยนพฤติกรรมตามใจปราถนาของคุณได้เป็นการดึงดูดใจหรือ ‘attraction’ โดยไม่ต้องให้หรือไม่ใ้ห้อะไรเป็นรางวัลมันคืออำนาจแห่งการดึงดูดใจที่วัดปริมาณเป็นตัวเลขไม่ได้นั่นแหละ ‘Soft Power is at work! - Soft Power มันทำหน้าที่ของมันแล้ว!” (หน้า 7) Soft Power ไม่ใช้อาวุธไม่ใช่เงินตราแต่ Soft Power เป็นเงินตราสกุลอื่นเป็นพลังที่ใช้ซื้อความรักความร่วมมือซื้อค่านิยมที่มีร่วมกันใช้พึ่งพากันได้ใช้ซื้อค่าความยุติธรรมซื้อหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันเพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จร่วมกันในค่านิยมที่มีร่วมกันแต่แรกแล้ว” “ทำนองเดียวกันกับที่ Adam Smith (นักเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมเสรีในอดีต 1723-1790) เคยกล่าวว่าเวลาที่จะมีการตัดสินใจในตลาดทุนนิยมเสรีนั้นผู้คนทั้งหลายถูกนำพาให้ตัดสินใจโดยมือที่มองไม่เห็น ( “...people are lead by an invisible hand when making decisions in a free market.”) การตัดสินใจของเราในตลาดความคิดเสรีก็เหมือนกันมันจะถูกกำกับโดย Soft Power บ่อยกว่ามันคือแรงดึงดูดให้รักที่วัดปริมาณด้วยมาตรวัดไม่ได้แต่มันก็พาให้เราทำตามที่ถูกดึงดูดชักจูงไปตามเป้าหมายของผู้อื่นโดยไม่ต้องมีการข่มขู่หรือและเปลี่ยนอะไรที่วัดค่าได้”
“แต่ Hard Power กับ Soft Power นั้นเกี่ยวเกาะเชื่อมโยงกันเพราะอำนาจทั้งสองแบบนี้นั้นต้องการให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์แบบเดียวกันคือทำให้ผู้อื่นหรือประเทศอื่นทำตามที่เราต้องการความแตกต่างระหว่างอำนาจสองแบบนี้อธิบายได้ว่าอยู่ที่ดีกรีหรือระดับองศาแห่งความเข้มข้นของมันในธรรมชาติของพฤติหรรมและการวัดค่าของทรัพยากรที่ใช้ให้เกิดอำนาจและให้เกิดผลลัพธ์: “Hard Power ใช้พฤติกรรมบังคับกดดันสั่งการ Soft Power เป็นพฤติกรรมกำหนดวาระเป้าหมายดึงดูดให้รักให้ร่วมมือ Hard Power ใช้ทรัพยากรกำลังเงินการจ่ายการไม่จ่ายการไม่ให้หรือให้ หรือแม้กระทั่งการติดสินบน Soft Power ใช้ทรัพยากรเชิงสถาบันค่านิยมวัฒนธรรมและนโยบายรัฐ”
“ในการเมืองระหว่างประเทศแหล่งทรัพยากรที่สร้างอำนาจนุ่มนวลหรือ Soft Power นั้นมาจากค่านิยมหรือคุณค่าแห่งสังคมที่รัฐหรือประเทศหรือองค์กรนั้นแสดงออกผ่านวัฒนธรรมผ่านการปฏิบัติและนโยบายภายในประเทศหรือสังคมภายในของตนโดยธรรมชาติโดยเฉพาะในด้านการมีความสัมพันธ์ระหว่างกันแต่เรื่องนี้ก็ยากที่รัฐบาลจะเข้ามาแทรกแซงควบคุมได้เพราะเป็นเรื่องที่เกิดเองในสังคมแต่ก็ไม่ได้ทำให้มันลดความสำคัญลงไปแม้ว่ารัฐควบคุมค่านิยมทางสังคมและวัฒนธรรมเหล่านั้นไม่ได้เด็ดขาดเหมือนการกำหนดนโยบายที่ใช้อำนาจอาวุธและอำนาจเศรษฐกิจเงินตราอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของฝรั่งเศสท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า ‘คนอเมริกันทรงอำนาจมากเพราะพวกเขาสามารถดลใจให้เกิดความฝันและความปราถนาอยากได้ในหมู่ผู้คนชนชาติอื่นได้ก็ต้องขอขอบคุณและชื่นชมยินดีต่อภาพที่สร้างให้ปรากฏในระดับโลกผ่านฟิล์มภาพยนตร์และโทรทัศน์และเพราะเหตุผลเดียวกันนี้เองจึงมีนักเรียนนักศึกษาจากประเทศต่างๆจำรวนมากมายมหาศาลไปเรียนต่อในสหรัฐอเมริก’. (น.8) Soft Power เป็นความจริงแท้อันสำคัญ E.H. Carr นักปรัชญารัฐศาสตร์และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชาวอังกฤษเขียนอธิบายเมื่อปี 1939 เรื่องอำนาจการเมืองระหว่างประเทศว่ามีสามประการคืออำนาจการทหาร, อำนาจเศรษฐกิจ, และอำนาจสร้างความคิดเห็นใครก็ตามที่ปฏิเสธความสำคัญของ Soft Power คนคนนั้นไม่เข้าใจเรื่องแสนยานุภาพแห่งเสน่ห์เย้ายวนของอำนาจรัก”
“ระหว่างการประชุมกับประธานาธิบดี John F. Kennedy ครั้งหนึ่งรัฐบุรุษอาวุโส John J. McCloy ระเบิดอารมณ์โกรธใส่ประธานาธิบดีที่ท่านไปใส่ใจเรื่อง popularlity หรือความดังเด่นเป็นที่นิยมชื่นชอบกับ attraction คือความน่าดึงดูดใจให้หลงรักในการเมืองโลก John McCloy. โวยวายว่า: ‘ความคิดเห็นของชาวโลกเหรอ? ผมไม่เชื่อในเรื่องความคิดเห็นของชาวโลกสิ่งสำคัญที่สุดสิ่งเดียวคืออำนาจ’ แต่สำหรับท่านประธานาธิบดี Kennedy แล้วท่านก็คิดเหมือนกับอดีตประธานาธิบดี Woodrow Wilson และ Franklin Roosevelt ที่ท่านเข้าใจเรื่องความสามารถในการโน้มน้าวจิตใจของผู้อื่นและรู้ดีว่าการขับเคลื่อนความคิดของชาวโลกไปในทิศทางที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจท่านเข้าใจความสำคัญของ Soft Power”
ศาสตราจารย์ Joseph Nye เตือนว่าบางที่ทรัพยากรแห่งอำนาจแบบเดียวกันที่สร้างอำนาจทั้งสองแบบทั้งแบบอ่อนและแบบแข็งบางทีพอถึงคราวอำนาจตกต่ำก็ตกต่ำลงไปด้วยกันแต่บางทีภาพลวงตาที่ทำให้เชื่อว่ายังมีพลังอำนาจแข็งอยู่ก็อาจส่งผลต่อประเทศเล็กๆที่หลงเชื่อภาพลวงตานั้นได้ Hitler กับ Stalin ในช่วงที่อำนาจตกต่ำครั้งสงครามโลกครั้งที่สองยังสามารถสร้างภาพให้เกิดความรู้สึกเชื่อแบบลึกลับว่ายังมีพลังอำนาจการทหารอยู่ส่งผลให้บรรดาประเทศเล็กๆในยุโรปตะวันออกยังยอมเชื่อและหวาดหวั่นต่ออำนาจแข็งของเยอรมนีและสหภาพโซเวียตรัสเซียอยู่ต่อไปการสำรวจความเห็นของชาวโลกในสมัยประธานาธิบดี Kennedy พบว่าโลกยังชื่นชมยกย่องสหรัฐอเมริมากแต่สหภาพโซเวียตก็สามารถสร้างภาพการรับรู้ในหมู่ชาวโลกว่ายังเข้มแข็งก้าวหน้าดังตัวอย่างที่ปรากฏในความก้าวหน้าในโครงการอวกาศและฐานกำลังอาวุธนิวเคลียร์
แต่ว่า Soft Power นั้นไม่จำเป็นต้องพึ่งพา Hard Power อยู่เดี่ยวๆในตัวเองได้นครรัฐวาติกันมีแต่ Soft Power แถมถูก Stalin เย้ยหยันด้วยคำแกล้งถามว่าที่สำนักวาติกันแบ่งงานกันกี่กระทรวงหรือ? สหภาพโซเวียตเองเคยมีอำนาจนุ่มนวลหรือ Soft Power ในอดีตไม่น้อยแต่ก็สูญเสียไปมากหลังจากการบุกยึด Hungary และ Czechoslovakia ขนะที่อำนาจการทหารและเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นนำนาจนุ่มนวลกลับถดถอยลดต่ำทั้งนี้ก็เพราะนโยบายอำนาจแข็งกลายเป็นตัวทำลายอำนาจนุ่มนวลในทางตรงข้ามอำนาจจากนโยบายเพื่อนบ้านที่ดี (Good Neighbor Policy) ของสหรัฐอเมริกาสมัยประธานาธิบดี Franklin Roosevelt ช่วยให้สหรัฐอเมริกามีความสัมพันธ์กับชาติ Latin America ช่วง 1930s ดีขึ้นมาก
บางประเทศอาจจะได้รับความชื่นชมยกย่องจนเกินความเป็นจริงว่าเข้มแข็งทรงอำนาจทั้งๆที่อำนาจการทหารและเศรษฐกิจไม่ได้ยิ่งใหญ่มากมายนักทั้งนี้ก็อาจเป็นเพราะภาพของการมีนโยบายช่วยเหลือชาติอื่นทางเศรษฐกิจและการร่วมสร้างสันติภาพในโลกผ่านนโยบายและกิจกรรมระดับนานาชาติอื่นๆเช่น Norway มีบทบาทสร้างสันติภาพสูงในการเป็นคนกลางเจรจาสันติภาพใน Philippines, The Balkans, Colombia, Guatemala, Sri Lanka, และตะวันออกกลางนั่นคือ Soft Power ของ Norway อย่างแท้จริงทำให้ Norway ได้เข้าถึงโอกาสในการแก้ปัญหาและสร้างสัมพันธ์อันดีกับประเทศอื่นๆแถมยังทำให้ Norway เป็นที่เคารพยกย่องในบรรดาประเทศมหาอำนาจอื่นด้วยผู้นำ Norway อธิบายวัฒนธรรมนอร์เวย์ที่รักสันติภาพเป็นผลจากศาสนาคริสต์นิกาย Lutheran Canada ก็เช่นกันที่ใช้อำนาจนุ่มนวลของความเป็นชาติที่มีมาตรฐานทางศีลธรรมสูงเป็นชาติที่พลเมืองโดยรวมเป็นพลเมืองดีอำนาจทางทหารอาจไม่มีอะไรมากนักแต่ก็มีขีดความสามารนถในการให้ความช่วยเหลือระหว่างประเทศเวลาจะเจรจาเรื่องใดกับสหรัฐอเมริกาผู้นำ Canada ก็รู้ว่า Canada มีสิ่งที่สหรัฐต้องการคือการรับรองความชอบธรรมต่อสหรัฐจาก Canada การเจรจากับสหรัฐในเรื่องใดๆ Canada รู้ว่าจะเป็นฝ่ายที่จะต้องได้รับความเคารพอย่างสูง Poland ส่งทหารไปอิรักหลังสงครามอิรักจบลงก็เพื่อแสดงบทบาทให้เห็นในระดับนานาชาติและให้สหรัฐพึงพอใจในความร่วมมือที่ Afghanistan ปี 2002 ตอนที่รัฐบาล Taliban พ่ายแพ้รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดียบินไป Kabul ทันทีเพื่อแสดงความยินดีกับรัฐบาลชั่วคราวที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่บนเครื่องบินของรัฐมนตรีอินเดียมีของไปแจกมากมายไม่ใช่อาวุธหรืออาหารแต่แน่นไปด้วยวิดีโอภาพยนตร์และดนตรีอินเดียจาก Ballywood ไม่นานวิดีโอเทปภาพยนตร์อินเดียเหล่านั้นก็ถูกแจกจ่ายทั่วประเทศอัฟกานิสถานเรื่องนี้ยืนยันได้ว่าประเทศไหนๆก็มี Soft Power เหมือนกัน
สถาบันต่างๆของประเทศก็เป็นพลังอำนาจนุ่มนวลหรือ Soft Power ได้อังกฤษในศตวรรษที่ 19 และสหรัฐอเมริกาในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ได้เสริมสร้างโครงสร้างเชิงสถาบันได้เข้มแข็งสูงคุณค่าเช่นการสร้างกำหนดกฎเกณฑ์ในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยยึดหลักเสรีนิยมประชาธิปไตยอย่างแท้จริงระบบเศรษฐกิจการค้าเสรีมาตรฐานค่าทองคำในโลกโครงสร้างการทำงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund-IMF), องค์การการค้าโลก (The World Trade Organization-WTO), องค์การสหประชาชาติ (The United Nations) ล้วนเป็นความคิดริเริ่มจากอิทธิพลการคิดริเริมของอังกฤษและอเมริกาทั้งสิ้น
ศาสตราจารย์ Joseph Nye สรุปการอธิบายความหมายของ Soft Power ว่า: “เมื่อประเทศหนึ่งประเทศใดแสดงอำนาจอันมีเหตุผลชอบธรรมในสายตาของประเทศอื่นๆประเทศนั้นก็จะไม่พบกับการคัดค้านต่อต้านในความปราถนาตามนโยบายของประเทศนั้นหากวัฒนธรรมและอุดมการณ์ของประเทศนั้นชวนดึงดูดใจให้รักชื่นชอบประเทศอื่นทั้งหลายก็ยินดีที่จะทำตามอย่างเต็มใจหากประเทศใดวางกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศไว้ดีมีคุณธรรมและยุติธรรมประเทศนั้นก็จะได้รับความยอมรับในนโยบายต่างประเทศด้านอื่นด้วยหากประเทศใดใช้สถาบันที่ตนเองสร้างขึ้นมาและปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อย่างดีประเทสนั้นก็มีโอกาสที่จะส่งผ่านนโยบายและแรงปราถนาตามนโยบายต่างประเทศของตนผ่านสถาบันระหว่างประเทศที่สร้างขึ้นมานั้นได้”
นี่คือ Soft Power ผ่านนโยบายการต่างประเทศผ่านความพลังวัฒนธรรมและผ่านค่านิยมทางอุดมการณ์ประชาธิปไตย
สัปดาห์หน้าเป็นเรี่อง
2. ทรัพยากรอันเป็นฐานพลังของ soft power คืออะไรมาจากไหน? 3. Soft Power มีข้อจำกัดอะไรบ้าง