THAIVISION
  • REFLECTION
  • ON PLANET EARTH
    • EARTH
  • AND BEYOND
  • THAILAND
    • KING BHUMIBOL
    • NATIONAL PARKS OF THAILAND >
      • KHAO YAI NATIONAL PARK
      • PHA TAEM NATIONAL PARK
      • PHU WIANG NATIONAL PARK
      • NAM NAO NATIONAL PARK
      • PHU HIN RONG KLA NATIONAL PARK
      • PHU KRADUENG NATIONAL PARK
      • PHU RUEA NATIONAL PARK
      • MAE YOM NATIONAL PARK
      • DOI SUTHEP-PUI NATIONAL PARK
      • DOI INTHANON NATIONAL PARK
      • THONG PHA PHUM NATIONAL PARK
      • KAENG KRACHAN NATIONAL PARK
      • MU KO ANG THONG NATIONAL PARK
      • MU KO SURIN NATIONAL PARK
      • MU KO SIMILAN NATIONAL PARK
      • HAT NOPPHARATA THARA - MU KO PHI PHI NATIONAL PARK
      • MU KO LANTA NATIONAL PARK
      • TARUTAO NATIONAL PARK
  • THE LIBRARY
    • MORNING WORLD BOOKS >
      • CASINO ROYALE
      • 1984
      • A BRIEF HISTORY OF TIME
      • A HISTORY OF THAILAND
      • CONSTITUTION OF THE UNITED STATES
    • DEMOCRACY IN AMERICA
    • FIRST DEMOCRACY
    • JOHN MUIR
    • MODELS OF DEMOCRACY
    • MULAN
    • THE VOYAGE OF THE BEAGLE
    • ON THE ORIGIN OF SPECIES
    • PHOOLAN DEVI
    • THE REPUBLIC
    • UTOPIA
    • A Short History of the World [H.G.Wells]
    • WOMEN OF ARGENTINA
    • THE EARTH : A Very Short Introduction
    • THE ENGLISH GOVERNESS AT THE SIAMESE COURT
    • TIMAEUAS AND CRITIAS : THE ATLANTIS DIALOGUE
    • HARRY POTTER
    • DEMOCRACY / HAROLD PINTER
    • MAGNA CARTA
    • DEMOCRACY : A Very Short Introduction
    • DEMOCRACY / Anthony Arblaster]
    • DEMOCRACY / H.G. Wells
    • ON DEMOCRACY / Robert A. Dahl)
    • STRONG DEMOCRACY
    • THE CRUCIBLE
    • THE ELEMENTS OF STYLE
    • THE ELEMENTS OF JOURNALISM | JOURNALISM: A Very Short Introduction
    • LOVE
    • THE EMPEROR'S NEW CLOTHES
    • THE SOUND OF MUSIC
    • STRONGER TOGETHER
    • ANIMAL FARM
    • POLITICS AND THE ENGLISH LANGUAGE
    • GEORGE ORWELL
    • HENRY DAVID THOREAU >
      • WALDEN
    • MAHATMA GANDHI
    • THE INTERNATIONAL ATLAS OF LUNAR EXPLORATION
    • พระมหาชนก
    • ติโต
    • นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ | A Man Called Intrepid
    • แม่เล่าให้ฟัง
    • SUFFICIENCY ECONOMY
    • พระเจ้าอยู่หัว กับ เศรษฐกิจพอเพียง
    • KING BHUMIBOL AND MICHAEL TODD
    • ... คือคึกฤทธิ์
    • KING BHUMIBOL ADULYADEJ: A Life's Work
    • THE KING OF THAILAND IN WORLD FOCUS
    • พระราชดำรัสเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ
  • IN MY OPINION
  • THAIVISION
  • SOMKIAT ONWIMON
    • MY STORY
    • THE DISSERTATION
    • THE WORKS >
      • BROADCAST NEWS & DOCUMENTARIES
      • SPIRIT OF AMERICA
      • THE ASEAN STORY
      • NATIONAL PARKS OF THAILAND
      • HEARTLIGHT: HOPE FOR AUTISTIC CHILDREN IN THAILAND
    • KIAT&TAN >
      • TAN ONWIMON >
        • THE INTERVIEW


​THE LIBRARY

WHERE RESIDE THE WORLDS

พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ

Picture
ติโต  | Tito 
[Ballantine's illustrated history 
 the violent century War leader book, no. 10]
โดย Phyllis Auty
พระราชนิพนธ์แปล
โดย  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

__________________________________________________

หนังสือชื่อ “ติโต” พระราชนิพนธ์แปลโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2535 เล่มนี้ ในคำนำชี้แจงว่าทรงแปลจากต้นฉบับเรื่อง TITO ของ Phyllis Auty เพื่อให้ข้าราชบริพารได้ทราบถึงบุคคลที่น่าสนใจคนหนึ่งของโลก แต่ในคำนำมิได้ลงรายละเอียดว่าเป็นหนังสือชื่อ Tito เล่มใดของ Phyllis Auty ในจดหมายอนุญาตเรื่องลิขสิทธิ์จากสำนักพิมพ์ Ballantine ก็บอกเพียงว่ายินดีที่พระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงแปลเรื่อง Tito ของ Phyllis Auty และจะไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ใดๆหากการจำหน่ายหนังสือเพื่อโดยเสด็จพระราชกุศล

เมื่อดูจากจดหมาย  ฉบับนี้ และดูจากคำนำของหนังสือ แล้วดูจากปก ก็จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดได้ว่าเป็นพระราชนิพนธ์แปลจากต้นฉบับเล่มนี้ คือ “TITO: A Biography” โดย Phyllis Auty พิมพ์โดยแผนก Pelican Book ของสำนักพิมพ์ Penguin Books ซึ่งมีความยาวถึง 400 หน้า

เมื่อมาดูที่ฉบับแปลก็พบว่ามีความยาวในแบบภาษาไทยเพียง 121 หน้าเท่านั้น จึงเกิดความสงสัยขึ้นว่าทำไมฉบับภาษาไทยจึงสั้นกว่าฉบับภาษาอังกฤษมากมายนัก เมื่อลองเริ่มเปรียบเทียบบทแปล บทต่อบท ประโยคต่อประโยค ก็พบว่าไม่เหมือนกัน และดูจะเป็นคนละเล่มกันเลย

ย้อนไปพลิกดูจดหมายตอบจาก Phyllis Auty ผู้เขียน ในหน้า (๖) ที่ตอบอย่างปลื้มปิติในการที่พระเจ้าอยู่หัวของไทยทรงจะแปลงานชิ้นสำคัญของ Phyllis Auty เพื่อเผยแพร่เป็นการกุศลในประเทศไทย จึงทราบชัดเจนว่า ต้นฉบับที่แท้จริงคืออีกเล่มหนึ่ง ชื่อ “Tito” (Ballantine's Illustrated History of the Violent Century, War Leader Book, No. 10) เขียนโดย Phyllis Auty ผู้เขียนคนเดียวกัน พิมพ์ออกเผยแพร่เมื่อปี 1972 เป็นเล่มเล็ก ฉบับย่อ พิมพ์หลังเล่มใหญ่ของผู้เขียนคนเดียวกัน สองปี ซึ่งปัจจุบันเป็นหนังสือเก่าหายากแล้ว

เรื่องของ “ติโต” ในหนังสือชุดผู้นำสงครามในประวัติศาสตร์ศตวรรษแห่งความรุนแรง เล่มที่ 10 ว่าด้วยเรื่องของ Tito ผู้นำการรบต้านภัย Nazi กู้ชาติ Yugoslavia ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

เป็นหน้าที่ของสำนักพิมพ์อมรินทร์พรินติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จะต้องแก้ไขข้อความบนปกเรื่องชื่อหนังสือต้นฉบับให้ถูกต้องหากจะมีการพิมพ์ครั้งต่อไป

การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเลือกแปลจากเล่มที่สั้นและย่อกว่า มีความยาวเพียง 121 หน้านั้น นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ต้องการทำความรู้จักขั้นเริ่มต้นกับคนดีของโลกอีกคนหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชนที่ควรอ่านเป็นหนังสือนอกเวลาเรียน ไม่ว่าโรงเรียนจะกำหนดเป็นทางการหรือไม่ก็ตาม



Josip Broz คือชื่อจริง 

Tito คือชื่อที่เป็นสมญานาม ของเลขาธิการพรรคคอมมูนิสต์แห่ง Yugoslavia ผู้เริ่มต้นชีวิตจากลูกชาวนา หรือที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกว่า "ทหารลูกทุ่ง" เพราะ Josip Broz หรือ Tito เกิดมาในครอบครัวที่แม้ไม่ถึงกับยากจนนัก แต่ก็ต้องดิ้นรนเพราะมีพี่น้องรวมกันถึง 9 คน ออกจากโรงเรียนไปทำงานล้างจานในค่ายทหารตั้งแต่อายุ 12 ไปฝึกงานในอู่ซ่อมรถยนต์ตอนอายุ 15 เร่ร่อนเปลี่ยนงานจนอายุ 20 สมัครเป็นทหารเกือบเอาชีวิตไม่รอดในสงครามโลกครั้งที่ 1 ถูกรัสเซียจับเข้าค่ายกักแล้วแหกคุกหนี ถูกจับอีก แล้วหนีอีก กลับมา แอบเป็นสมาชิกพรรคคอมมูนิสต์ ของ Yugoslavia เรียกว่าพวก Partisan สร้างสมผลงานและบารมี จนกลายเป็นหัวหน้าพรรค เป็นหัวหน้าแนวร่วมกู้ชาติจนรวมประเทศ Yugoslavia จากความแตกแยกสมัยสงครามได้สำเร็จ

ติโต คือเด็กช่างกล ลูกชาวนาได้ดี กลายเป็นสุดยอดของผู้นำโลกคนหนึ่ง ทั้งๆที่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง Yugoslavia ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ ในหน้า 59 บอกชัดเจนว่า 

"ติโตเองก็มีจุดยืนที่เหนียวแน่น เขาเป็นคอมมูนิสต์ขนานแท้ และเป็นปรปักษ์อย่างรุนแรงต่อรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรเดิม ซึ่งมีนโยบายให้เซอร์เบียเป็นศูนย์กลางประเทศ"

ความเป็นคนดี คนน่าสนใจของ Tito คือการเป็นผู้นิยมอุดมการณ์คอมมูนิสต์แบบอิสระไม่ยอมอยู่ใต้การครอบงำของ Stalin แห่งสหภาพโซเวียต อิสระในความคิดที่ไม่นิยมระบบนารวม อิสระที่ต้องการให้ให้ชนทุกเผ่าพันธุ์กลับมาร่วมความเป็นชาติเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง : Kosovo, Croatia, Serbia, Montenegro, Bosnia, Herzegovena, Slovania, สารพัดความร้าวฉานแตกแยก

Tito รวมชาติ Yugo-Slav ได้สำเร็จ เป็นผู้นำกองทัพใต้ดินจากจำนวน 1,000 มาเป็น 800,000 คน แม้ Germany ของ Hitler ก็ต้องปล่อยให้ชัยชนะเป็นของ Tito ลักษณะเด่นของ Tito คือความมุมานะนึกถึงประชาชนผู้ยากไร้ นึกถึงชาติเป็นเป้าหมายใหญ่ และพร้อมที่รับความจริงว่าชัยชนะที่เป็นเป้าหมายนั้นต้องอาศัยความร่วมมือช่วยเหลือจากมิตรรอบด้านให้มากที่สุด ผสานกับการให้การศึกษากับตัวเองและประชาชนทั้งมวลอย่างต่อเนื่อง Tito กล่าวว่า :

[น.91]
"การดำเนินการศึกษาอย่างไม่หยุดยั้ง นี้ มีความสำคัญมาก"

การที่ต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 12 มิได้ทำให้ Tito หยุดการศึกษาด้วยตนเอง Tito จึงกลายเป็นนักคิด นักรบ และนักต่อสู้เพื่อชาติ Yugoslavia

[น. 212]
"เขาเป็นผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เปลี่ยนวิถีแห่งประวัติศาสตร์ในประเทศตน และผู้ได้ผนวกบทใหม่เข้าในตำนานของลัทธิคอมมูนิสต์ตอนศตวรรษที่ยี่สิบ"

Thaivision

5 ธันวาคม 2557
Picture

A Man Called Intrepid
ต้นฉบับภาษาอังกฤษ 
โดย William Stevenson
--------------------------
“A Man Called Intrepid” แปลตรงตามตัวอักษรว่า "คนที่ถูกเรียกว่า Intrepid"

คำว่า "Intrepid" ใน Oxford English Dictionary แปลว่า :  "Fearless  / ไม่กลัว",  
"Undaunted / ไม่ย่นย่อถ้อถอย", 
"Brave / หาญกล้า", "Daring /ท้าทาย"

อันเป็นเป็นคุณสมบัติในบุคคล
ส่วนใน Merriam-Webster’s Third International Dictionary แปลว่า :
"characterized by resolute fearlessness in meeting dangers or hardships and enduring them with fortitude"
"คนซึ่งมีคุณลักษณะไม่หวาดกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะต้องเผชิญภยันตราย หรือความลำบากยากเข็ญอย่างไร เพียงใด ก็จะบากบั่นฝ่าฟันด้วยมานะมุ่งมั่น"

“A Man Called Intrepid” โดย William Stevenson จึงเป็นเรื่องราวของบุคคลซึ่งเรียกได้ว่ามีความมุ่งมั่นหาญกล้าท้าทายไม่ย่นย่อท้อถอยต่อภัยอันตรายทั้งปวง คนคนนี้ชื่อจริงจะชื่ออะไรก็ตาม แต่เขาสมควรได้รับสมยานามว่า "INTREPID" ในหน้า 2 มีภาพถ่าย พล เอก William "Wild Bill" Donovan หัวหน้าสำนักงานบริการยุทธศาสตร์สหรัฐอเมริกา ที่ท่านมอบให้ "The Man Called Intrepid" โดยเขียนบันทึกถึง Intrepid เพื่อนรักว่า : 

"To Intrepid...whose friendship, knowledge and continuing assistance contributed so richly to the establishment and the maintenance of an American intelligence service in World War II" [Bill Donovan]
"ความเป็นเพื่อน ความรู้ และความร่วมมือช่วยเหลือที่ตลอดต่อเนื่องทำให้ก่อกำเนิดและเป็นประโยชน์ยิ่งต่อปฏิบัติการงานข่าวกรองหรืองานสืบการลับของสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง"

สายลับคนสำคัญที่เป็นส่วนของ เครือข่ายงานของ Intrepid จำนวนมาก ทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผยในเวลาต่อมา เช่น :

Kim Philby (น.3) Super Spy หรือสุดยอดสายลับของสหภาพโซเวียต เป็นชาวอังกฤษผู้กลบเกลื่อนงานลับด้วยการแสดงความเห็นสนับสนุน Nazi Germany และ Hitler ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง

Ian Fleming (น. 6) ผู้ให้กำเนิด  James Bond สายลับ 007 อันเลื่องชื่อของอังกฤษผู้มี License to Kill ใบอนุญาตสังหาร งานในชีวิตจริงของ Ian Fleming เป็นนายทหารเรือฝ่ายข่าวกรอง ช่วยงาน Intrepid อย่างใกล้ชิด สายลับส่งข่าว Top-secret Ultra ทำงานให้ Intrepid อาจเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จัก ปลอมตัวกลมกลืนไปกับฝูงชน ทุกหนแห่งในโลกยามสงคราม เช่นสายลับ Eric Bailey (น.7) ใน Tibet ปี 1904 และใน Uzbek สหภาพโซเวียต ต่อมาอีกหนึ่งปี อายุของ สายลับ Bailey เกือบครบ 60 ปี

Madeleine [น. 12] สายลับใต้ดินชาวฝรั่งเศสแฝงตัวทำงานเป็นพนักงานส่งวิทยุโทรเลขให้ Nazi German เรียกชื่อคนงานคุมเครื่องโทรเลขเช่น Madeleineว่า "Pianist" Madeleine เป็นสายลับคนเดียวที่เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างหน่วยใต้ดินฝรั่งเศสกับอังกฤษ หลังจากที่คนอื่นๆถูกพวกของ Hitler จับไปหมดแล้ว Madeleine ต้องฝึกหนักเหมือนสายลับชายทุกคน รวมทั้งการฝึกโดดร่มลงจุดเป้าหมายในพื้นที่ศัตรู หากทำงานพลาด ถูก German จับได้ Madeleine ต้องกินยาพิษนี้ฆ่าตัวตายทันที เพื่อเก็บความลับ


Cynthia [น.39] เป็นชื่อสายลับสาวงามชาวอเมริกัน ทำงานให้หน่วยสืบข่าวลับอังกฤษ ค้นหาและขโมยเครื่อง Enigma ของ German ที่ผลิตใน Poland เธอใช้ความเป็นสาวสวยของเธออย่างเป็นประโยชน์คุ้มค่าการเป็นสายลับ

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนของของงานจารกรรม อันเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายงานสายลับใต้ดินที่ Intrepid ควบคุมอยู่ ครอบคลุมพื้นที่ทั้งยุโรป และ อเมริกา รวมทั้งส่วนอื่นๆของโลก

ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง จริงยิ่งกว่านวนิยาย หรือภาพยนตร์จารกรรมสายลับ James Bond 007 เรื่องใด

สายลับทั้งหลายต้องทำงานกับ “Enigma” อันเป็นเครื่องส่งข่าวติดรหัสและถอดรหัสลับที่ Hitler ใช้ แล้ว Intrepid ก็เป็นผู้นำปฏิบัติการถอดรหัสการสื่อสารของ German Nazi เทคโนโลยีแปลงสัญญาณข้อมูลข่าวสารอันสลับซับซ้อนที่อังกฤษต้องการถอดรหัสให้ได้ เพราะอนาคตความอยู่รอดของประเทศจากเงื้อมมือหฤโหดของ Hitler ขึ้นอยู่กับการดักฟังและถอดรหัสข้อมูลที่รับส่งจากเครื่อง Enigma และ Intrepid คือคนที่จะช่วยจัดการเรื่องนี้ได้ โดยใช้คฤหาสน์ ณ เมือง Bletchley กลางแคว้น England เป็นที่ผลิตเครื่อง Enigma เลียนแบบของ Germany ที่นี่เป็นที่อ่านรหัสลับการสื่อสารของ กองทัพ German ทีมงานของ Intrepid สามารถสร้างระบบอ่านรหัสลับและส่งรหัสลับรบกวนแทรกแซงงานข่าวกรองของ Germany ได้ ระบบถอดรหัสของ Intrepid นี้เรียกว่า "Top-secret Ultra"

Intrepid คือใคร?
ทำไมจึงเก่งกาจสามารถ ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และลับลึกสุดยอดยิ่งนัก?

ที่อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และพันธมิตรผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมาได้ ด้วยชัยชนะเหนือ Hitler และ Nazi Germany นั้น หัวใจสำคัญมิใช่เทคโนโลยีอาวุธสงครามทั้งหลาย หากแต่เป็นด้วยงานจารกรรมข้อมูล ข่าวสาร งานถอดรหัสลับใต้ดินของอาสามสมัครชาวบ้านธรรมดาที่มิได้ฝึกฝนเรียนรู้วิชาการสงครามมาก่อน ทุกคนทำงานในเครือข่ายจารกรรมและนักก่อการลับใต้ดินที่  Winston Churchill มอบหมายให้ Intrepid ควบคุมปฏิบัติการทั้งหมด

จากหนังสือเรื่องจริงสมัยสงครามโลกทั้งสองครั้ง ค้นคว้าและเขียนโดย William Stevenson เมื่อปี 1972 :

วันที่ 1 กันยายน 1939 กองทัพ Hitler เริ่มยาตราทัพนาซีบุก Poland 
Poland ถูกยึดครองภายใน 26 วัน
Norway ถูกครอบครองใน 28 วัน
Holland ล่มสลายภายใน 5 วัน
Denmark ตกเป็นของ Germany ในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง
Luxembourg 12 ชั่วโมง
ฝรั่งเศสคือเป้าหมายต่อไป
และ
ก้าวสำคัญต่อไปในการยึดเป็นฐานขยายอำนาจ ครองโลกของ Hitler คืออังกฤษ 


สงครามโลกครั้งที่สอง ปี 1939 มองไม่เห็นหนทางใดเลยที่อังกฤษจะรอดพ้นการครอบครองของกองทัพอันยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของ Nazi Germany ของเผด็จการ Hitler ไปได้ Neville Chamberlain นายกรัฐมนตรีอังกฤษหวังเพียงเจรจาผ่อนปรน ประนีประนอมกับ Hitler ให้อังกฤษรอดตัว เงินและทองคำหมดคลัง อาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่เพียงพอ ล้าสมัย ขวัญกำลังใจไม่มีเหลือ 

Winston Churchill ยังไม่มีโอกาสขึ้นสู้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ Churchill ก็ไม่ย่อท้อ จัดตั้งกระบวนเครือข่ายการสายลับใต้ดินอังกฤษ เตรียมพร้อมสู้กับ Germany โดยนายกรัฐมนตรี Chamberlain ไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย Winston Churchill แทบไม่มีอิทธิพลใดๆในรัฐสภา แต่ใต้ดิน ท่านมีพวกพ้องลูกน้องที่เลื่อมใสในความรักชาติอย่างหาญกล้าของท่านจำนวนหนึ่ง

Churchill ทราบดีว่าอังกฤษไม่มีทางต้าน Hitler และกองทัพ Nazi ได้ ในที่สุดอังกฤษก็จะตกเป็นเมืองครอบครองของ Hitler ชาวอังกฤษจะถูกฆ่าล้มตายมากมาย ที่เหลือจะตกเป็นทาสของพวก Nazi 

แต่ Churchill ไม่มีวันยอมแพ้ ท่านเชื่อว่าการรบแบบกองโจรใต้ดินของอาสาสมัครประชาชนที่ไร้ชื่อ ทำงานเป็นเครือข่ายลับเชื่อมโยงปฏิบัติการอย่างเสียสละ โดยส่วนใหญ่จะเสียงชีวิต และอายุเฉลี่ยในงานสายลับก่อนตายไม่เกิน 6 เดือน และคนที่ Churchill ไว้ใจ เชื่อฝีมือ แต่งตั้งอย่างลับๆ ก็คือชายคนหนึ่ง ที่รับคำสั่งโดยตรงจาก Churchill ไม่มีใครล่วงรู้ แม้รัฐบาลอังกฤษ นายกรัฐมนตรี Neville Chamberlain ก็ไม่รู้เรื่อง  ชายคนนั้นเกิดที่ Canada ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 1914 อังกฤษประกาศสงคราม กับ Germany เด็กชายชาว Canada คนนั้นอายุ 19 ปี สมัครเป็นทหารเข้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักบินขับไล่กองทัพอากาศอังกฤษ อย่างกล้าหาญ บ้าบิ่น ไม่กลัวตาย จนบาดเจ็บ หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาอายุ 23 กลับ Canada เป็นอาจารย์สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย Manitoba

เขาคิดว่าเขาควรตายเหมือนเพื่อนๆนักบินในสงคราม เมื่อไม่ตาย ชีวิตที่เหลือรอดมาจึงต้องมีเหตุผลเพียงพอในการดำรงอยู่อย่างถูกต้องเหมาะสม

[น. 15]
“Being still alive, I had an obligation to justify my survival”

เขาบอกว่า ในเมื่อเขายังไม่ตาย ก็ต้องมีพันธะที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างมีเหตุผลและความหมาย 
เขากลับไปอังกฤษ เป็นนักคิด นักประดิษฐ์ นักธุรกิจ นักสื่อสาร คิดค้น สร้างอาณาจักรธุรกิจ อุตสาหกรรม วิทยุกระจายเสียง และโรงถ่ายภาพยนตร์ และอุตสาหกรรมอื่นอื่นจนเป็นมหาเศรษฐี ในวงการอุตสาหกรรมผลิตภาพยนตร์ ธุรกิจของเขายิ่งใหญ่ไม่แพ้ Hollywood

ในอังกฤษ ยุโรป และอเมริกา ไม่มีใครไม่รู้จักเขา Hitler ก็รู้จักเขา แต่ไม่มีใครรู้เลยว่ามหาเศรษฐีคนนี้ คือมือขวา ของ Winston Churchill เขาเป็นผู้คุมเครือข่ายสายลับของอังกฤษ ปฏิบัติการรอบโลก ต่อต้าน Hitler และ Nazi Germany 

เขาคือ “The Man Called Intrepid”
เขาสร้างเครือข่ายสายลับใต้ดินให้กับ Churchill ตั้งแต่ Churchill ยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี


หลังนายกรัฐมนตรี Neville Chamberlain ถูกลงมติไม่ไว้วางใจในรัฐสภา พ้นจากตำแหน่ง Churchill ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี วันที่ 10 พฤษภาคม 1940 เครือข่ายสายลับใต้ดินยังคงทำงานลับต่อไป

วันหนึ่ง Churchill บอกกับมหาเศรษฐีผู้รับงานคุมเครือข่ายสายลับต้าน Hitler คนนี้ว่าจะต้องพยายามดึงความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกามาให้ได้ ชาวอเมริกันก็ต้องไม่รู้ว่าประธานาธิบดี Roosevelt แอบให้ความช่วยเหลืออังกฤษอยู่อย่างลับๆ ทั้งๆที่สหรัฐประกาศตัวเป็นกลาง

คนคุมเครือข่ายสายลับใต้ดินอย่างนี้
ต้องกล้าหาญไม่กลัวสิ่งใด
ต้องเป็นคน Fearless
ต้องเป็นคน Dauntless
ไม่ย่นย่อท้อถอยต่ออันตรายทั้งปวง

Churchill หยุดคิดครู่หนึ่ง เพื่อหาคำอธิบายคุณสมบัติของหัวหน้าหน่วยใต้ดิน

คำที่ดีกว่า Fearless 
ลึกล้ำกว่า Dauntless

“You must be – intrepid!”

มหาเศรษฐีอดีตทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 คนนั้น จึงมีชื่อ เป็น Code ลับ ว่า “INTREPID” จากนั้นเป็นต้นมา

หนังสือเรื่อง A Man Called Intrepid โดย William Stevenson เป็นสารคดีเขียนจากเอกสารลับของ Intrepid ที่ปกปิดเป็นความลับมานานแม้หลังสงคราม ที่ผลงานของ Intrepid ทำให้กับอังกฤษ และชนชาติผู้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นรากฐานทางวัฒนธรรม จนพลิก ความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะได้นั้น ไม่มีใครประสงค์จะเปิดเผย เพราะความลับทั้งหลายนั้นสำคัญ ลึกซึ้ง และอันตรายยิ่งหากถูกเปิดเผย แม้สงครามจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม จนกระทั่งปี 1962  ข่าวรั่วไหลบางส่วนทำให้จำยอมเปิดเผยความลับบางส่วนของ Intrepid โดยวางแผนให้ความลับออกมาในรูปของหนังสือชื่อ“The Quiet Canadian” เขียนโดยเพื่อนของ Intrepid ชื่อ H. Montgomery Hyde  หนังสือเล่มนี้ใช้ชื่อ “Room 3603” เมื่อพิมพ์จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา จากนั้นพวก Russia ก็เริ่มรู้เรื่องลับของ Intrepid มากขึ้น จนมีความจำเป็นที่ทางการอังกฤษและสหรัฐอเมริกาต้องเปิดเผยความลับทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานของ Intrepid โดยในปี 1972 Intrepid มอบเอกสารทุกชิ้น ทั้งหมดให้กับ William Stevenson เป็นผู้ศึกษาค้นคว้า และเขียนเป็นหนังสือเล่มนี้ที่ชื่อ “A Man Called Intrepid”


บัดนี้ทุกคนที่ได้อ่าน “A Man Called Intrepid” โดย William Stevenson ตั้งแต่เมื่อกว่า 30 ปีที่ผ่านมาแล้วย่อมรู้แล้วว่า Intrepid คือใคร ทุกอย่างทุกเรื่องที่ถูกเปิดเผยออกมาในหนังสือเล่มนี้ ตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจ และน่าทึ่งในข้อเท็จจริง ที่จริงยิ่งกว่านิยายสายลับเรื่องใด.


Picture
เรื่องพระมหาชนก
The Story of Mahajanaka
โดย  H.M. King Bhumibol Adulyadej

The Story of Mahajanaka:
“Any enterprise that is not achieved Through perseverance, is fruitless; Obstacles will occur. When any enterprise undertaken with such misdirected effort results in Death showing his face, what is the use of such enterprise and misdirected effort?”
“การงานอันใด ยังไม่ถึงที่สุดด้วยความพยายาม การงานอันนั้นก็ไร้ผล มีความลำบากเกิดขึ้น การทำความพยายามในฐานะอันไม่สมควรใด จนความตายปรากฏขึ้น ความพยายามในฐานะอันไม่สมควรนั้น จะมีประโยชน์อะไร”

นางมณีเมขลากล่าวต่อพระมหาชนกที่กำลังเพียรพยายามฝ่าคลื่นลมและกระแสน้ำแห่งมหาสมุทร โดยวันเวลาผ่านไปแล้ว เจ็ดวัน เจ็ดคืน มิมีวี่แววว่าจะเห็นฝั่งแผ่นดิน

แต่พระมหาชนกก็มิเห็นด้วยกับคำของนางมณีเมขลา เทพธิดาแห่งท้าวโลกบาลทั้งสี่ ผู้ถูกส่งมาดูแลสัตว์โลกผู้ประกอบคุณความดี มิสมควรสิ้นชีวิตในมหาสมุทร พระมหาชนกโต้แย้งนางมณีเมขลาว่า:
[หน้า 89]
“Hark, o Goddess! Anyone who knows for sure that his activities will not meet with success, can be deemed to be doomed; if that one desists from perseverance in that way, he will surely receive the consequence of his indolence.”
“ดูก่อนเทวดา ผู้ใดรู้แจ้งว่าการงานที่ทำจะไม่ลุล่วงไปได้จริง ชื่อว่าไม่รักษาชีวิตของตน ถ้าผู้นั้นละความเพียรในฐานะเช่นนั้นเสีย ก็จะพึงรู้ผลแห่งความเกียจคร้าน”
[89]
“Hark, o Goddess! Some people in this world strive to get results for their endeavours even if they don’t succeed”
“ดูก่อนเทวดา คนบางพวกในโลกนี้เห็นผลแห่งความประสงค์ของตน จึงประกอบการงานทั้งหลาย การงานเหล่านั้นจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม”

[89]
“Hark o Goddess! You do see clearly the results of actions, don’t you? All the others have drown in the ocean; we alone are going to endeavour further to the utmost of our ability; we are going to strive like a man should to reach the shores of the ocean.”
“ดูก่อนเทวดา ท่านก็เห็นผลแห่งกรรมประจักษ์แก่ตนแล้วมิใช่หรือ คนอื่นๆจมในมหาสมุทรหมด เราคนเดียวยังว่ายข้ามอยู่ และได้เห็นท่านมาสถิตอยู่ใกล้ๆเรา เรานั้นจักพยายามตามสติกำลัง จักทำความเพียรที่บุรุษควรทำ ไปให้ถึงฝั่งแห่งมหาสมุทร”

นี่คือหัวใจของพระราชนิพนธ์เรื่อง “พระมหาชนก” เป็นเรื่องของความเพียรที่ต้องยึดมั่น แม้เทวดาจะแสร้งท้วงติงอย่างไร ก็ต้องโต้แย้งเทวดาได้ เมื่อพระมหาชนกทรงยึดมั่นในความเพียร นางมณีเมขลาจึงมั่นใจว่าพระองค์ทรงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรโดยแม้ มิสมควรตายในมหาสมุทร นางจึงได้ช่วยพาพระมหาชนกไปยังครองมิถิลานคร แห่งชมพูทวีปต่อไป


“The Story of Mahajanaka”  หรือ “เรื่องพระมหาชนก” เป็นงานพระราชนิพนธ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงแปลเป็นภาษาอังกฤษ ตรงจากมหาชนกชาดก ในพระไตรปิฎก ส่วนพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกายชาดก เล่มที่ 4 ภาคที่ 2 ปรับแต่งดัดแปลงเล็กน้อย เพื่อให้เข้าใจง่าย และสอดคล้องกับยุคสมัยและปัญหาโลกปัจจุบัน เป็นหนังสือที่ทรงพระพระราชนิพนธ์ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย สำหรับฉบับพิเศษเล่มนี้พิมพ์ทั้งสองภาษา โดยสำนักพิมพ์อมรินทร์เมื่อปี พ.ศ. 2542 หลังจากการพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2539เป็นหนังสือที่สวยงามที่สุดในประวัติศาสตร์การพิมพ์ ด้วยภาพเขียนประกอบโดยจิตรกรที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศไทย 10 คน รวม 37 ภาพ ในหน้า 54-55 มีภาพนางมณีเมขลาพยากรณ์อากาศอันเป็นภาพฝีพระหัตถ์จากคอมพิวเตอร์ของพระองค์
    เรื่อง พระมหาชนกเป็นชาดกโบราณในคัมภีร์ศาสนาพุทธ เมื่อทรงนำมานำเสนอใหม่ในโลกยุคโลกาภิวัตน์จึงประจักษ์ในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ในฉบับภาษาอังกฤษ สำนวนภาษาอังกฤษแบบยุคกลาง หรือ Middle English ดั่งที่ J.R.R. Tolkien ใช้ใน The Lord of the Rings จึงปรากฏในเรื่อง พระมหาชนก/The Story of Mahajanaka ไม่มากจนถึงกับอ่านยาก เพราะมีสำนวนภาษาสมัยใหม่ที่ออกจะสนุกสนาน พร้อมด้วยคำภาษาสันสกฤตโบราณเขียนด้วยตัวอักษรเทพนาลีของอินเดียสอดแทรกผสมผสานพระอารมณ์ขัน วิทยาการสมัยใหม่ และความเป็นไทย
    หน้า 53 เป็นเรื่องพระมหาชนกขอพระราชมารดาเสด็จไปสุวรรณภูมิหรือประเทศไทยก่อนไปกู้บ้านเมืองที่มิถิลานคร เพราะสุวรรณภูมิมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์จะได้ค้าขายแลกเปลี่ยนเพื่อสะสมความพร้อมในการกู้อาณาจักรมิถิลานคร ภาพในหน้า 101 คือเมืองมิถิลานคร ต่อไปในหน้า 126-127-128
และมิถิลานครยุคโลกาภิวัตน์ เมืองอวิชชาที่ฟอนเฟะ ผู้คนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม ดูภาพมิถิลานครออกมาเป็นกรุงเทพมหานครได้อย่างเข้าใจพระประสงค์ 
    พอถึงตอนที่ต้นมะม่วงทั้งต้นถูกโค่นล้มทะลาย เพราะอำมาตย์ราชมนตรี และประชาชนชาวมิถิลานคร เพียงเพราะต้องการกินผลเท่านั้น เทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตรถูกใช้ทำลายระบบการเกษตรทั้งหมด ดุจการล้มมะม่วงทั้งต้น การบริหารประเทศโดยรัฐบาลที่เอาแต่หาผลประโยชน์ใส่ตนเองและพวกพ้อง กินรวบทั้งหมดทั้งหมด ไม่กระจายรายผลผลิตมะม่วงออกไปเป็นวงกว้างและยั่งยืน เป็นได้ทั้งการปกครองมิถิลานครในอดีตชาดก และกรุงรัตนโกสินทร์ ณ ปัจจุบันกาล
    ในหน้า 134-135 พระมหากษัตริย์จึงทรงพระราชทานเทคโนโลยีโครงการหลวงฟื้นฟูมะม่วง 9 ประการ ดั่งนี้:
1.  Seed culture / เพาะเม็ดมะม่วง
2. Root Nursing / ถนอมราก
3. Cutting Culture / ปักชำ
4. Grafting / เสียบยอด
5. Bud-Grafting / ต่อตา
6. Branch Splicing / ทาบกิ่ง
7. Branch Layering / ตอนกิ่ง
8. Tree Smoking / รมควัน
9. Cell/Tissue Culture / ชีวาณูสงเคราะห์ หรือ ปลูกเนื้อเยื่อ


    พระมหากษัตริย์แห่งมิถิลานครทรงมีโครงการในพระราชดำริเพื่อฟื้นฟูประเทศชาติถึง 9 วิธี แต่มหาอำมาตย์ราชมนตรี และประชาชนกลับไม่รับสนองพระบรมราชโอการเลย ทุกคนต่างแต่จะโค่นต้นมะม่วง เพื่อเอาเป็นของตนเองทั้งหมดเอาไปกินเองที่บ้านคนเดียวครั้งเดียว
    หนทางฟื้นต้นมะม่วงกอบกู้มิถิลานครจึงมืดมน แล้วพระมหาชนกจะทรงครองนครให้รุ่งเรื่องได้อย่างไร เมื่อประโยชน์ส่วนตนเข้ามาแทนที่ความสามัคคี และความเสียสละ ความโง่เขลาเข้ามาอยู่เหนือความรู้ ความเกียจคร้านสิ้นหวังเข้ามาทำลายและความเพียร
*

นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ
พระราชนิพนธ์แปล ใน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

แปลจากเรื่อง “A MAN CALLED INTREPID”
โดย WILLIAM STEVENSON

-------------------------------------

"คนที่ถูกเรียกว่า INTREPID"
"INTREPID" จาก OXFORD ENGLISH DICTIONARY แปลว่า ความ
"FEARLESS"
"ไม่กลัว"

"UNDAUNTED"
"ไม่ย่นย่อถ้อถอย"

"BRAVE"
"หาญกล้า"

"ท้าทาย"
"DARING"

อันเป็นเป็นคุณสมบัติในบุคคล
และใน MERRIAM-WEBSTER’S THIRD INTERNATIONAL DICTIONARY แปลว่า:

"CHARACTERIZED BY RESOLUTE FEARLESSNESS IN MEETING DANGERS OR HARDSHIPS AND ENDURING THEM WITH FORTITUDE"
"คนซึ่งมีคุณลักษณะไม่หวาดกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะต้องเผชิญภยันตราย หรือความลำบากยากเข็ญอย่างไร เพียงใด ก็จะบากบั่นฝ่าฟันด้วยมานะมุ่งมั่น

“นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” คือชื่อหนังสือฉบับแปล “INTREPID”
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงแปลว่า “นายอินทร์”

เพียงแค่เริ่มแปลชื่อ “INTREPID” เป็น “นายอินทร์” ก็สะท้อนพระอัจฉริยภาพสองประการแล้ว เพราะหากเป็นนักแปลอาชีพทั่วไปแล้วก็จะต้องแปลตรงตัวว่า  “บุรุษผู้ชื่อว่า นายกล้าหาญ”  หรือไม่ก็ “ชายคนนั้นชื่อ INTREPID”

พระอัจฉริยภาพประการที่หนึ่ง คือความมั่นใจเด็ดเดี่ยวที่จะไม่แปลตามตัวอักษร แต่จะทรงแปลตามที่ควรจะเข้าในความหมายของคำและความหมายที่แฝงอยู่ในคำ เพราะ INTREPID เป็นชื่อ CODE ปลอมตัวของสายลับหัวหน้าเครือข่ายจารกรรมของอังกฤษ ต่อต้าน HITLER และ GERMANY สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

ในบทที่ 16 ของ A MAN CALLED INTREPID อันเป็นตอนที่อธิบายที่มาของชื่อ INTREPID ต้นฉบับเขียนว่า :

“THE MANOEUVRE WHICH BRINGS AN ALLY INTO THE FIELD IS AS SERVICEABLE AS THAT WHICH WINS A GREAT BATTLE,” CHURCHILL HAD WRITTEN IN HIS AUTOBIOGRAPHICAL ACCOUNT OF WORLD WAR I. AS PRIME MINISTER IN THE SECOND, HE ADDED THAT THE MAN TO BRING IN THE AMERICANS MUST BE FEARLESS. HE PAUSED, “DAUNTLESS?” HE SEARCHED FOR THE RIGHT WORD WHILE STEPHENSON WAITED. “YOU MUST BE—INTREPID!”

พระเจ้าอยู่หัวทรงแปลดังนี้ :

“อุบายวิธีที่ช่วยชักนำให้สัมพันธมิตรลงสนามร่วมรบมีความสำคัญพอๆกับยุทธวิธีที่นำชัยชนะในยุทธการครั้งใหญ่.” นี่เป็นข้อเขียนของเชอร์ชิลล์ในอัตชีวประวัติตอนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง. ในฐานะนายกรัฐมนตรีตอนสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเพิ่มเติมข้อความว่า บุรุษที่จะชักนำพวกอเมริกันจะต้องเป็นคนไม่รู้จักกลัว. เขาหยุดตรองครู่หนึ่ง. “จะเป็นเหี้ยมหาญดีไหม.” เขาควานหาคำที่จะเหมาะ   สตีเฟนสันได้แต่คอย. “คุณต้องเป็น – นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ!”

แล้วพระองค์ก็ทรงอธิบายความหมายเพิ่มเติมใส่ไว้ในวงเล็บ สำหรับผู้อ่านชาวไทย เพื่อความเข้าใจในตัวของนาย “INTREPID” หรือชื่อจริง WILLIAM STEPHENSON หัวหน้าเครือข่ายจารกรรามข่าวกรองของ CHURCHILL :

“(INTREPID – ไม่รู้จักกลัว ไม่รู้จักหวาด กล้าหาญแต่ไม่เหี้ยม สู้ศัตรูทั้งภายนอกภายในอย่างไม่ท้อถอย ไม่น้อยใจ ไม่หยุดยั้ง รุกรันฟันฝ่า...)”

การแปลชื่อ INTREPID เป็น “นายอินทร์” ก็เป็นการอิงคำภาษาอังกฤษเดิมที่สะกด : INTRE – PID

พยางค์แรก อ่านได้คล้ายชื่อ “พระอินทร์”หรือนายอินทร์ ที่มี “ท-ร์” (ท-ร-การันต์) ผู้ปิดทองหลังพระ 

พยางค์หลัง PID ออกเสียงว่า “ปิด” ได้ในภาษาไทย และสามารถให้อรรถาธิบายได้ว่า

“เป็นผู้ปิดทองหลังพระ”

อิงคำว่า “PID” ในภาษาอังกฤษโดยดึงเอาความหมายในภาษาไทยออกมาได้

นี่เป็นพระอัจฉริยภาพอีกอย่างหนึ่ง ในด้านพระอารมณ์ขันเชิงวรรณศิลป์ ที่ทำให้การแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย ได้ทั้งเนื้อหาความหมายที่ถูกต้องลึกซึ้ง และได้อารมณ์ขันที่อ่านได้อย่างสนุกสนาน

เพราะสำนวนไทยที่ว่า “ปิดทองหลังพระ” นั้นคือชีวิตจริงของสายลับที่มีสมญานามว่า “INTREPID” หรือ “นายอินทร์” สายลับทุกคนที่ร่วมงานจารกรรมในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทำทุกอย่างเพื่อต่อสู้ขวางทางรุกรานและให้มีชัยเหนือพวก NAZI GERMANY และ HITLER ผู้บ้าคลั่งอำนาจหมายครองโลก เมื่อทำแล้วต้องปกปิดเป็นความลับ ไม่บอกใครให้ทราบถึงวีรกรรมทั้งหมด ไม่ต้องการคำสรรเสริญเยินยอใดๆทั้งสิ้น

INTREPID และบรรดาสายลับจารชนทั้งหลายที่เรียกรวมกันว่า “BAKER STREET IRREGULARS”

ทำงานแบบปิดทองหลังพระจริงๆ

การแปลชื่อ INPTREPID ว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ” จึงสมบูรณ์และลึกซึ้ง สะท้อนชีวิตและงานของ INTREPID และจารชนร่วมงานทั้งมวล อย่างถูกต้องที่สุด ยากยิ่งที่นักแปลอาชีพทั่วไปจะหาญกล้าแปลเช่นนี้ได้

การที่พระองค์ทรงให้คำอธิบายเพิ่มเติมในวงเล็บว่า “(INTREPID – ไม่รู้จักกลัว ไม่รู้จักหวาด กล้าหาญแต่ไม่เหี้ยม สู้ศัตรูทั้งภายนอกภายในอย่างไม่ท้อถอย ไม่น้อยใจ ไม่หยุดยั้ง รุกรันฟันฝ่า...)”

ทั้งๆที่ในต้นฉบับไม่มี ก็เพราะต้องการให้ผู้อ่านชาวไทยได้เข้าใจ INTREPID อย่างลึกซึ้ง เพราะ ลำพังจะเรียกว่า “นายอินทร์” แล้วอธิบายตามสั้นๆว่าเป็นผู้ทำงานแบบ “ปิดทองหลังพระ” เฉยๆ นั้น ผู้อ่านจะขาดความลึกซึ้งถึงชีวิตจริงของมหาเศรษฐีนักบินผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่กลับมาใช้ชีวิตร่วมเป็นร่วมตายในสงครามโลกครั้งที่สองอย่างยึดความอยู่รอดของประเทศชาติเหนือชีวิต เมื่อต้องแปล พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงเติมคำอธิบายเพิ่มว่า “(INTREPID – ไม่รู้จักกลัว ไม่รู้จักหวาด กล้าหาญแต่ไม่เหี้ยม สู้ศัตรูทั้งภายนอกภายในอย่างไม่ท้อถอย ไม่น้อยใจ ไม่หยุดยั้ง รุกรันฟันฝ่า...)”

คุณสมบัติของ สายลับ หรือจารชนเช่น INTREPID นั้น ตัว INTREPID หรือ ชื่อจริง WILLIAM STEPHENSON เองอธิบายไว้ และพระเจ้าอยู่หัวทรงแปลว่า :

“บุคคลที่เหมาะสมจะต้องมีคุณสมบัติหลายอย่างพร้อมกัน  จะต้องมีทั้งความซื่อสัตย์สุจริตและความรอบคอบสุขุม ทั้งความเมตตาและความมุ่งมั่น. เขาจะต้องละสังคมที่มั่งคั่งและฟุ่มเฟือย เข้าสู่สังคมที่ต้องประหยัดกระเบียดกระเสียรและถูกความหายนะคุกคาม เขาจะต้องอดทนต่ออารมณ์ที่เคร่งเครียดและผลุนผลันของคนที่ตรากตรำเพราะภัยสงคราม”

แม้ INTREPID จะพูดถึงคนที่จะมาเป็นหัวหน้าหน่วยจารกรรมฝ่ายอเมริกัน ที่จะทำงานเคียงคู่กับตัวเขาเอง แต่คุณสมบัติที่กล่าวถึงนั้นก็คือความเป็น INTREPID ที่ชัดเจน ส่วนนี้ในหนังสือเล่มนี้นี่เองที่สะท้อนคุณลักษณะของคนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชื่นชมอย่างที่สุด เมื่อพระองค์ทรงพบในตัว WILLIAM STEPHENSON หรือ INTREPID ดังที่นาย WILLIAM STEVENSON ผู้เขียนหนังสือที่บังเอิญมีชื่อคล้ายกัน  ได้เขียนเล่าไว้ด้วยแนวการเขียนที่ตื่นเต้นระทึกใจ และนี่คงจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้เวลาถึงสามปี แปล A MAN CALLED INTREPID ให้พสกนิกรของพระองค์ทั้งประเทศได้อ่าน เพื่อว่าชีวิตที่เสียสละเพื่อชาติของ INTREPID และคณะจารชนใต้ดินอังกฤษทั้งหลายนับหมื่นนับแสนคนที่สละชีพเพื่อให้ชาติได้พ้นภัยสงครามไปได้ทั้งหลายเหล่านั้น จะได้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตและสร้างประเทศชาติไทย โดยผู้นำและประชาชนที่มีคุณสมบัติเฉกเช่น

“A MAN CALLED INTREPID” และสายลับปฏิบัติการใต้ดินทั่วยุโรปและอเมริกา และทั่วโลกที่ทำงานให้ WILLIAM STEPHENSON 

ตัวอย่าง :
LESLIE HOWARD นักแสดงอังกฤษผู้แสดงเป็น ASHLEY WILKES คนที่ SCARLET O’HARA หลงรัก ในภาพยนตร์เรื่อง GONE WITH THE WIND (วิมานลอย) LESLIE HOWARD เสียชีวิตเมื่อเครื่องบินตก เหนืออ่าว BISCAY ชีวิตจริงที่ชาวโลกรู้จัก LESLIE HOWARD เป็นพระเอกภาพยนตร์ ส่วนชีวิตลับ เขาคือสายลับกู้ชาติอังกฤษ ทำงานให้กับ WILLIAM STEPHENSON หรือ INTREPID หรือที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกว่านายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ ขณะที่เขากำลังเดินทางกลับไปปฏิบัติงานให้ INTREPIDในอังกฤษ เครื่องบินที่เขาแอบโดยสารมา ถูกฝ่าย GERMANY ยิงตก เหนือ อ่าว BISCAY


คนที่โด่งดังในโลกที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นสายลับต้าน NAZI ก็ถูกเปิดเผย
  • GRETA GARBO ดาราภาพยนตร์สาวงามชาว SWEDEN
  • NOEL COWARD นักเขียนบทละครชาวอังกฤษ
  • ROALD DAHL ผู้เขียนหนังสือสำหรับเด็ก “CHARLIE AND THE CHOCOLATE FACTORY”
  • P.G. WODEHOUSE นักเขียนเรื่องสนุกของ JEEVES 
  • และ IAN FLEMING ผู้เขียนเรื่อง JAMES BOND 007

ในบทที่ 31 ของหนังสือสารคดีเบื้องหลังงานสายลับจารกรรมสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเรื่อง “A MAN CALLED INTREPID” เขียนโดย WILLIAM STEVENSON เมื่อปี ค.ศ.1989 (พ.ศ. 2532) และต่อมาเป็นพระราชนิพนธ์แปลโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งพระองค์ทรงตั้งชื่อว่า “นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” ในหน้า 357 เล่าถึงช่วงชีวิตจริงตอนหนึ่งของ IAN FLEMING (เอียน เฟล็มมิง) ขณะไปปฏิบัติงานให้กรมข่าวทหารเรืออังกฤษในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1941 โดยเขาได้เห็นปัญหาการทำงานจารกรรมและการต้องปกปิดทุกอย่างเป็นความลับมากมายหลายเรื่อง การฆ่า การถูกฆ่า การมุ่งมั่นทำงานเพื่อชาติ เพื่อให้ได้ชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง ที่แรกเริ่มไม่มีวี่แววเลยว่าจะต้านพลังและฟันฝ่าอำนาจของ ADOLF HITLER (อะดอล์ฟ ฮิตเลอร์) เผด็จการนาซีเยอรมนีไปได้ แต่เครือข่ายสายลับอังกฤษภายใต้การนำอย่างลับสุดยอดของ WILLAM STEPHENSON หรือชื่อสายลับเรียกว่า “INTREPID” หรือ “นายอินทร์”  ก็สามารถเอาชนะเยอรมนีและสงครามโลกครั้งที่สองได้ สายลับจำนวนมากได้รับอนุญาตให้ฆ่าได้อย่างถูกต้องตามระเบียบราชการข่าวกรอง เรียกว่า “การฆ่าอันชอบธรรม”  เรื่องที่ต้องเก็บเป็นความลับไปจนตายนี้นั้นทำให้ IAN FLEMING จำต้องหาทางระบายออกมาเป็นงานเขียนนวนิยายสายลับ “JAMES BOND 007” เรื่องแรกในชีวิตการเป็นนายทหารเรือฝ่ายข่าวกรองและงานจารกรรม โดยอธิบายว่า รหัส 00 (ศูนย์สองตัว) มีความหมายว่าได้รับอนุญาตให้ฆ่าคน (LICENSE TO KILL)ได้โดยถือเป็น “การฆ่าอันชอบธรรม”

ในหนังสือ JAMES BOND 007 เรื่องแรก JAMES BOND ตัวเอกของเรื่องเล่าถึงการฆ่าของเขาสองครั้งแรก:

“เรื่องแรกเกิดขึ้นที่นิวยอร์ค – เรื่องผู้เชี่ยวชาญรหัสญี่ปุ่นขบประมวลรหัสของเราที่ ชั้นสามสิบหกของตึก อาร์.ซี.เอ. (R.C.A. BUILDING) ใน ร็อกกิเฟลเลอร์ เซนเตอร์ ซึ่งเป็นสถานกงสุลของอ้ายญุ่น. ผมไปเช่าห้องบนชั้นที่สี่สิบของตึกระฟ้าใกล้เคียง และสามารถมองข้ามถนนลงไปในห้องที่เขาทำงานอยู่ ต่อไป ผมเรียกเพื่อนร่วม หน่วยในนิวยอร์คมาพร้อมกับปืนเรมิงตันแบบสามสิบ-สามสิบ สองกระบอก ทั้ง กล้องเล็งทางไกลและเครื่องเก็บเสียง...ผู้นี้มีหน้าที่เพียงแต่ยิงให้กระจกหน้าต่างแตก เป็นช่องให้ผมยิงอ้ายญุ่นได้. ที่ร็อกกิเฟลเลอร์ เซนเตอร์ มีกระจกหน้าต่างหนา เพื่อ ไม่ให้เสียงจากภายนอกรบกวน. งานผ่านพ้นไปอย่างสะดวกมาก...ผมยิงโดนอ้ายญุ่น เข้าตรงปาก เมื่อมันหันมาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ..”๑

หนังสือ JAMES BOND 007 เรื่องแรกนี้ IAN FLEMING ตั้งชื่อว่า “CASINO ROYALE”๒  เมื่อ IAN FLEMING เขียนเสร็จ ได้นำต้นฉบับไปให้ “นายอินทร์” (WILLIAM STEPHENSON) ผู้เป็นเจ้านายของเขาในชีวิตจริงได้อ่านดู  นายอินทร์บอกกับ IAN FLAMING ว่า 

“เรื่องอย่างนี้ขายไม่ออกหรอก. เรื่องจริงมักจะฟังดูแปลกไม่น่าเชื่อเสมอ...”๓

“นายอินทร์” คาดการณ์ผิดไปอย่างมาก เพราะทันทีที่ “CASINO ROYALE” พิมพ์จำหน่ายในปี ค.ศ. 1953 (พ.ศ. ๒๔๙๖) ในประเทศอังกฤษ JAMES BOND สายลับ 007 ก็กลายเป็นพระเอกคนใหม่แห่งโลกวรรณกรรมประเภทสายลับจารกรรมยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เรียกว่า “ยุคสงครามเย็น” หรือ “COLD WAR” ซึ่งหมายถึงสงครามอุดมการณ์ที่ไม่ได้ลงมือสู้รบด้วยอาวุธจริงๆ หากแต่ข่มขู่กันด้วยการสะสมอาวุธร้ายแรง โดยเฉพาะอาวุธนิวเคลียร์ การจารกรรมข้อมูลข่าวสารต่างๆของฝ่ายตรงกันข้ามจึงเป็นเรื่องที่กระทำกันจริงๆ และทำต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ ส่วน JAMES BOND 007 ที่เป็นตัวแสดงในนวนิยายก็ยังทำหน้าที่มาจนทุกวันนี้เช่นกัน ผ่านยุคสงครามเย็น มาสู่ยุคการเผชิญหน้า ยุคเจรจาผ่อนคลายความตึงเครียด ยุคสหภาพโซเวียตล่มสลายแยกดินแดนออกเป็นหลายสาธารณรัฐ และจนถึงยุคโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน JAMES BOND ก็ยังไม่ตาย ไม่แก่ และ เปลี่ยนโฉมหน้าอยู่เป็นครั้งคราว

บุคคลที่มีชื่อเสียงทั้งหลายที่ปรากฎในหนังสือ “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ” ล้วนมีชีวิตลับเป็นหน่วยจารกรรมข่าวกรองเสี่ยงชีวิตเพื่อปฏิบัติการใต้ดินต่อต้าน HITLER, และ NAZI GERMANY ทั้งสิ้น

ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของ INTREPID ทุกคนล้วนเป็นนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระเช่นเดียวกับ

WILLIAM STEPHENSON หรือ “INTREPID” ผู้เป็นหัวหน้า ทั้งสิ้น หากไม่มีหนังสือที่เปิดเผยข้อมูลลับเรื่อง A MAN CALLED INTREPID ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแปล และให้ชื่อว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ” ก็คงไม่มีใครทราบ

หนังสือเล่มนี้มิได้เป็นงานวรรณกรรมล้ำเลิศของโลกเฉกเช่นงานของ HOMER, WILLIAM SHAKESPEARE, CHARLES DICKENS หรือ LEO TOLSTOY ทำไมพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรสยามจึงได้ทรงอุทิศเวลาอันมีค่าของพระองค์ถึงสามปี เพื่อแปลหนังสือเล่มนี้? หากพระองค์จะอ่านและทรงรับประโยชน์จากเรื่องของนายอินทร์แต่เพียงอย่างเดียว เวลาอ่านวันเดียวก็คงพอเพียง การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแปลเรื่อง INTREPID เป็นภาษาไทยนั้นก็เพื่อให้พสกนิกรของพระองค์ได้ร่วมอ่านหาความรู้ รับความประทับใจไปด้วย ดังนั้นเป้าหมายสำคัญของการอ่านพระราชนิพนธ์แปลเรื่อง

“นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” จึงต่างกับจุดมุ่งหมายในการอ่าน “A MAN CALLED INTREPID”

ที่เป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษ อ่าน “นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” นอกจากจะได้ความรู้ ข้อมูลลับสุดยอดยามสงคราม และความตื่นเต้นที่ได้จากเรื่องจริงที่ยิ่งกว่านิยายแล้ว ผู้อ่านชาวไทยจะต้องหาคำตอบให้ได้ว่า “นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” นั้นสำคัญอย่างไรสำหรับพระเจ้าอยู่หัว และความสำคัญนั้นย่อมเป็นสิ่งที่พสกนิกรของพระองค์พึงต้องทราบหัวใจสำคัญของเรื่อง

“นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” เรื่องของคนดีที่เสียสละเพื่อชาติ ตลอดความยาว 603 หน้า ล้วนเป็นเรื่องของคนดีที่ชาติต้องการทั้งสิ้น เมื่ออ่านจบจึงรู้ว่านี่คือลักษณะคนดีที่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงต้องการสนับสนุนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ

มาเดอเลน (MADELENE) เป็นชื่อ CODE ลับ ของสายลับสาวสวย เลือดผสม อินเดีย กับ อเมริกัน ชื่อจริง NOOR INAYAT KHAN (นอร์ อินายัต ข่าน) สมัครและฝึกงานสายลับกับ นายอินทร์ เมื่ออายุ 25 ออกเดินทางไปกระโดดร่มลงที่ฝรั่งเศส และเริ่มหาที่หลบซ่อน แฝงตัว ทำหน้าที่ส่งข่าวผ่าน CODE วิทยุสื่อสาร ได้นานสามเดือนครึ่ง ถูก ตำรวจลับ GESTAPO จับตัวและกักขังในค่ายทรมานสังหารนักโทษนาน 10 เดือน และถูกประหารชีวิต ณ ค่าย ดัคเคา (DACHAU)  ใน GERMANY วันที่ 12 กันยายน 1944 ชีวิตที่สั้นนักของสายลับ มาเดอเลน นั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแปลเรื่องของ เธออย่างสะเทือนอารมณ์ยิ่งนัก ในบทที่ 27 (น. 289) พร้อมทั้งทรงเพิ่มเติมเป็นคำอธิบายจากผู้แปล

นอกเหนือไปจากที่มีในหนังสือต้นฉบับภาษาอังกฤษด้วยเรื่องราวเสียงชีวิต และเอาตัวเข้าและกับข่าวกรองโดยงานจารกรรมของสายลับ CYNTHIA

บทที่ 35 ถึง 38 ให้อารมณ์ระทึกใจอีกแบบหนึ่ง ต่างไปจากความสะเทือนใจที่ได้จากเรื่อง ของมาเดอเลน CYNTHIA ไม่ตาย แต่พลีร่างกายให้กับงานจารกรรมอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด นอกจากชัยชนะเหนือ HITLER ผู้คลั่งอำนาจ

เครือข่ายสายลับของ INTREPID อยู่ในอังกฤษ NEW YORK, CANADA, BERMUDA, TRINIDAD, JAMAICA และอีกหลายแห่งในโลกสายลับหลายแสนคน ส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครรับรู้ถึงวีรกรรม และจำนวนหลายหมื่นคนตายไป โดยไม่มีใครสดุดีอย่างเป็นทางการ 

IAN FLEMING จากกรมข่าวทหารเรืออังกฤษ ผู้ร่วมงานบริหารเครือข่ายจารกรรม และผู้ช่วยคนสำคัญของ INTREPID รู้เห็นเรื่องและวีรกรรมลับของจารชนทั้งหลาย ไม่สามารถเปิดเผยเรื่องลับเหล่านั้นได้ ดังนั้น IAN FLEMING จึงเริ่มเขียนนวนิยายสายลับจารชน 007 หักเหลี่ยม สอบสวนสืบสวนเรื่องแรกชื่อ “CASINO ROYALE” ในปี 1953 INTREPID ตรวจต้นฉบับแล้วบอกกับ IAN FLEMING ว่า

[น.357]
“เรื่องอย่างนี้ขายไม่ออกหรอก. เรื่องจริงมักจะฟังดูแปลกไม่น่าเชื่อเสมอ...”

JAMES BOND 007 ประสพความสำเร็จเป็นนิยายสายลับ ต่อเนื่องมา 14 เล่ม คนทั้งโลกยังอ่านมาจนทุกวันนี้

ชีวิตของ INTREPID และสายลับใต้ดินทุกคน ตื่นเต้น ระทึกใจยิ่งกว่าชีวิตของ JAMES BOND

และส่วนใหญ่ จบชีวิต โดยไม่มีใครรู้จัก ... แต่โลกไม่มีวันลืม
สมเกียรติ อ่อนวิมล
5 ธันวาคม 2557

_________________________________________________________

หมายเหตุ
๑. สำนวนแปลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จากเรื่อง “นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” สำนักพิมพ์ บริษัท อมรินทร์พรินติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด พ.ศ. ๒๕๓๖ (หน้า ๓๕๗) – โปรดสังเกตการใช้เครื่องหมายจุดจบประโยค อันเป็นแบบฉบับงานพระราชนิพนธ์ของพระองค์
๒. ชื่อภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกทับศัพท์ว่า “คาสิโน รัวยาล”ส่วนในหนังสือแปลเป็นภาษาไทย เรียกว่า “เหลี่ยมนักเลง” เป็นหนังสือแปลโดย ผู้ใช้นามปากกา “จารุวัฒน์” พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๗ โดยสำนักพิมพ์รวมสาส์น ราคา ๓๕ บาท
๓. จาก “นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” หน้า ๓๕๗

Picture
“แม่เล่าให้ฟัง...แม่สนิทสนมสมาคมกับ...”
พระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
 (สมเด็จพระโสทรเชษฐภคินี)


หนังสือเรื่อง “แม่เล่าให้ฟัง” พระนิพนธ์โดย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์นั้น มีการกล่าวถึงมากในเวลานี้ หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้วนั้น ส่วนที่สองของหนังสือว่าด้วยเรื่องนักปราชญ์ฝรั่งเศสผู้เป็นที่ชื่นชอบของ “แม่” หรือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และต่อไปนี้เป็นบางส่วนของหนังสือ
“แม่เล่าให้ฟัง” ภาค 2 ว่าด้วยเรื่อง “แม่สนิทสนมสมาคมกับ....ใครบ้าง?”
พระนิพนธ์โดย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

[หน้า 227]
“Dis-moi qui tu hantes, je te dirai qui tu es”
“บอกสิว่า เธอสนิทสนมสมาคมกับใคร แล้วจะบอกให้ว่า เธอเป็นคนอย่างไร”

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงยกภาษิตฝรั่งเศสบทหนึ่งขึ้นมาเพื่อจะทรงบอกผู้อ่าน “แม่เล่าให้ฟัง” ได้ทราบว่าการอ่านหนังสืออะไร หนังสือของใคร การเรียนรู้ปรัชญา ความคิดของใครอย่างสนิทชิดเชื้อ ย่อมเทียบได้กับความสนิทสนมสมาคมกับเจ้าของความคิดผู้เขียนหนังสือเหล่านั้น

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงพระนิพนธ์ว่า
“แม่” หรือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงอ่านหนังสือของนักปรัชญาชาวตะวันตกมากมายหลายคน ตั้งแต่ Platon (Plato), Aristote (Aristotle), Edgar Wallace ไปจนถึง Sir Arthur Conan Doyle และ Agatha Christie ในภาค 2 ของหนังสือ “แม่เล่าให้ฟัง”
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงนำเรื่องของนักปราชญ์ชาวตะวันตก 11 คนมาทรงพระนิพนธ์ว่าเป็นบุคคลที่ “แม่สนิทสนมสมาคมด้วย” จากการอ่านหนังสือของนักปรัชญาเหล่านี้

(232)
Democrite
เดโมคริต
(BCE 460-370)
นักปรัชญาชาวกรีก มีช่วงชีวิตอยู่ระหว่างปี 460-370 ก่อนคริสตกาล หรือ ระหว่างปี พ.ศ. 83-173 Democrite
“ได้พัฒนาทฤษฎีปรมาณูของเลอซิปป์ (Leucippe) และทำให้ชัดขึ้น ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีแรกทื่ถือว่า ทุกสิ่งในโลกมาจากวัตถุไม่ได้ถูกสร้างโดยเทพเจ้าใดๆ ทุกอย่างประกอบด้วยปรมาณู ซึ่งแบ่งออกไม่ได้ ทฤษฎีของ Democrite มีส่วนหนึ่งที่เป็นจริยธรรมซึ่งสอนให้มนุษย์มีความปรารถนาแต่พอสมควร“

“ความปรารถนาแต่พอสมควร”
ของ Democrite ผ่านสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ส่งต่อไปยัง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ  ถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ออกมาในรูปของ
“ความปราถนาอย่างพอเพียง” หรือ “เศรษฐกิจแบบพอเพียง” นั่นเอง

(234 ข้อ 27)
Democrite สอนว่า
“การหาทรัพย์ได้นั้นเป็นประโยชน์ แต่ถ้าเราได้ทรัพย์มาโดยไม่เป็นธรรมก็เป็นความเลวร้ายอย่างมหันต์”

(236)
Epictete
เอปิคเตท
(CE 50-125)
 ‘เป็นนักปรัชญากรีก...ถูกนำไปเป็นทาสที่ Rome หลังจากที่พ้นจากการเป็นทาส ได้ศึกษาปรัชญาลัทธิสโตอิค (Stoicisme) ต่อมาจักรพรรดิโรมันเนรเทศนักปรัชญาทุกคนไปจากกรุงโรม Epictete จึงกลับกรีซและเปิดสำนักปรัชญา เขาไม่ได้เขียนหนังสือเลย แต่ศิษย์ของเขาชื่อ Arrien ได้เขียนคำสอนของอาจารย์ไว้ใน “Entretiens” และ “Manuel” ‘

Epictete สอนว่า
(236)
“จงอย่าขอให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นไปตามใจปรารถนา แต่จงปรารถนาในสิ่งที่มีมาเอง แล้วเธอก็จะดำเนินชีวิตอันผาสุก”

(237)
Descartes
เดส์คารตส์
(CE 1596-1650)
“Rene Descartes เป็นนักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ฝรั่งเศส เกิดที่ฝรั่งเศสในสกุลชนชั้นกลางที่ร่ำรวย ได้รับการศึกษาอย่างดีกับพระนิกาย Jesuites เมื่อเรียนจบแล้ว Descartes ลังเลใจในการเลือกอาชีพอยู่นาน ในที่สุดเป็นทหารอาสาในกองทัพต่างๆ ฃอยู่พักหนึ่ง และเดินทางไปประเทศในยุโรปหลายประเทศ ตั้งแต่ ค.ศ. 1629 ไปอยู่ฮอลแลนด์ และพักอยู่ 20 ปี Dsacartes ได้เขียนหนังสือวิทยาศาสตร์และปรัชญาหลายเล่ม รวมทั้งจดหมายโต้ตอบกับนักปราชญ์ทั่วยุโรป ในทีสุดพระราชินี Christine แห่งสวีเดนเชิญไปอยู่ที่ Stockholm แต่ Descartes ปอดบวมและถึงแก่กรรม 5 เดือนหลังจากที่ไปถึง” Descartes บอกว่า:

(238)
“การมีกฎมากๆมักทำให้ความชั่วหาข้อแก้ตัวได้”

(239)
La Rochefoucauld
ลารอชฟูโคล์ด์
(CE 1613-1680)
“Francois, duc de la Rochefoucauld เป็นนักจริยธรรมฝรั่งเศส เกิดมาในตระกูลชั้นสูง....งานสำคัญที่สุดของ La Rochefoucauld คือ ‘Reflexions ou Sentences et Maximes Morales’ หรือคติพจน์ เป็นสิ่งที่ชอบแต่งกันในสมัยนั้น”

(242 ข้อ30)
1 ใน 500 คติพจน์ ของ La Rochefoucauld สอนว่า
“ความมโหฬารในพิธีศพสำคัญสำหรับความภาคภูมิใจของผู้ที่มีชีวิตอยู่มากกว่าเป็นเกียรติแก่ผู้ตาย”

(244-245)
Pascal
ปาสคัล
(CE 1623-1662)
 “Blaise Pascal เป็นนักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ และนักจริยศาสตร์ ฝรั่งเศส...ในครอบครัวซึ่งเป็นผู้มีอันจะกิน...เมื่ออายุ 12 ปี ได้ค้นพบกฎเรขาคณิตของ Euclid ด้วยตนเอง เมื่ออายุ 16 ปี เขียนหนังสือคณิตศาสตร์ และเมื่ออายุ 18 ปี สร้างเครื่องคิดเลข แล้วร่วมกับผู้อื่นคิดกฎขอแคลคูลัส...ในปี 1654 Pascal…หันเข้าหาศาสนาอย่างเต็มที่”

(245 ข้อ 1)
Pascal นำศาสนามาอธิบายเป็นปรัชญาว่า
“คนเราไม่จำต้องมีจิตใจสูงมากก็จะเข้าใจได้ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นความพึงพอใจที่แท้จริงและมั่นคง...ความสุขสนุกสนานนั้นเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ และความทุกของคนเรานั้นไม่มีวันจบสิ้น”

(250)
Montesquieu
มงเตสกิเยอ
(CE 1689-1755)
“Montesquieu เป็นนักเขียนฝรั่งเศส ...ศึกษาวิชากฎหมายและเป็นผู้พิพากษาที่บอร์โดซ์...เขียนบทความหลายบท และ..หนังสือสำคัญ 2 เล่ม เกี่ยวกับชาติโรมัน...(และ) กฎหมาย...สมุดบันทึก 3 เล่ม ซึ่ง มง
เตสกิเยอเรียก Pensees”

Montesquieu พูดถึงเสรีภาพและรัฐธรรมนูญว่า
(255 ข้อ 27)
“เสรีภาพที่แท้จริงเป็นเป็นสภาพทางปรัชญามากกว่าจะเป็นสภาพที่เป็นจริง ข้อนี้มิได้เป็นอุปสรรคต่อการที่จะมีรัฐบาลดีมากหรือเลวมากได้ และรัฐธรรมนูญใดห่างไกลออกไปจากมโนคติแห่งเสรีภาพทางปรัชญาที่เราสร้างไว้ รัฐธรรมนูญนั้นก็จะไม่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น”
[Montesquieu]

(256)
Voltaire
วอลแตร์
(CE 1694-1778)
“Voltaire เป็นนามแฝงของ Francois-Marie Arouet เป็นนักเขียนฝรั่งเศส...เป็นนักประพันธ์...ฉลาดและชอบพูดหรือเขียนบทคามที่เสียดสี...รักความยุติธรรม...ใจกว้าง.....Voltaire ได้เขียนวรรณคดีทุกประเภท เช่น ละคร กวีนิพนธ์ ประวัติศาสตร์...เช่น ‘Candide’ หรือ ‘Zadig’ และ ‘Correspondance’ (จดหมายโต้ตอบ) ซึ่งมีจำนวนถึง 6,000 ฉบับ”
​
Voltaire ประชดคนเกียจคร้านว่า

(257 ข้อ 1 และ 2)
 “การไม่มีอะไรทำและการไม่มีชีวิตนั้นเหมือนกัน ทุกคนดี ยกเว้นคนเกียจคร้าน”.. “หากท่านไม่ปรารถนาจะทำลายชีวิตตัวเอง ก็จงหาอะไรทำ”

(258-259)
Rousseau
รุสโซ
(CE 1712-1778)
“Jean-Jacques Rousseau เป็นนักเขียนเกิดที่ Geneve (สวิตเซอร์แลนด์) ในสกุลฝรั่งเศศ...ศึกษาวิชาต่างๆด้วยตนเอง...ได้รับความสำเร็จด้านดนตรีและการประพันธ์...เขียน ‘Le Contrat Social’ และ ‘Emile’ ซึ่งเป็นหนังสือสำคัญของเขา”

(260)
Rousseau บอกว่า
“ทุกอย่างในโลกอยู่ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงไม่หยุดหย่อน ไม่มีสิ่งใดคงสภาพอันแน่นอนและคงที่....สำหรับความสุขที่ยั่งยืน ข้าพเจ้าสงสัยว่า เราจะรู้จักกันหรือเปล่า”

(262)
Vauvenargues
โวเวอนาร์กส์
(CE 1715-1747)
“Luc de Clapiers, marquis de Vauvenargues (ลุก เดอ คลาปิเอร์, มาร์กีส์ เดอ โวเวอนาร์กส์) เป็นนักจริยธรรมซึ่งเกิดในตระกูลขุนนางที่ Aix-en-Provence ในภาคใต้ของฝรั่งเศส...เขาได้ลาออกจากการเป็นทหาร และมาเขียนหนังสือจริยธรรมที่ปารีส เขาถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้เพียง 32 ปี และทิ้งหนังสือที่เขียนยังไม่จบไว้หลายเล่ม”
Vauvenargues เห็นว่า

(262 ข้อ 1)
“การได้ดีอย่างรวดเร็วทุกประเภทไม่สู้แน่นอน เพราะว่าส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นผลแห่งงานที่มีคุณค่า การใดที่สำเร็จได้อย่างยากเย็นและรอบคอบนั้นกินเวลานานเสมอ”


(266)
Maurois
โมรัวส์
(CE 1885-1967)

 “Emile Herzog ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น Andre Maurois เป็นนักเขียนฝรั่งเศส...เขียน ‘Les Silences du Colonel Bramble’ ...ทำให้คนรู้จักเขา...เขียนหนังสือประเภทนวนิยายเช่น ‘Climats’ (ค.ศ. 1928) ประเภทจริยธรรม เช่น ‘Un Art de Vivre’ (1939) ประเภทประวัติศาสตร์ เช่น “Histoire des Etats-Unis’ (1943) ประเภทชีวประวัติ (เช่น) ‘La Vie de Balzac’ (1965)”

(191)
Maurois ยกย่องผู้หญิงว่า
“ตัวอย่างอันดีของการรวมกันในงานที่ใช้แรงและงานที่ใช้สมองคืองานของแม่บ้าน เมื่อเธอทำงานนี้ด้วยความรัก สตรีผู้ดูแลบ้านของตนอย่างดีนั้น เป็นทั้งราชีนี ทั้งข้าแผ่นดิน”


(269-270)
Sartre
ซาร์ตร์
(CE 1905-1980)
“Sartre นักปรัชญาและนักเขียนฝรั่งเศส ศึกษาที่ Ecole  Normale Superieure (โรงเรียนวิชาครูชั้นสูง) และเป็นครูสอยวิชาปรัชญา เป็นผู้ที่ทำให้ลัทธิปรัชญา Existentialisme (อัตถิภาวะนิยม) โด่งดังขึ้นมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เข้าได้เผยแพร่ Existentialisme โดยเขียนนวนิยาย เช่น ‘La Nausee’ (1938) บทละคร เช่น ‘Huis Clos’ (1944), ‘Les Mains Sales’ (1948) หนังสืออธิบายปรัชญา เช่น ‘L Ettre et le Neant’ (และ) ‘L Existentialisme est un humanisme’“
Existentialisme หรือปรัชญาอัตถิภาวะนิยม ของ Sartre บอกว่า
(270-273)

“ความมีอยู่มาก่อนแก่นแท้...ทุกอย่างเริ่มต้นจากภาวะจิตวิสัย ...เริ่มต้นจากตัวเราเอง มนุษย์นั้นเกิดมาก่อน ได้พบขึ้น ปรากฏขึ้นในโลก...แล้วจึงถูกกำหนดภายหลังดังที่ปรารถนาจะเป็น ...กำหนดตัวเอง... มุ่งไปสู่อนาคต ...มีความรับผิดชอบทั้งมวลในความมีอยู่ ....รับผิดชอบตนเอง... รับผิดชอบคนทุกๆคน”

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหนังสือที่แม่เล่าให้ฟังว่าแม่ชอบอ่าน

นี่คือคนที่ “แม่สนิทสนมสมาคมด้วย”
“แม่เล่าให้ฟัง”
พระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สมเด็จพระโสทรเชษฐภคินี

Thaivision
5 ธันวาคม 2558

    ความเห็นของท่านมีคุณค่า ❊ WE VALUE YOUR OPINION

Submit
THAIVISION® 
REFLECTION ON EVENTS ON PLANET EARTH AND BEYOND 
​©2021 All Rights Reserved  Thai Vitas Co.,Ltd.  Thailand  
✉️
  • REFLECTION
  • ON PLANET EARTH
    • EARTH
  • AND BEYOND
  • THAILAND
    • KING BHUMIBOL
    • NATIONAL PARKS OF THAILAND >
      • KHAO YAI NATIONAL PARK
      • PHA TAEM NATIONAL PARK
      • PHU WIANG NATIONAL PARK
      • NAM NAO NATIONAL PARK
      • PHU HIN RONG KLA NATIONAL PARK
      • PHU KRADUENG NATIONAL PARK
      • PHU RUEA NATIONAL PARK
      • MAE YOM NATIONAL PARK
      • DOI SUTHEP-PUI NATIONAL PARK
      • DOI INTHANON NATIONAL PARK
      • THONG PHA PHUM NATIONAL PARK
      • KAENG KRACHAN NATIONAL PARK
      • MU KO ANG THONG NATIONAL PARK
      • MU KO SURIN NATIONAL PARK
      • MU KO SIMILAN NATIONAL PARK
      • HAT NOPPHARATA THARA - MU KO PHI PHI NATIONAL PARK
      • MU KO LANTA NATIONAL PARK
      • TARUTAO NATIONAL PARK
  • THE LIBRARY
    • MORNING WORLD BOOKS >
      • CASINO ROYALE
      • 1984
      • A BRIEF HISTORY OF TIME
      • A HISTORY OF THAILAND
      • CONSTITUTION OF THE UNITED STATES
    • DEMOCRACY IN AMERICA
    • FIRST DEMOCRACY
    • JOHN MUIR
    • MODELS OF DEMOCRACY
    • MULAN
    • THE VOYAGE OF THE BEAGLE
    • ON THE ORIGIN OF SPECIES
    • PHOOLAN DEVI
    • THE REPUBLIC
    • UTOPIA
    • A Short History of the World [H.G.Wells]
    • WOMEN OF ARGENTINA
    • THE EARTH : A Very Short Introduction
    • THE ENGLISH GOVERNESS AT THE SIAMESE COURT
    • TIMAEUAS AND CRITIAS : THE ATLANTIS DIALOGUE
    • HARRY POTTER
    • DEMOCRACY / HAROLD PINTER
    • MAGNA CARTA
    • DEMOCRACY : A Very Short Introduction
    • DEMOCRACY / Anthony Arblaster]
    • DEMOCRACY / H.G. Wells
    • ON DEMOCRACY / Robert A. Dahl)
    • STRONG DEMOCRACY
    • THE CRUCIBLE
    • THE ELEMENTS OF STYLE
    • THE ELEMENTS OF JOURNALISM | JOURNALISM: A Very Short Introduction
    • LOVE
    • THE EMPEROR'S NEW CLOTHES
    • THE SOUND OF MUSIC
    • STRONGER TOGETHER
    • ANIMAL FARM
    • POLITICS AND THE ENGLISH LANGUAGE
    • GEORGE ORWELL
    • HENRY DAVID THOREAU >
      • WALDEN
    • MAHATMA GANDHI
    • THE INTERNATIONAL ATLAS OF LUNAR EXPLORATION
    • พระมหาชนก
    • ติโต
    • นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ | A Man Called Intrepid
    • แม่เล่าให้ฟัง
    • SUFFICIENCY ECONOMY
    • พระเจ้าอยู่หัว กับ เศรษฐกิจพอเพียง
    • KING BHUMIBOL AND MICHAEL TODD
    • ... คือคึกฤทธิ์
    • KING BHUMIBOL ADULYADEJ: A Life's Work
    • THE KING OF THAILAND IN WORLD FOCUS
    • พระราชดำรัสเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ
  • IN MY OPINION
  • THAIVISION
  • SOMKIAT ONWIMON
    • MY STORY
    • THE DISSERTATION
    • THE WORKS >
      • BROADCAST NEWS & DOCUMENTARIES
      • SPIRIT OF AMERICA
      • THE ASEAN STORY
      • NATIONAL PARKS OF THAILAND
      • HEARTLIGHT: HOPE FOR AUTISTIC CHILDREN IN THAILAND
    • KIAT&TAN >
      • TAN ONWIMON >
        • THE INTERVIEW