![]() คิง คอง
KING KONG ขนานแท้และดั้งเดิม ของ Merian C. Cooper ___________________________________________________________ King Kong ตัวจริงในภาพยนตร์เรื่องแรก เมื่อ ปี 1933/2476 สูงเพียง 18 นิ้วเท่านั้น ภาพยนตร์สารคดี “ช้าง” ถ่ายทำในไทยเมื่อปี พ.ศ. 2470 เป็นแรงดลใจให้ Merian C. Cooper สร้างเรื่อง King Kong ในปี 2476 เป็นภาพยนตร์เรื่อง King Kong เรื่องแรก ดั้งเดิม แล้วส่งต่อแรงดลใจให้มีการสร้างภาพยนตร์เรื่อง King Kong ตามหลังมาอีกสามเรื่อง ___________________________________________________________ ถึงปี 2017/2560 King Kong สร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วสี่ครั้ง ครั้งแรกชื่อเรื่อง King Kong ในปี 1933/2476; ครั้งที่สองชื่อเรื่อง King Kong ตามเดิม ปี ค.ศ.1976/2519; ครั้งที่สาม คงชื่อเรื่อง King Kong ปี 2005/2548; และ ครั้งที่สี่ชื่อเรื่อง Kong: Skull Island ปี 2560/2017 เรื่องราวของลิงยักษ์ตัวใหญ่เท่าตึกตัวนี้ มิได้เกิดจากเรื่องจริง มิได้มีลิงตัวใหญ่มหึมาอยู่บนโลกนี้ตามที่เห็นในภาพยนตร์ และภาพยนตร์เรื่อง King Kong ที่สร้างเริ่มแรกเมื่อ 84 ปีที่แล้วก็มิได้สร้างจากหนังสือนวนิยายเรื่องใดมาก่อน ที่เห็นเป็นเล่มหนังสือนวนิยายภาษาอังกฤษในร้านหนังสือทุกวันนี้ก็เป็นการเอาบทภาพยนตร์มาเขียนใหม่ให้เป็นหนังสือนวนิยายเพื่อขายหาเงินใช้กันในช่วงที่ภาพยนตร์ King Kong ที่สร้างใหม่กำลังจะเข้าฉายเท่านั้นเอง ภาพยนตร์เรื่อง Kong: Skull Island เป็น King Kong เรื่องที่สี่ มีนักวิจารณ์ภาพยนตร์บางคนกดระดับให้ต่ำเป็นหนังเกรด B อาจเป็นเพราะสร้างเอาสนุกเหลือเชื่ออย่างเดียว แถมเป็นการสร้างครั้งที่สี่ของเรื่อง King Kong ดูจะหาประเด็นสร้างสรรค์อะไรแปลกใหม่ได้ยาก นอกจากจะทำให้ “เวอร์” เกินขนาดไปจนไม่มีใครถือสาจริงจัง ดูสนุกเพลิดเพลิน คนสร้างพอมีกำไรนิดหน่อย เป็นใช้ได้ ผมยังไม่ได้ดู ‘Kong: Skull Island’ ได้แต่ดูหนังตัวอย่าง และตามข่าวสารต่างๆเท่านั้น แค่ดูหนังตัวอย่างและฟังคำให้สัมภาษณ์ของผู้กำกับชื่อ Jordan Vogt-Roberts เท่านั้นก็หัวร่องอหาย เพราะ JVR คุยราวกับว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริงจังเหมือนมี Kong ตัวจริง แต่ใหญ่มาก King Kong ตัวแรกๆ เขาสารภาพหน้าตาเฉยว่าทั้งหมดเป็นการสร้างภาพจาก computer graphics ซ้อนบนจอสีเขียว ไม่มีหุ่นปั้นตัว Kong จับต้องได้จริง เหมือนหนังรุ่นเก่า และเขาก็ไม่ได้เรียก ‘King’ Kong แต่เรียก ‘Kong’ เฉยๆ แถมชื่อหนังก็ไปเน้นชื่อเกาะ ‘Skull Island’ ซึ่งบอกว่าอยู่ในมหาสมุทรแปซิก แทนที่จะอยู่ที่อินโดนีเซียอย่างเดิม ลำพังชื่อหนังก็สับสนแล้ว เพราะเอาชื่อ Kong นำหน้า แต่ใช้เครื่องหมาย : (colon) ตามด้วยคำขยายชื่อเรื่อง เป็นชื่อเกาะ ‘Skull Island’ ตามหลักไวยากรณ์อังกฤษก็ต้องหมายความว่า ‘Kong’ คือ ‘เกาะกะโหลก’ ไม่ใช่ ‘Kong แห่ง เกาะกะโหลก’ เพราะไม่ได้ตั้งชื่อเรื่องว่า ‘Kong of the Skull Island’ แถมไม่บอกขนาดของ Kong ว่าจะขนาดมหึมาเป็น King of Kongs หรือ King Kong อีกต่างหาก ดังนั้นดูแค่ชื่อหนัง King Kong รุ่นสี่แล้ว ก็สนุกที่จะวิจารณ์มากแล้ว! เมื่อปี 2548 ภาพยนตร์เรื่อง King Kong สร้างครั้งที่สามโด่งดังมากจริงๆ ผมก็เกาะกระแส King Kong (2005) ของ Peter Jackson เพราะชอบนางเอกสาวชาวออสเตรเลียที่ชื่อ Naomi Watts ยิ่งไปกว่านั้น Peter Jackson ผู้กำกับชาวนิวซีแลนด์ ยังได้แสดงฝีมือไว้มากตอนเป็นผู้กำกับรางวัล Oscar จากภาพยนตร์เรื่อง “The Lord of the Rings” ประกอบกับการมีข่าวประชาสัมพันธ์และโฆษณาขายภาพยนตร์เรื่องนี้กันมากว่าปีก่อนหนังสร้างเสร็จ ทั้งหมดเลยเป็นกระแสสร้าง King Kong (2005) ให้ประสพความสำเร็จอย่างสูง จนผมไ่คิดว่าใครจะหาญกล้ามาสร้าง King Kong เรื่องใหม่อีก อย่างน้อยก็ไม่น่าจะมีใครกล้าสร้างใหม่จนกว่าผมและผู้รู้จัก King Kong มาแล้วสามเรื่องจะจากโลกนี้ไปก่อน อันที่จริง King Kong เรื่องแรกเมื่อปี 1933/2476 นั้นต้องถือว่าเป็นต้นแบบ และเป็นผลงานการสร้างภาพยนตร์อันอมตะอย่างแท้จริง โดยได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์ที่ใช้เทคนิคพิเศษสุดยอดอย่างที่ไม่เคยมีภาพยนตร์เรื่องใดในสมัยนั้นพยายามทำ หรือทำได้มาก่อนเลย Merian C. Cooper ผู้กำกับชาวอเมริกัน เจ้าของ King Kong ต้นฉบับดั้งเดิม เกิดที่เมือง Jacksonville รัฐ Florida เมื่อปี 1893/2436 คือผู้เป็นต้นคิด ผู้สร้าง และผู้กำกับภาพยนตร์ King Kong เรื่องแรกเมื่อ 84 ปีที่แล้ว (นับถึงปี 2017) เริ่มต้นครั้งที่ Merian C. Cooper ยังเป็นเด็กอายุเพียง 6 ขวบ ลุงของเขาให้หนังสืออ่านเล่มหนึ่งชื่อ “Explorations and Adventures in Equatorial Africa” (การสำรวจและการผจญภัยในแอฟริกาแถบเส้นศูนย์สูตร) เขียนโดย Pierre Du Chaillu เป็นสารคดีเกี่ยวกับการผจญภัยในทวีปแอฟริกา หนังสือเล่มนี้สร้างความประทับใจให้ Merian C. Cooper ในวัยเด็กจนทำให้เขาอยากเป็นนักสำรวจผจญภัยอย่างในหนังสือ Cooper และในชีวิตจริงเขาก็ใช้ชีวิตแบบโลดโผนโจนทะยานจริงๆ เขาเข้าเรียนที่สถาบันการทัพเรือของสหรัฐฯแต่ต้องออกก่อนเรียนจบ ต่อมาเขาก็สมัครเป็นนักบินของกองทัพอากาศสหรัฐฯไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ยุโรป ในปี 1918/2461 เครื่องบินของเขาถูกยิงตกใน Germany จนกองทัพประกาศว่าเขาตายไปแล้วจากการที่ถูกยิงตกในครั้งนั้น ทั้งๆที่ไมพบศพ แต่เขาก็กลับมาปรากฏตัวในค่ายเชลยศึกของเยอรมัน หลังสงครามสงบลง Merian C. Cooper ยังไม่ยอมกลับบ้านที่ สหรัฐฯ เขาอยู่ทำงานช่วยบรรเทาทุกข์และงานด้านมนุษยธรรมใน Poland เขาช่วยก่อตั้งกองบินเพื่อกอบกู้เสรีภาพให้ Poland ในช่วงที่คอมมิวนิสต์พรรคบอลเชวิครัสเซียครอบครอง โปแลนด์อยู่ในตอนนั้น Cooper ขึ้นบินอีกครั้งแต่ก็ถูกยิงตกอีกครั้งเช่นกัน คราวนี้ไปตกที่ Moscow แต่ก็รอดการถูกจับเป็นเชลยศึกได้อย่างหวุดหวิด เขาต้องเดินเท้าหลบหนีจาก Russia ไปจนถึงพรมแดน Latvia จากนั้นเขาก็เดินทางกลับสหรัฐอเมริกาบ้านเกิดหลังการใช้ชีวิตที่เสี่ยงอันตรายอย่างโชกโชน Merian C. Cooper ได้งานเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์หลายฉบับ ได้มีโอกาสเดินทางรอบโลกไปกับเรือยอทช์ชื่อ Wisdom II ของกัปตัน Edwards Salisbury ทั้งสองคนร่วมกันเขียนหนังสือชื่อ “The Sea Gypsy” เล่าเรื่องการเดินทางครั้งนั้น ระหว่างการเดินทางรอบโลก Cooper ได้มีโอกาสพบกับช่างภาพกล้องภาพยนตร์เพื่อนเก่าชื่อ Ernest B. Schoedsack ซึ่งเคยรู้จักกันครั้งที่อยู่ที่ Poland โดย Schoedsack เป็นช่างกล้องทำข่าวสงคราม Russia กับ Poland ระหว่างการเดินทางกับเรือ Wisdom II เกิดเหตุไฟไหม้เรือจนต้องยุติการเดินทาง หลังจากนั้น Cooper กับ Schoedsack ก็ร่วมงานกันผลิตภาพยนตร์สารคดีที่สำคัญสองเรื่อง: สารคดีเรื่องที่หนึ่งชื่อ “Grass” (หญ้า) สร้างในปี 1925/2468 เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชนเผ่า Bakhtiari (บัคเทียรี) กับประเพณีการเดินทางฝ่าเส้นทางอันตรายใกล้เขตช่องเขา Zardeh Kuh ในเทือกเขา Zagros ในภาคตะวันตกของแคว้น Persia ซึ่งเป็นประเทศอิหร่านในปัจจุบัน ภาพยนตร์สารคดีเรื่องที่สอง ผลงานร่วมกันระหว่าง Merian C. Cooper และ Ernest B. Schoedsack คือเรื่อง “Chang” (ช้าง) สร้างในปี 1927/2470 ถ่ายทำในประเทศไทยของเรานี่เอง ครั้งที่ยังเรียกว่าประเทศ “สยาม” สารดีเรื่อง “ช้าง” ของ Cooper กับ Schoedsack เป็นเรื่องราวชีวิตครอบครัวชาวป่าสยาม มี “ครู” เป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องเผชิญกับเสือร้ายในป่าลึกภาคเหนือของสยาม ครูต้องวางกับดักเสือ จนในที่สุดลูกช้างน้อยมาติดกับ ครูจึงพยายามหาทางฝึกลูกช้างให้เชื่อง แต่ก็ปรากฏว่าแม่ช้างบุกเข้ามาตามหาลูกพร้อมด้วยฝูงช้างอีกหลายตัวบุกเข้ามาทำลายทั้งหมู่บ้าน สารคดีทั้งสองเรื่องจัดจำหน่ายโดยบริษัท Paramount Pictures ประสพความสำเร็จทำรายได้และชื่อเสียงอย่างงดงามในสหรัฐอเมริกา ทุกวันนี้แม้จะหายากแล้วแต่ก็เคยซื้อได้จากร้านขายภาพยนตร์เก่าที่ www.amazon.com ในปี 1929/2472 Cooper ร่วมก่อตั้งบริษัทการบิน Pan American Airways และช่วยให้ David O. Selznick ได้เป็นหัวหน้าหน่วยผลิตภาพยนตร์ RKO Radio Pictures และต่อมา David O. Selznick ก็ชวน Cooper มาช่วยงานเป็นผู้ช่วยผลิตภาพยนตร์ ตอนหลัง Selznick ย้ายไปอยู่บริษัท Metro-Goldwyn-Mayer ก็ทำให้ Cooper ต้องรับหน้าที่หัวหน้าฝ่ายการผลิตภาพยนตร์ของ RKO Radio Pictures แทน Cooper ได้มีโอกาสพบกับนักสำรวจธรรมชาติชื่อ W. Douglas Burden ผู้ซึ่งชื่นชมภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “ช้าง” ที่ถ่ายทำในประเทศไทยเป็นอย่างมาก จึงนำคณะเดินทางไปสำรวจเกาะ Komodo ของอินโดนีเซีย กลับมาพร้อมกับมังกรยักษ์ Komodo สองตัว ส่งมอบให้กับสวนสัตว์ Bronx Zoo ที่ New York รับเลี้ยงต่อไป ณ จุดนี้เองความคิดที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่อง “King Kong” จึงเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น Cooper ชวนนักเขียนนวนิยายชาวอังกฤษชื่อ Edgar Wallace มาร่วมงานโครงการ “King Kong” ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1932/2475 โดย Wallace เขียนบทภาพยนตร์ขั้นต้นของเรื่อง King Kong ก่อน จนเสร็จในสองเดือน แต่เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมไปก่อน จากนั้น Cooper ก็ควบคุมการปรับปรุงบทภาพยนตร์ให้สมบูรณ์ขึ้นโดยจ้างนักเขียนบทภาพยนตร์ใหม่อีกสองคน ชื่อ James Creeman และ Ruth Rose แต่ Cooper ก็ยังคงให้ชื่อเสียงบนจอภาพยนตร์แก่ Wallace ในฐานะเจ้าของบทภาพยนตร์ต้นฉบับที่แท้จริง Merian C. Cooper สร้างและกำกับการผลิตภาพยนตร์เรื่อง King Kong สำเร็จในปีถัดมา เมื่อออกฉายก็ได้รับความชื่นชมเป็นอย่างสูงทั้งเนื้อเรื่องและศิลปะการผลิต โดยเฉพาะเทคนิคพิเศษในการสร้างตัวลิงคิงคองยักษ์ซึ่งทำได้เหมือนจริงมาก Cooper ใช้เทคนิคการถ่ายทำจากหุ่นลิงปั้นขนาดสูงเพียง 46 เซนติเมตร หรือ 18 นิ้วเท่านั้น เป็นเทคนิคการถ่ายภาพตัวหุ่น King Kong ที่ขยับส่วนของอวัยวะทีละน้อย ถ่ายต่อเนื่องไปแล้วฉายภาพทั้งหมดต่อกันตามความเร็วปรกติของฟิล์ม ทำให้ภาพเคลื่อนไหวสมจริงมาก ———————————————————————————————————-— ชื่อเรื่องภาพยนตร์ King Kong (1933) ชื่ออื่นที่เรียก The Eighth Wonder of the World The Eighth Wonder เรื่องย่อ : Carl Denham เป็นผู้สร้างภาพยนตร์ผู้มีชื่อเสียง โดยเฉพาะภาพยนตร์เชิงผจญภัยในดินแดนอันป่าเถื่อน เดินทางไปกับเพื่อนชื่อ John Driscoll และทีมกล้องภาพยนตร์ โดยมี Ann Darrow ดาราสาวร่วมทีมเดินทางไปด้วย เพื่อค้นหา ลิงยักษ์ เรียกว่า King Kong บนเกาะที่ไม่มีการบันทึกบนแผนที่ชื่อ Skull Island (เกาะกะโหลก) โดยประมาณว่าอยู่บริเวณนอกชายฝั่งเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย ระหว่างการผจญภัยบนเกาะ Skull ดาราสาว Ann Dorrow ถูก King Kong จับตัวไป แล้วเกิดหลงรักดาราสาวจนกลายเป็นความรักที่หวานปนเศร้าระหว่างลิงยักษ์ กับ มนุษย์ Carl Denham ตามจับ King Kong และช่วยดาราสาว Ann Dorrow ออกมาได้ นำตัว King kong กลับมา New York แต่ King Kong หนีออกจากกรงไปอาละวาด ทำลายนคร New York จนแหลกลาน โดยเฉพาะอาคาร The Empire State ที่สูงที่สุดในโลกขณะนั้น ผู้กำกับการแสดง Merian C. Cooper Ernest B. Schoedsack นักแสดงนำ King Kong (เป็นหุ่นสูง 46 ซม. หรือ18 นิ้ว) Fay Wray (Ann Darrow) Robert Armstrong (Carl Denham) Bruce Cabot (John Driscoll) Frank Reicher (Captain Englehorn) Merian C. Cooper (Flight commander) Ernest B. Schoedsack (Chief observer) แรงดลใจ หนังสือชื่อ “Explorations and Adventures in Equatorial Africa” โดย Pierre Du Chaillu ภาพยนตร์สารคดี เรื่อง “Grass”(1925) และ “Chang” / “ช้าง” (1927)โดย Merian C. Cooper ————————————————————————————————-- Cooper ซึ่งมีนิสัยชอบผจญภัย แม้อายุจะใกล้ 50 ปีแล้ว หน้าที่การงานและครอบครัวก็มั่นคงสมบูรณ์แล้ว เขาไม่มีความจำเป็นต้องเข้าร่วมสงครามอีกครั้งหนึ่งเลย แต่เขาก็สมัครเป็นทหารร่วมสงครามโลกอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เป็นนักบินโจมตีทิ้งระเบิดในจีน และมหาสมุทรแปซิฟิกใต้ Cooper อยู่บนเรือรบ U.S.S.Missouri ร่วมพิธียอมแพ้สงครามของญี่ปุ่นที่อ่าวโตเกียว หลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง Cooper กลับมาทำงานสร้างภาพยนตร์ต่อไป ความสำเร็จของ King Kong ภาพยนตร์ขาว – ดำ เมื่อปี 1933 ทำให้ Hollywood นำกลับมาสร้างใหม่เป็นภาพยนตร์สีในปี 1976 ตั้งชื่อว่า King Kong เหมือนเดิม กำกับการแสดงโดย John Guillerman ซึ่งบทภาพยนตร์เพี้ยนไปจากเดิมโดย ให้ชื่อพระเอกว่า Jack Prescott แสดงโดย Jeff Bridges เพื่อนพระเอกชื่อ Fred Wilson ไม่ใช่ John Driscoll แสดงโดย Charles Grodin ส่วนนางเอกชื่อ Dawn ไม่ใช่ Ann Dorrow ตามเรื่องต้นฉบับเดิม แสดงโดย Jessica Lange และเธอก็ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ (Golden Globe Award) ฐานะนักแสดงหน้าใหม่จากการแสดงในเรื่องนี้ ส่วนการทำลายตึกสูง คราวนี้ก็เปลี่ยนจาก The Empire State ไปเป็น The World Trade Center อาคารแฝดคู่เดียวกันที่ในความเป็นจริงถูกเครื่องบินที่ผู้ก่อการร้ายขับชนจนพังทลายไปเมื่อวันที่ 11 กันยายน ปี 2001 สำหรับภาพยนตร์ King Kong เรื่องที่สาม ใหม่ล่าสุด จากการควบคุมงานผลิต เขียนบทและกำกับการแสดงโดย Peter Jackson ยังคงยึดตึก Empire State เป็นหลักให้ King Kong ทำลาย และยังคงชื่อพระเอก (Carl Denham) นางเอก (Ann Dorrow) ตามต้นฉบับดั้งเดิม เพียงแต่ให้ Carl Denham เป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่ไม่มีชื่อเสียง แสวงหาโอกาสสร้างตัว ส่วน Ann Dorrow ก็เป็นนักแสดงที่ไม่มีชื่อเสียงย่านโรงละคร Broadway แสวงหาโอกาสสร้างชื่อเสียงเช่นกัน ทีมงานของ Peter Jackson ผู้สร้าง ผู้กำกับ และเขียนบทภาพยนตร์ครั้งใหม่ครั้งที่สามนี้ จะได้รับค่าจ้าง $20 ล้าน กับอีก 20% ของรายได้ทั้งหมดจากการฉายภาพยนตร์ทั่วโลก King Kong ครั้งที่สาม จึงคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะทำรายได้สูงที่สุด และด้วยเทคนิคการผลิตพิเศษที่ Peter Jackson พิสูจน์มาแล้วจาก “The Lord of the Rings” ภาพยนตร์เรื่อง “King Kong” เรื่องที่สามนี้ถือได้ว่าเป็นสุดยอดของ King Kong เหนือ ทุกเรื่องที่สร้างก่อนหน้านี้ และคงจะเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดเหนือภาพยนตร์เรื่องใดๆในปี 2005 Merian C. Cooper ผู้ให้กำเนิด King Kong ถึงแก่กรรม ใน ปี1973 แต่ King Kong ของเขาไม่มีวันตายไปจากโลกภาพยนตร์ ซึ่งก็เป็นจริงตามคาด King Kong กลับมาอีกแล้ว เป็นรอบที่สี่ คราวนี้ ชื่อ ‘Kong: Skull Island” เป็นข้อพิสูจน์ว่า Hollywood มีอะไรๆใหม่เสมอ กับความที่ไม่มีอะไรใหม่! 13 มีนาคม 2560 |
CHANG / ช้าง
CHANG / ช้าง
ภาพยนตร์สารคดีถ่ายทำในประเทศสยาม โดย Merian C. Cooper ผู้สร้างภาพยนตร์ “King Kong” เรื่องแรก หลังจากเขียนเรื่อง King Kong ว่าด้วยที่มาของภาพยนตร์เรื่อง “คิงคอง” ต้นฉบับโดยฝีมือของ Merian Coldwell Cooper เมื่อปี1933 แล้ว และได้บอกไปในตอนนั้นว่า Merian C. Cooper สร้างภาพยนตร์เรื่องคิงคองก็ด้วยแรงดลใจแรกเริ่มจากการมาถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “Chang” หรือ “ช้าง” ในประเทศไทยก่อนหน้านั้น โดยสรุปก็คือหาก Cooper ไม่ได้มาเมืองไทย ไม่ได้ทำสารคดีเรื่อง “ช้าง” ก็อาจไม่เกิดความคิดที่จะทำภาพยนตร์เรื่อง “King Kong” ได้ หากไม่เกิดเรื่อง “King Kong” เรื่องแรก ก็จะไม่มี “King Kong” เรื่องที่สองกำกับโดย Dino De Laurentiis ในปี 1976/๒๕๐๙ และคงไม่มี “King Kong” สร้างใหม่ครั้งที่สามโดย Peter Jackson ที่เพิ่งฉายไปเมื่อปลายปี 2005/๒๕๔๘ ที่แล้ว ดังนั้นประวัติความเป็นมาของสารคดีเรื่อง “ช้าง” จึงเป็นเรื่องที่น่าค้นคว้าเพิ่มเติมมากขึ้น มิใช่เพียงเพราะเพื่อความอยากรู้มากขึ้นเพื่อประโยชน์ของผู้อ่าน “คู้สร้างคู่สม” เท่านั้น หากแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเชิงประวัติศาสตร์สำหรับประเทศไทยด้วย แม้ว่าจะเป็นวัติศาสตร์เรื่องเล็กของคนสร้างภาพยนตร์คนหนึ่ง แต่เรื่องราวที่เขาจดบันทึกเป็นส่วนตัวก็สามารถให้ความรู้เชิงประวัติศาสตร์ของประเทศสยามในสมัยเมื่อกว่า 70 ปีที่ผ่านมาได้ ที่ว่า Merian C. Cooper เป็นใครมาจากไหนนั้นได้เขียนถึงแล้วในเรื่อง King Kong แต่ Cooper มาเมืองไทยเมื่อไร? มาถ่ายทำสารคดีในประเทศไทยที่ไหน? นานเท่าไร? และทำอะไร อย่างไรบ้างระหว่างที่อยู่ในประเทศไทย? มีหนังสือสองเล่มที่สั่งซื้อมาเพิ่มเติมเพื่อหาความรู้ คือ:
บทที่ 11 “The Jungle Story” (“เรื่องป่า”) และ บทที่ 12 “Mr. Crooked and the Chang” (“ไอ้ขาคด กับเจ้าช้าง”) จากหน้า 130 ถึงหน้า 159 ว่าด้วยเรื่อง Merian C. Cooper กับภาพยนตร์สารคดีเรื่องช้างโดยเฉพาะ Merian C. Cooper เริ่มสร้างสารคดีเรื่อง “Grass” ในเปอร์เซียก่อนด้วยทุนเพียง $10,000 จากนั้นก็ได้ทุน $75,000 จากบริษัท Paramount เพื่อสร้างภาพยนตร์สารคดีเรื่องเป็นภาษาอังกฤษทับศัพท์ว่า “Chang” ซึ่งก็คือ “ช้าง” นั่นเอง กำหนดถ่ายทำในประเทศสยาม ซึ่งเป็นชื่อประเทศไทยในครั้งนั้น แนวเรื่องที่ Cooper เสนอและได้รับการอนุมัติจากบริษัทภาพยนตร์ Paramount ก็คือ ป่าเป็นดินแดนอมตะที่มนุษย์พยายามต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ต่อไปของชีวิต แต่มนุษย์ก็ต้องสู้กับป่าต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะป่าเป็นอมตะแห่งธรรมชาติ มีพลังเหนือมนุษย์ไม่สิ้นสุดชั่วนิรันดร์ ในตอนแรก Cooper กับเพื่อนสนิทผู้ร่วมงานชื่อ Ernest Beaumont Schoedsack คิดจะไปถ่ายทำที่นครวัตในเขมรแต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเอาความเรียบง่ายของป่าดงดิบแท้ๆตามธรรมชาติในภาคเหนือของสยาม โดยยึดเอาหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งเป็นฉากหลัก และเอาครอบครัวชาวสยามครอบครัวหนึ่งเป็นแกนหลักในการดำเนินเรื่อง แล้วให้เหตุการณ์อื่นเกิดขึ้นรอบๆครอบครัวและหมู่บ้านที่ว่านี้ รูปแบบสารคดีเรื่องช้างถูกกำหนดให้เป็น “สารคดีแบบละครชีวิตตามธรรมชาติ” จะไม่ใช่สารคดีนำเที่ยวธรรมดาที่ทำกันโดยทั่วไปตามภาพและเรื่องที่ถ่ายได้ แต่ “ช้าง” จะเป็น ]ละครชีวิตธรรมชาติ ที่ Cooper เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า“Natural Drama” คือละครชีวิตตามธรรมชาติที่เป็นอยู่จริง โดยอาศัยภาพจริง คนจริง ชีวิตจริง เรื่องจริงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องเขียนบทปะติดปะต่อภาพชีวิตจริงเหล่านั้นนำมาเล่าเรื่องใหม่ให้เป็นเรื่องที่เป็นดุจนิยายหรือละครชีวิต ไม่มีการแสดงเสริมแต่งใดๆ ผู้สร้างภาพยนตร์ต้องรู้จักมองหาละครหรือนิยายชีวิตที่มีอยู่จริงในธรรมชาติ แล้วหาทางถ่ายทำให้ออกมาดูเป็นเสมือนนวนิยายหรือละคร ความสนุกสนาน ทุกข์ โศกเศร้า ตื่นเต้นเร้าใจ สมหวังผิดหวัง ต้องแสวงหามานำเสนอให้ได้ Cooper ได้ทดลองทำสารคดีแบบ “ละครชีวิตธรรมชาติ” นี้มาแล้วเรื่องหนึ่ง ชื่อ “Grass” (ทุ่งหญ้า) เป็นเรื่องเกี่ยวกับชนเผ่าในดินแดนเปอร์เชีย (อิหร่านปัจจุบัน) อพยพหาดินแดนใหม่ที่มีทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์ สำหรับเรื่องช้างความคิดแต่เดิมของ Cooper (และ Schoedsak) ก็จะยึดแนวสารคดี “ละครชีวิตธรรมชาติ” เคร่งครัดเต็มที่ ผู้แสดงจะเป็นชาวบ้านธรรมดาในป่าจริงๆ ไม่ใช่นักแสดงอาชีพ เป็นครอบครัวจริง อยู่ในป่าจริง เผชิญอันตรายในป่า พบกับอันตรายจากสัตว์ป่าจริงทุกอย่างทั้ง แต่เมื่อ Cooper ได้ไปพบสถานการณ์จริงในสยามแล้วก็จำเป็นต้องปรับแต่งให้มีการหาตัวแสดง สร้างฉากใหม่ กำหนดให้เสือ และ ช้าง แสดงบทบาทตามที่ผู้กำกับกำหนด โดยยังคงเอาเสือจากป่าจริงๆมาขังไว้ มีช้างจริงๆจากป่าบ้าง ช้างเลี้ยงบ้างมาเข้าฉากร่วมกับคน นอกนั้นก็ยึดภาพจริง เหตุการณ์ในธรรมชาติจริงๆมาผสมผสาน แสดงเรื่องราวต่างๆที่เคยเกิดขึ้นจริงในชีวิตทั้งหมด.ให้สอดคล้องกับบทภาพยนตร์ที่เขียนไว้ ดังนั้จึงต้องมีการดำเนินเรื่องและสร้างฉากกันใหม่ ทั้งคนและสัตว์จะต้องมีการแสดงกันใหม่หลายตอน ในจดหมายที่ Cooper เขียนถึง Isaiah Bowman แห่งสมาคมภูมิศาตร์อเมริกัน (The American Geographical Sociey)๑ เพื่อขอให้ข่วยเขียนจดหมายแนะนำตัวต่อพระเจ้าแผ่นดินสยามและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง Cooper เขียนจดหมายฉบับนี้ขณะกำลังเดินทางมาสยาม อยู่บนเรือทะเลชื่อ S.S. Insuline ว่า: “แผนงานของเราขณะนี้ก็คือจะเดินทางไปบางกอก ในประเทศสยาม แล้ว จะลองไปใช้ชีวิตอยู่กับชาวป่าชาวเขาทางภาคเหนือของสยาม แผนการนี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับว่าประเทศที่เราจะไปอยู่เป็นอย่างไร และผู้คนที่เราจะไปพบที่นั่นจะเป็นคนอย่างไร” ๒ ในจดหมายตอบจากสมาคมภูมิศาสตร์อเมริกัน ลงวันที่ 17 กันยายน 1925/๒๔๖๘ ส่งผ่านสถานกงสุลอเมริกันในบางกอก มีข้อความให้กำลังใจ และแสดงความหวังในความสำเร็จของงาน โดยกล่าวว่าความสำเร็จของสารคดีเรื่อง “ช้าง” ในสยาม “จะนำไปสู่งานที่ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นที่จะตามมา” โดยทิ้งท้ายว่า “จะเฝ้าติดตามงานของคุณในสยามด้วยควยความสนใจทากที่สุด” ในวันที่ 24 เมษายน 1926/๒๔๖๙ Cooper เขียนจดหมายอีกฉบับหนึ่งถึง Isaiah Bowman แห่งสมาคมภูมิศาตร์อเมริกัน กล่าวถึงความสำคัญของภาพยนตร์ที่เขากำลังทำอยู่ว่า: “ผมมีความรู้สึกลึกๆเสมือนเป็นลางบอกเหตุในอนาคตว่า ภาพยนตร์จะกลายเป็นสื่อที่ยิ่งใหญ่ชนิดหนึ่ง อันจะเห็นหนทางในการถ่ายทอดส่งต่อความรู้...แต่มันจำจะต้องมีใครสักคนเป็นผู้เริ่มทำก่อน ใครคนนั้นจะต้องบอกกับตัวเองว่าภาพที่เรียกกันว่าภาพยนตร์ทัศนาจรที่มีแต่ภาพหลายภาพที่ไม่มีอะไรติดต่อเชื่อมโยงกันนั้น มันมิได้บอกเล่าเรื่อราวอะไรเลย มันมิได้สอนอะไรให้เป็นความรู้แก่เราเลย ต้องมีใครสักคนที่จะค้นพบวิธีทำภาพยนตร์ที่จะสามารถกำหนดให้ชัดแจ้งเด็ดขาดไปเลยถึงผลกระทบของธรรมชาติที่มีต่อการดำรงชีวิตของผู้คนที่มีความแตกต่างหลากหลายกันไป ไม่มีอะไรเลยในเรื่องภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และมานุษยวิทยารวม ทั้งอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง ของมวลมนุษย์ที่ภาพยนตร์จะช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจไม่ได้ แต่ว่าปัญหาสำคัญมันอยู่ที่ว่าเรายังไม่รู้วิธีสร้างภาพยนตร์ที่จะให้สาระความรู้ เราเพียงแค่อยู่ที่จุดเริ่มต้นของการเริ่มต้นทำภาพยนตร์เท่านั้นเอง” ข้อความในจดหมายฉบับที่สองนี้เองที่ชี้ให้เห็นว่า Merian C. Cooper เชื่อในพลังของภาพยนตร์ในฐานะเป็นสื่อใหม่ที่จะมีผลกระทบต่อมนุษย์อย่างมากในการส่งต่อข้อมูลข่าวสารและความรู้ทั้งหลาย เพียงแต่ว่าเขายังอยู่ในระหว่างแสวงหาวิธีทำภาพยนตร์สารคดีให้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมให้สาระความรู้จริงๆมากกว่าภาพยนตร์ประเภทให้ดูภาพเชิงนำเที่ยวแบบธรรมดาโดยมิได้ให้สาระหรือแนวคิดอะไร การมาประเทศสยามของเขากับ Schoedsack เพื่อนคู่ใจจึงมีความสำคัญต่อการค้นหาแนวทางการสร้างภาพยนตร์ของเขาเป็นอย่างยิ่ง Cooper และ Schoedsack เดินทางจากบางกอกขึ้นเหนือโดยทางรถไฟใช้เวลาเดินทางรวม 5 วัน ถึงจังหวัดน่าน อาศัยบ้านร้างที่เคยเป็นบ้านของนักสอนศาสนาหรือที่เรียกว่า “มิสชันนารี” (Missionary) เป็นฐานที่พักหลัก แต่ส่วนใหญ่เขาและทีมงานก็มักจะออกนอกเมืองเข้าป่าจับเสือเตรียมงานถ่ายทำมากกว่าจะอยู่บ้านในตัวอำเภอเมืองน่าน เขาจ้างคนไทยทำอาหารคนหนึ่ง และอีกคนหนึ่งชื่อ “เมือง” หรือ “ม่วง” (สะกดเป็นภาษาอังกฤษว่า “Muang”) ทำหน้าที่เป็นล่ามประจำกองถ่าย ภาพยนตร์เรื่องช้างเป็นภาพยนตร์สารคดีประกอบการแสดงโดยชาวบ้านจริง เป็นเรื่องของครอบครัวป่าสยามครอบครัวหนึ่งมีบ้านอยู่ในป่า ห่างไกลความเจริญของเมือง “ครู” เป็นหัวหน้าครอบครัวพร้อมด้วยภรรยา และลูกสองคน ครูปลูกบ้านเป็นกระท่อมมุงแฝกแบบยกพื้นสูงมีใต้ถุน มีรั้วบ้านสูงเพื่อกันอันตรายจากสัตว์ป่า แต่ก็ยังมิวายจะโดนสัตว์ร้ายบุกเข้ามารบกวนอยู่เป็นประจำ “ครู” แสดงโดยช่างไม้ในหมู่บ้าน “จันตุ้ย” ภรรยาของลูกหาบคนหนึ่งในทีมงานรับบทเป็นภรรยาของ “ครู” เด็กผู้ชายในหมู่บ้านชื่อ “หนา” กับเด็กผู้หญิงชื่อ “ลัดดา” รับบทเป็นลูกทั้งสองคนของ “ครู” มีชะนีขาวชื่อ “บิมโบ้” แสดงเป็นสัตว์เลี้ยงที่น่ารักของ “ครู” เป็นตัวสร้างบรรยากาศสนุกสนานคลายเครียดในเรื่องเป็นระยะๆ “ครู” ได้ลูกช้างป่าที่ติดกับดักมาเลี้ยงอยู่ตัวหนึ่ง แต่ไม่นานแม่ช้างก็ตามมาพร้อมด้วยช้างฝูงใหญ่ บุกเข้าทำลายหมู่บ้านราบเรียบเพื่อมาตามลูกช้างคืน ฝ่ายเสือก็แอบเข้ามารบกวนชาวบ้านเป็นระยะๆ ในเมื่อเป็นเรื่องราวที่จะมาคอยตั้งกล้องถ่ายเสือและช้างตามธรรมชาติไม่ได้ทั้งอันตรายและทั้งยากที่จะได้โอกาสถ่ายภาพจริงตามธรรมชาติ Cooper และ Schoedsack จึงต้องสร้างบ้านให้กับครูขึ้นมาใหม่ในที่ห่างไกล เหมาะสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ แล้วขอความร่วมมือจากผู้ว่าราชการจังหวัดน่านช่วยสั่งการให้มีการล่าเสือและช้างจริงๆจากป่ามากักขังไว้เพื่อเตรียมเข้าร่วมการถ่ายทำสารคดีตามแนวเนื้อเรื่องที่บทภาพยนตร์กำหนดไว้ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่านในครั้งนั้นก็ออกคำสั่งให้นายพราน และชาวบ้านให้ความร่วมมือกับ Cooper อย่างเต็มที่ในการนำคณะนายพรานออกป่าล่าเสือมาให้ Cooper ใช้ถ่ายภาพยนตร์ตามประสงค์ คณะล่าเสือนำโดย Cooper เดินทางบุกป่าฝ่าดงไปหลายแห่ง ขึ้นล่องแม่น้ำน่านหลายเที่ยว ทำกับดักเสือแบบเป็นหลุมบ้าง แบบกรงดักล่อด้วยเหยื่อที่สุนัขเป็นๆบ้าง แต่ก็ไม่ประสพผลสำเร็จ จนเขารู้สึกว้าวุ่นใจ เพราะเวลาก็เสียไป เงินทุนทำงานก็ค่อยๆหมดไป จนวันหนึ่งเขาระเบิดอารมณ์โกรธเกรี้ยวเอากับชาวบ้านจนตอนหลังเขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด Cooper เล่าว่า เขากับลูกหาบอีกสองคนเดินทางมาถึงหมู่บ้านที่ได้ข่าวว่าจับเสือให้ได้แล้ว แต่พอไปถึงกลับพบว่าเสือหลุดหนีออกไปได้ ด้วยความโกรธเขาจึงตามไปตบหน้าผู้ใหญ่บ้านชาวน่านที่เขาคิดว่าต้องรับผิดชอบ ตกเย็น Cooper ก็เล่าว่าเขารู้สึกตัวว่าโง่เหลือเกินที่เขารับคำเชิญไปกินข้าวเย็นที่บ้านผู้ใหญ่บ้านคนที่เขาเพิ่งจะตบหน้าไปสดๆร้อนๆนั้นเอง เมียผู้ใหญ่บ้านทำแกงไก่ใส่หน่อไม่ให้กินดูท่าทางจะอร่อยดี แต่แอบใส่หนามไผ่ลงไปด้วยเป็นการล้างแค้นที่ผัวถูกตบหน้า Cooper เกือบกระเพาะทะลุตายเพราะแกงไก่กับหนามไผ่ ยังโชคดีที่หมอมิสชันนารีชื่อ หมอ ดักลาส คอลเลียร์ (Doc. Douglas Collier) ช่วยรักษาให้โดยการให้กินกล้วยจนเต็มท้อง เพื่อไปล้างท้องเอาหนามไผ่ออกมา Cooper บันทึกว่า: “It was pretty rough, very painful. You either live or die. I lived” “มันสุดแสนจะโหด แสนจะเจ็บปวดทรมาน เป็นตายเท่ากัน แต่ผมไม่ยักตาย” ในที่สุดก็มีข่าวดี ชาวบ้านในหมู่บ้านที่ชื่อเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “Kamuk” ชื่อภาษาไทยที่ถูกต้องคือหมู่บ้านอะไรก็มิทราบ แต่เรียกไปก่อนตอนนี้ว่าหมู่บ้าน “ข่ามุข”๓ อยู่ริมฝั่งลำน้ำน่าน สามารถจับเสือให้ Cooper ได้ตัวหนึ่ง Cooper และหมอคอลเลียร์ กับล่ามคนไทยที่ชื่อ “เมือง” ขี่ม้าไปในยามมืดค่ำกลางป่าทึบมุ่งหน้าไปรับเสือที่หมู่บ้าน “ข่ามุข” ทันที Cooper ไปถึงหมู่บ้าน “ข่ามุข” เวลาเที่ยงคืน ชาวบ้านตื่นเต้นคึกคักไม่เป็นอันหลับนอน เพราะข่าวจับเสือได้ Cooper จ้างชาวบ้านอีก 8 คน ถือคบเพลิงนำทางไปยังริมน้ำ บริเวณที่เสือติดกับดัก พอเดินทางไปถึงก็พบเด็กและผู้หญิงชาวบ้านร้องด้วยความดีใจแล้วชี้ไปที่กรงเสือ ในบริเวณนั้นมีกลุ่มนายพรานไม่ใส่เสื้อมีลายสักยันต์เต็มตัวนั่งอยู่กับหอกและดาบที่สะท้องแสงเปลวไฟจากคบเพลิงแวววับ เสือในกรงไม้ร้องคำรามลั่นจน Cooper ต้องถอยกรูดด้วยความตกใจ ล่ามที่ชื่อ “เมือง” ชะโงกเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วฉับพลันที่เห็นหน้าเสือ ก็ร้องออกมาว่า “นี่มันไอ้ขาคดนี่เอง” ภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า “Mr. Crooked” หมายถึง เสือขาคดงอ หรือขาโก่ง ตัวหนึ่งที่ชาวบ้านรู้จักพิษสงของมันดีมานานแล้ว เพราะเวลาเสือตัวนี้เข้ามาในหมู่บ้านจะมากินคนแล้วทิ้งซากไว้ให้เห็นบนกองเลือด รวมทั้งรอยตีนหน้าขวาที่ดูไม่สมประกอบ เหมือนขาวพิการ เป็นการทิ้งสัญญลักษณ์เอาไว้ให้รู้ชัดเจนว่าเป็นไอ้ขาคด ไอ้เสือกินคน มันล่าเหยื่อไปทุกหนแห่งในจังหวัดน่านจนชาวบ้านหวาดผวา ไม่ว่าจะเป็นริมฝั่งแม่น้ำน่าน ในทุ่งนา ในหมู่บ้าน ล่าคนเป็นเหยื่อได้แล้วก็หายกลับเข้าป่าไป ไอ้ขาคด หรือ “Mr. Crooked” มาเสียท่านายพรานแห่งเมืองน่านคราวนี้ ชาวบ้านจึงตื่นเต้นกันมาก ฉลองกันทั้งคืน ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอน จนถึงวันรุ่งขึ้นจึงได้มีการย้ายไอ้ขาคดจากรงกับดักเข้ากรงใหม่ทำด้วยไม้ดูแข็งแรงดี นำล่องเรือไปท่ามกลางสายฝนในยามค่ำมุ่งหน้าสู่สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ แต่ระหว่างเดินทางไอ้ขาคดอาละวาดใหญ่จนกรงไม้ท่อนหนึ่งหัก ต้องช่วยกันซ่อมแซมอย่างโกลาหล ในที่สุดหมอคอลเลียร์ก็ใช้ยาสลบกรอกผ่านกระบอกไม้ไผ่ยาวลงปากเสือ จนในที่สดุไอ้ขาคดก็นอนสลบสงบนิ่งไปได้เพราะฤทธิ์ยา สถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เป็นกระท่อมหลังคามุงแฝกที่ Cooper ให้สร้างขึ้นใหม่ในป่าไกลจากหมู่บ้าน เพื่อการถ่ายทำโดยเฉพาะ คนที่เป็นตัวแสดง หามาจากชาวบ้านในพื้นที่ทั้งนั้น มี “ครู” เป็นสามี ภรรยาของครู และลูกสาว กับ ลูกชายของครู รวมกับชาวบ้านอีกจำนวนหนึง สัตว์ที่เป็นตัวเอกของเรื่องคือลูกช้างที่ติดกับดักของครู ฝูงช้างที่บุกบ้านครูเพื่อทวงลูกคืน เสือที่เข้ามารังควานครูและครอบครัวอยู่เป็นระยะ และ ชะนีขาวที่ครูเลี้ยงไว้ เป็นตัวตลกทำหน้าที่เปลี่ยนบรรยากาศ เสือนั้นต้องจับมาจากป่า นำมาขังไว้ก่อน รอเวลาปล่อยออกมาถ่ายทำให้ดูสมจริงตามธรรมชาติ ชะนีมีอยู่แล้วเป็นสัตว์เลี้ยงเชื่องไม่สร้างปัญหาอะไร ส่วนช้างนั้นต้องถ่ายช้างใหม่ที่ต้อนมาจากป่าจริงๆ รวมกับช้างเดิมที่มีอยู่บ้างแล้ว ช้างในจังหวัดน่านมีไม่พอ จึงต้องลงไปหาช้างในภาคใต้ของสยาม การถ่ายทำมี Ernest B. Schoedsack เป็นผู้คุมกล้องถ่ายภาพด้วยตัวเอง ส่วน Marian C. Cooper เป็นผู้กำกับการแสดงและควบคุมการทำงานทั้งหมด นอกนั้นก็มีคนสยามเป็นลูกมือทั้งหมด. ⤴︎ |
การถ่ายทำในรูปแบบสารคดี “ละครชีวิตตามธรรมชาติ” (Natural Drama) เป็นแนวคิดใหม่เป็นผลงานประดิษฐกรรมใหม่ของ Cooper แต่ต้องอนุโลมให้ดัดแปลงเทคนิคโดยผสมผสานการแสดงที่มาจากชาวบ้านธรรมดา ร่วมแสดงกับสัตว์ป่าที่อยู่กันเองในธรรมชาติ รวมกับสัตว์ป่าที่จับมาร่วมแสดงแต่ก็ควบคุมการแสดงไม่ได้มากนัก ถ่ายทำในบรรยากาศธรรมชาติในพื้นที่จริงๆ ซึ่งก็ทำให้เกิดปัญหาการควบคุมแสง เงา มุมกล้องได้ยากยิ่ง ยิ่งทำงานในป่าดิบที่ฝนตกเป็นประจำไข้ป่ามาลาเรีย อหิวาต์ และไข้ทรพิษระบาดไปทั่วจังหวัดน่านในตอนนั้น ทั้ง Schoedsack และ Cooper ต้องล้มป่วย อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะ Schoedsack ผู้ต้องทำหน้าที่ถ่ายภาพยนตร์นั้นป่วยเป็นไข้ป่าจนนอนซมนานหลายวันและหลายครั้งครั้งละหลายวัน แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดการทำงาน Cooper ตั้งใจว่าจะไม่ทำให้สัตว์ตายในการถ่ายทำ แต่ก็มีบางครั้งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามข้อมูลเท่าที่อ่านพบในหนังสือ “Living Dangerously” ของ Mark Cotta Vaz เล่มที่ใช้เรียบเรียงบทความนี้ Cooper และ Schoedsak ต้องฆ่าเสือตายไปอย่างน้อยสามตัวทั้งๆที่กว่าจะจับมาได้ก็ยากยิ่งนัก
ตัวแรกที่ถูกฆ่า เป็นเสือที่ปล่อยออกจากกรงเพื่อให้เข้าฉากวิ่งไล่ตามเด็กๆลูกของครูที่วิ่งหนีเสือไปข้างหน้าก่อนแล้ว แต่บังเอิญคณะถ่ายทำปล่อยเสือออกมาเร็วเกินไปจนเด็กหนีไม่ทัน เมื่อดูท่าว่าเด็กจะเป็นอันตราย เพราะเสือเป็นเสื่อป่าตามธรรมชาติ ไม่ใช่เสือเลี้ยงฝึกเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ Cooper จึงเล็งปืนแล้วยิงไปที่เสือตัวนั้นก่อนที่มันจะขย้ำเด็กทั้งสองจริงๆ บังเอิญไม่โดนเป้าถนัดนัก เสือเพียงบาดเจ็บแล้วกระโดดหายไปในป่าละเมาะ Cooper คลานตามเข้าไป พอมองเห็นดวงตาเสือลำบากตั้วนั้น ขณะที่มันกำลังกระโจนเข้าใส่ Cooper ก็ยิงสวนทางทันทีด้วยปืนไรเฟิ้ลแบบสปริงฟิลด์ (Springfield rifle) เสือตัวนั้นหล่นลงตายข้างๆ Cooper อุ้งตีนทั้งสองของมันก่ายศีรษะ Cooper พอดี เด็กทั้งสองคนปลอดภัย Cooper ไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้ให้ใครทราบ จนกระทั่ง 30 ปีต่อมาเมื่อเขาให้สัมภาษณ์กับ Kevin Brownlow ในสหรัฐอเมริกา มีครั้งหนึ่ง Schoedsack กำลังคุมกล้องคอยถ่ายภาพเสืออยู่ โดยตั้งกล้องอยู่ในวงล้อมของรั้วลวดหนามและกำบังของกิ่งไม้ เพื่อความปลอดภัยจากเสือที่ปล่อยออกมาจากฝากตรงข้ามเพื่อให้เดินเข้าหากล้อง Schoedsack ต้องคอยนานเป็นชั่วโมงๆกว่าเสือจะโผล่มา ทันทีที่มันโผล่พ้นป่ามา มันก็กระโจนเข้าใส่ Schoedsack ตีนเสือแหวกพงไม้และลวดหนามเข้ามาถึงตัว Schoedasck ซึ่งตะโกนบอก Cooper ว่าอย่ายิงเพราะเป็นเสือตัวเดียวที่เหลืออยู่ แต่ก็ไม่ทัน Cooper ยิงพลาด เสือตัวเดียวที่เหลืออยู่เลยหายลับเข้าป่ากลับสู่ธรรมชาติของมันไป คณะนายพรานต้องออกป่าล่าเสือตัวใหม่มาร่วมแสดงอีกครั้ง เหตุที่ทำให้ต้องฆ่าเสืออีกตัวหนึ่งเกิดขึ้น เมื่อ Schoedsak กำลังตั้งกล้องเตรียมถ่ายทำบนพื้นที่สร้างบนกิ่งไม้สูงจากพื้น 13 ฟุต ซึ่งข้อมูลที่ค้นมายืนยันว่าเสือจะกระโดดได้สูงไม่เกิน 11 ฟุต แต่เวลาเสือมาจริงๆปรากฏว่าหลังจากมันเดินวนรอบต้นไม้อยู่พักหนึ่ง แล้วมันกระโดดขึ้นสูงถึงหน้าเล็นส์กล้องภาพยนตร์ Schoedsack ไม่หวั่นไหวเดินกล้องเก็บภาพไว้ทั้งหมด เห็นตาเสือจ้องหน้ากล้องชัดเจน แต่ก็เป็นครั้งสุดท้ายของเสือตัวนั้นที่จะมีโอกาสเป็นนักแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวู๊ด Cooper เหนี่ยวไกปืนยิงเสือ (ทะเยอ) ทะยาน ตัวนั้นตายคาที่ ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง “ช้าง” ของ Cooper และ Schoedsack เปิดเผยภาพเพื่อการประชาสัมพันธ์ภาพหนึ่ง เป็นภาพ Schoedsack นอนห่มผ้าคู่กับเสือตัวหนึ่ง แล้วตั้งชื่อภาพว่า “Catnap” แปลว่า “นอนหลับสักงีบสั้นๆแบบแมวนอนหลับ” เพื่อบอกเชิงล้อเล่นว่าในป่าไม่มีอะไรน่ากลัว อันที่จริงเสือในภาพนั้นตายแล้ว โดยฝีมือการยิงของ Schoedsack เองขณะที่เขาเผชิญหน้ากับเสือตัวนี้ในระยะที่เสือกระโดดเข้าประชิดตัว เขายิงสวนไปทันที เมื่อเสือตายแล้วชาวบ้านก็เลยเกิดอารมณ์สนุก เอาผ้าห่มมาปูคลุมให้ทั้งคู่นอนถ่ายภาพกันเล่น ถึงเดือนสิงหาคม ปี 1926/๒๔๖๙ เข้าช่วงฤดูมรสุมในสยาม Cooperป่วยเป็นโรคท้องร่วง Schoedsack เป็นมาลาเรีย และอ่อนเพลียเป็นลมกลางแดดบ่อย และบางครั้งก็ถึงขั้นเพ้อคลั่ง แต่ทั้งคู่ไม่ยอมหยุดงาน ยังคงเดินหน้าถ่ายทำเพื่อให้งานเสร็จตามกำหนดและตามงบประมาณที่ได้มา ซึ่งเดิมได้งบประมาณมา $75,000 และขอเพิ่มมาได้อีก $10,000 หากการทำงานไม่เสร็จ เงินหมดก่อน โอกาสที่จะขอเงินเพิ่มครั้งที่สองจะยากยิ่ง เนื่องจากสภาวะอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ทั้งร้อนอบอ้าว ทั้งชื้น ฝนตกบ่อย แสงแดดไม่ค่อยมี มืดครึ้ม ถ่ายทำลำบาก และอีกทั้งอาการป่วยไข้ของทั้งสองคน จึงทำให้ต้องจำกัดชั่วโมงทำงานไว้เพียงวันละสี่ชั่วโมงระหว่าง 06:00 ถึง 10:00 น. ฉากสำคัญ ที่ต่อมาเป็นฉากเอกของภาพยนตร์เรื่อง “ช้าง” ที่ใครๆในโลกกล่าวขวัญถึง คือฉากฝูงช้างบุกเหยียบหมู่บ้านและบ้าน “ครู” จนราบคาบ ฉากนี้ต้องการช้างจำนวนมาก Cooper เล่าว่า พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล๔ ทรงรับสั่งให้หาช้างมาร่วมมือเข้าฉากถ่ายทำอย่างเต็มที่ แต่ทีมงานต้องลงไปถ่ายทำในภาคใต้ เพราะที่นั่นมีช้างมากพอที่จะต้อนให้เป็นฝูงใหญ่เข้าฉากถ่ายทำได้ ที่ภาคใต้ Cooper และ Schoedsack ได้พบกับชายชราเจ้าของฝูงช้างคนหนึ่ง ซึ่งขณะนั้นมีช้างอยู่แล้ว 24 ตัว และยังกำลังต้อนออกจากป่ามาเพิ่มอีก 18 ตัว ทีมถ่ายทำเตรียมอุปกรณ์ถ่ายทำเฝ้าคอยถ่ายภาพฝูงช้างที่สมมุติว่ามาบุกหมู่บ้านอย่างระทึกใจ เพราะจะเป็นช้างป่าจริงที่เพิ่งไปต้อนและกำลังจะออกมาจากป่าจริงๆ หลังจากเฝ้าคอยอยู่นานหลายคืน โดยตั้งกล้องบนยกพื้นสูงเหนือลานกว้างที่จะเป็นค่ายกักช้างเมื่อทั้งฝูงถูกต้อนออกมาจากป่า ในที่สุดเสียงฝูงช้าง 18 ตัวก็ดังกึกก้องคะนองป่า วิ่งเข้ามาใกล้บริเวณที่กล้องคอยอยู่ จากนั้นไม่นานก็มีเสียงโห่ร้องของผู้คนมาจากอีกฟากหนึ่ง ทั้งเสียงโห่ เสียงเหมือนร้องเป็นเพลง เสียงตะโกน ท่ามกลางแสงคบไฟสว่างไสว ฝูงช้างแตกตื่น หันหลังกลับเข้าป่าไปทันที Cooper คิดว่าเสียงอึกทึกคึกโครมของกลุ่มคนอีกฟากหนึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ช้างตกใจหนีกลับเข้าป่าไป แต่ชาวบ้านบอกว่าเสียงโห่ร้องอึกทึกของคนอีกฟากหนึ่งนั้นเป็นเสียงของหมอช้างผู้ประกอบพิธีเรียกฝูงช้างเข้าพะเนียดอันเป็นบริเวณที่จะคล้องช้าง หรือกักช้างเข้าค่าย ทีมกล้องถ่ายทำภาพยนตร์ของ Cooper ต่างหากที่เป็นตัวการทำลายฤกษ์ดีของพีธีรับช้าง เมื่อฝูงช้างมาพบแท่นและกองถ่ายทำภาพยนตร์ มันกลับทำให้ช้างตกใจตื่นหนีกลับเข้าป่าไป ! ในที่สุดพระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล ก็ทรงช่วยสั่งการให้หาช้างมาช่วย Cooper ให้ถ่ายทำภาพยนตร์ใหม่อีก ให้สำเร็จสมปราถนา และฉากฝูงช้างเหยียบหมู่บ้านที่จังหวัดน่าน ถ่ายทำในภาคใต้๕นี้เป็นฉากสำคัญและสร้างชื่อเสียงให้กับ Cooper และ Schoedsack มากที่สุด โดยรับสั่งของพระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล Cooper ได้ช้างมาเข้าฉากถึง 240 ตัว ฉากฝูงช้างบุกหมู่บ้านยิ่งใหญ่และเป็นอมตะ เป็นแบบอย่างของการถ่ายทำสารคดีแบบ ”ละครชีวิตธรรมชาติ” (Natural Drama) โดยเฉพาะฉากที่ถ่ายจากระดับใต้พื้น Schoedsack ต้องขุดหลุมใหญ่ลงไปซ่อนตัวทั้งกล้อง ทั้งตัวเอง ใต้พื้นดินแคบๆอึกอัด ร้อนระอุ คลุมด้วยท่อนไม้ ปิดทับด้วยกิ่งไม้ใบหญ้าพรางตา เวลาฝูงช้างวิ่งมาเหยียบก็มีความแข็งแรงปลอดภัย กล้องของ Schoedsack จะถ่ายผ่านช่องเล็กๆที่เปิดไว้ ย้อนกลับขึ้นไปเห็นใต้ท้องช้างนับร้อยตัวที่วิ่งผ่านด้วยเสียงวินาศโครมคราม หลังการถ่ายทำในสยามนานประมาณ 1 ปี Cooper และ Schoedsack นำฟิล์มภาพยนตร์ยาว 80,000 ฟุต กลับไปตัดต่อที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา เลือกภาพตัดย่อให้เหลือประมาณ 4,000-5,000 ฟุต สำหรับการตัดต่อขั้นสุดท้ายเพื่อให้ได้สารคดีเรื่อง “ช้าง” ที่สมบูรณ์พร้อมออกฉายในที่สุด ภาพยนตร์สารคดีเชิงละครชีวิตธรรมชาติเรื่อง “Chang” (“ช้าง”) ถ่ายทำในประเทศสยาม ฝีมือของ Merian C. Cooper และ Ernest B. Schoedsack เปิดฉายรอบปฐมทัศน์วันที่ 28 เมษายน 1927/๒๔๗๐ ณ โรงภาพยนตร์ Rivoli ในนครนิวยอร์ค ประสบความสำเร็จอย่างสูง ได้รับวิจารณ์ชื่นชมมากมาย โดยเฉพาะเวลาถึงฉากช้างบุกหมู่บ้าน ซึ่งจะใช้เล็นส์พิเศษเรียกว่าแมคนาสโค๊ป (Magnascope) สำหรับเครื่องฉายขยายภาพบนจอให้ยาวเต็มเวที ดนตรีประกอบภาพยนตร์ในรอบปฐมทัศน์บรรเลงสดโดยวงดุริยางค์ของ Dr. Hugo Riesenfeld ผู้ซึ่งเคยแต่งดนตรีประกอบสารคดีเรื่อง “Grass” ของ Cooper ก่อนหน้านี้ “ช้าง” ทำรายได้สูงอย่างน่าพอใจให้กับบริษัทภาพยนตร์พาราเมานท์ (Paramount Pictures) ทั้งที่ Cooper ไม่สบายใจนักเวลาที่เขาต้องปรับวิธีถ่ายทำจาก สารคดีแบบ “ละครชีวิตธรรมชาติ” แท้ๆ มาผสมผสานกับการปรุงแต่งด้วยการสร้างฉากและสร้างตัวแสดงเข้าไป แต่ Cooper ก็พอใจเมื่อถ่ายทำทุกอย่างแต่ตัดต่อจบ โดยเขากล่าวว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุด เขาภูมิใจที่สุดไม่ว่ารายได้จะเป็นอย่างไรก็ตาม “ช้าง” เป็นหนึ่งในสารคดีสามเรื่องในปีนั้นที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล Academy Awards (รางวัลออสการ์ ในปัจจุบัน) ประเภท “ภาพยนตร์ศิลปะเอกลักษณ์พิเศษ” (Unique and Artistic Picture) อีกสองเรื่องที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเดียวกันคือ “The Crowd” (“ฝูงชน”) และ “Sunrise” (“อาทิตย์ขึ้น”) ซึ่ง “Sunrise” เป็นเรื่องที่ได้รับรางวัลไปในที่สุด แม้ “ช้าง” จะไม่ได้รับรางวัลแต่ก็ทำรายได้สูง ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ทั่วไปอย่างดียิ่ง ที่ถูกวิจารณ์เชิงลบมีเรื่องเดียว คือสารคดีของ Cooper ทั้งเรื่อง “Grass” และ “Chang” ขาดตัวแสดงที่เป็นผู้หญิงสวย ขาดเรื่องความรัก พูดตรงๆก็คือขาดเรื่อง Sex ไป ถ้าได้สาวไทยสวยๆร่วมแดสงสักคนก็สมบูรณ์ ถูกใจตลาดภาพยนตร์อเมริกัน ในเรื่องความชื่นชม Asia Magazine ยกย่องฝีมือและความมุมานะอดทนของ Cooper นิตยสาร The New Yorker ยกย่องผลงานของ Cooper และ Schoedsack อย่างเลอเลิศและทำนายว่าทั้งสองจะต้องทำงานที่ยิ่งใหญ่มากขิ่งขึ้นต่อไป ต่อมา Merian C. Cooper และ Ernest B. Schoedsak จึงกลับมาร่วมมือกันสร้างภาพยนตร์อมตะตลอดกาลเรื่อง “King Kong” ออกสู่สายตาชาวโลก คราวมนี้เป็นเรื่องละครชีวิตผจญภัยลึกลับของธรรมชาติที่มีสาวงาม ความรัก และ Sex เต็มรูปแบบ ความสำเร็จและบทเรียนจากจุดอ่อนของ “Chang” นำมาซึ่งความสำเร็จของ “King Kong” ในเวลา 6 ปีต่อมา Merian C. Cooper ใช้ทุกช่วงของชีวิตแบบเสี่ยงอันตราย เพื่อให้ได้มาซึ่งภาพยนตร์ที่เปลี่ยนแปลงโลกได้ สมเกียรติ อ่อนวิมล 13 มีนาคม 2560 ---------------------------------------------------------------------------------------- หมายเหตุ ๑. The American Geographical Sociey ปัจจุบันคือ The national Geographic Society ผู้พิมพ์นิตยสารรายเดือน National Geographic Magazine และเป็นเจ้าของช่องสารคดีโทรทัศน์ National Geographic Channel ที่ออกอากาศทั่วโลกรวมทั้ง UBC Cable TV ในประเทศไทยด้วย ๒. จดหมายจาก Merian C. Cooper เขียนถึง Isaiah Bowman แห่ง The American Geographic Society ลงวันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ.1925 ส่งจากเรือ S.S. Insuline เอกสารเก็บรักษาไว้เพื่อการศึกษาในห้องสมุดของ The American Geographical Society Archives ๓. ขอความกรุณาชาวน่านช่วยค้นคว้าหาชื่อจริงของหมู่บ้านนี้ให้ด้วย โดยยึดการออกเสียงจากชื่อ “Kamuk” (ข่ามุข) เป็นแนวทาง ๔. Cooper เรียกว่า Prince Yugala ซึ่งควรจะหมายถึงพระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล ๕. ยังต้องค้นต่อว่าเป็นจังหวัดไหนในภาคใต้ แต่คาดว่าจะเป็นจังหวัดชุมพร ดูจากจดหมายที่ Cooper เขียนถึงพ่อของเขา อ้างสถานที่เขียนจดหมายว่า “Chumplam, Siam” น่าจะหมายถึงชุมพร จังหวัดภาคใต้ สถานที่ซึ่ง Cooper ไปถ่ายทำฉากช้างเหยียบหมู่บ้าน ข้อพึงสังเกต : ชื่อเฉพาะต่างๆในเรื่องที่เป็นไทยสะกดเป็นอักษรภาษาอังกฤษ การสะกดใหม่เป็นภาษาไทยอาจไม่ตรงกับชื่อที่แท้จริงในภาษาไทย ชื่อสถานที่ในจังหวัดน่านก็เช่นกัน Cooper อาจเรียกเขตตำบล อำเภอ หมู่บ้าน ตามที่ตัวเองเข้าใจ นักศึกษาที่สนใจจะค้นคว้าเพื่อทำวิทยานิพนธ์สามารถค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อข้อมูลที่ถูกต้องเชิงประวัติศาสตร์ได้ไม่ยากนัก โดยยึดช่วงเวลาที่ Cooper และ Schoedsak มาถ่ายทำสารคดีในสยามในช่วงปี ซึ่งอาจเริ่มจากวันที่ 28 สิงหาคม 1925/๒๔๖๘ ขณะที่ Cooper อยู่ในเรือ S.S. Insuline เขียนจดหมายถึง Isaiah Bowman แห่งสมาคมภูมิศาสตร์อเมริกัน ตอนนั้นเรือ S.S.Insuline อยู่ที่เมืองท่า Port Said ของอีจิปต์ เดินทางมุ่งหน้าสู่สยาม ต่อมา วันที่ 6 มกราคม 1926/๒๔๖๙ Cooper อยู่จังหวัดน่านเขียนจดหมายถึง Isaiah Bowman แม้จะยังไม่ได้ค้นว่า Cooper ถึงบางกอก ประเทศสยามวันที่เท่าไร แต่ก็บอกได้แน่นอนว่า Cooper อยู่ที่จังหวัดน่านตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๖๙ อยู่ในสยามประมาณหนึ่งปี และจากจดหมายที่ Cooper เขียนถึงพ่อของเขา อ้างสถานที่เขียนจดหมายว่า “Chumplam, Siam” น่าจะหมายถึง “ชุมพร” จังหวัดภาคใต้ที่ Cooper ไปถ่ายทำฉากช้างเหยียบหมู่บ้าน เรื่องนี้ชาวชุมพรอาจลองค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ในจดหมายถึงพ่อ Cooper เขียนบอกพ่อว่า ถ้าโชคดีคงกลับถึง New York ราวต้นมกราคม 1927/๒๔๗๐ จดหมายที่เขียนด้วยลายมือฉบับนี้เก็บไว้ที่ห้องสมุดมหาวิทยาลัย Brigham Young University และในเชิงอรรถที่ 27 บทที่ 12 ของหนังสือของ Mark Cotta Vaz บันทึกว่า Cooper กลับจากสยามถึงนิวยอร์คสองสามวันก่อนคริสต์มาส ก็แสดงว่า Cooper คงออกเดินทางจากสยามราวต้นเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๐ นึกว่าจะไปถึงช้าราวต้นเดือนมกราคม แต่กลับถึงเร็วกว่าที่คาด คือถึงไม่กี่วันก่อนวันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ หนังสือและเอกสารอ้างอิง
[รอ ]
ภาพในหนังสือ “Living Dangerously” ภาพหน้า 107 Cooper กับชะนีขาวที่ร่วมแสดงประกอบเป็นตัวตลกในภาพยนตร์ “ช้าง” ภาพหน้า 140 บ้าน “ครู” ตัวเอกของเรื่อง สร้างใหม่เป็นฉากเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์โดยเฉพาะ ภาพหน้า 146 ภาพเสือที่จับมาจากป่าเพื่อร่วมแสดง ไม่ได้บอกว่าเป็น “ไอ้ขาคด” หรือ “Mr. Crooked” หรือไม่ ภาพหน้า 148 Cooper ใส่หมวกกะโล่กับชาวบ้านจังหวัดน่านลากเกวียนนำ “ไอ้ขาคด” เสือกินคน ไปลงเรือที่แม่น้ำน่าน ภาพหน้า 150 (บน) Merian C. Cooper (ผู้กำกับการแสดงและการผลิต), D. Irene Taylor (ภรรยาของมิสชันนารีผู้เผยแพร่ศาสนาในพื้นที่จังหวัดน่าน), เด็กหญิงลัดดา นั่งบนตัก (ลัดดา แสดงเป็นลูก “ครู” หากเด็กหญิงลัดดายังมีชีวิตอยู่ขณะนี้คงมีอายุถึง 90 ปี – ชาวน่านช่วยตามด้วย), Ernest B. Schoedsack (เพื่อนสนิทของ Cooper เป็นผู้ร่วมงานทำหน้าที่ภ่ายและกำกับภาพ) และชาวบ้านผู้แสดงเป็น “ครู” ตัวเอกของเรื่องในภาพยนตร์ ภาพหน้า 150 (ล่าง) Schoedsak นอนคู่กับเสือที่ตายแล้ว ภาพถ่ายเพื่อใช้ประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์ |
|