Conversations with Thaksin
Tom Plate สนทนา กับ ทักษิณ ผ่านไป 2 ปี คุณทักษิณยังพูดเรื่องเดิม หากแต่เปลี่ยนคู่สนทนาใหม่ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- บทอธิบายนำ : ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2556 มีการเผยแพร่บันทึกเสียงบทสนทนาลับส่วนตัว ระหว่าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร กับ พลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา ที่สื่อมวลชน (เริ่มโดยหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ASTV) เรียกว่า "บทสนทนาจากแดนไกล" บทสนทนาลับนี้เผยแพร่ทั่วไป ค้นหาอ่าน, ดูและฟังได้ทาง internet เมื่ออ่านหนังสือ “Conversation with Thaksin” แล้วก็พบว่า บทให้สัมภาษณ์ของคุณทักษิณหลายตอนในหนังสือไปปรากฏเนื้อความซ้ำอีกครั้งในบันทึกเสียงการสนทนาลับระหว่างคุณทักษิณ กับ พลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา ที่เรียกว่า "บทสนทนาจากแดนไกล" นั้น โดยเฉพาะเรื่องที่คุณทักษิณต้องการเข้าไปเป็นที่ปรึกษาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โดยย้ำว่าไม่ต้องการเป็นองคมนตรี โดยให้เหตุผลว่าหากพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งให้คุณทักษิณเป็นที่ปรึกษาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เมื่อไรคุณทักษิณก็จะช่วยทำเงินให้สำนักงานทรัพย์สินของพระเจ้าอยู่หัวร่ำรวยมากขึ้นและจะเป็นที่มั่นใจได้ว่าคุณทักษิณจะถูกเก็บกักตัวไว้ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอย่างเห็นผลชัดเจน สำหรับเรื่องการจัดการกับพวกทหารในกองทัพก็เป็นการพูดซ้ำถึงปัญหาที่เกิดกับชีวิตคุณทักษิณที่ทำเรื่องขัดแย้งกับฝ่ายทหารอยู่เป็นสำคัญ การวางแผนกำจัดอำนาจทหารจึงเป็นงานสำคัญระยะยาวของคุณทักษิณที่เพียรทำมาจนทุกวันนี้ หากทำสำเร็จคุณทักษิณก็จะได้เอาทรัพย์สินที่ถูกยึดไปคืนมา ดังนั้นหากจะมีการชี้แจง และชี้แจงแล้วจากฝ่ายผู้แทนคุณทักษิณว่าบันทึกเสียงสนทนาลับจากแดนไกลที่ว่านี้เป็นการตัดต่อเสียงจากผู้ไม่ปราถนาดี ก็ยืนยันได้ว่าอย่างแรกก็เป็นการตัดต่อเอาความคิดและคำพูดที่เป็นลายลักษณ์อักษรในหนังสือที่คุณทักษิณพูดไว้จริง แล้วคุณทักษิณนำมาพูดใหม่เป็น “เสียง” แต่เนื้อความเดียวกันกับที่เคยพูดเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วก่อนหน้านี้ ส่วนที่เป็นเสียงสนทนาระหว่างคุณทักษิณฯกับพลเอกยุทธศักดิ์ฯที่อาจพูดไว้ยาวกว่าและต่างบริบทหรือต่างที่ทางกันแล้วว่าอจถูกนำมาตัดต่อให้สั้นหรือสลับที่กันนั้น ยังไม่มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ส่วนที่ว่าเป็นเสียงของจริงของคู่สนทนาทั้งสองคนหรือไม่ สองคนที่ถูกอ้างพาดพิงถึงนั้นยังมิได้ออกมาปฏิเสธหรือชี้แจง ณ วันที่เผยแพร่บทความนี้ [9 กรกฎาคม 2556] |
Conversations with Thaksin
สนทนา กับ ทักษิณ By Tom Plate บทแนะนำหนังสือ โดย สมเกียรติ อ่อนวิมล [Plate, Thomas, Conversations with Thaksin - From Exile to Deliverance: Thailand’s Populist TycoonTells His Story, Giants of Asia Series, Marshall Cavendish Editions, Singapore, 2011, 252 pages, ISBN: 978-981-4328-68-5] ทุกครั้งที่พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร (คุณทักษิณฯ) พูด หรือให้สัมภาษณ์ จะสามารถเรียกร้องความสนใจจากสาธารณชนไทยได้เสมอ เพราะทุกเรื่องที่คุณทักษิณพูดหรือวิจารณ์จะมีผลกระทบต่อสังคมไทย ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่น้อยก็มาก และหลายเรื่องที่คุณทักษิณพูดก็จะมีผลกระทบต่อคุณทักษิณเองมากยิ่งกว่าน้อย หนังสือจากการสนทนาเล่มนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ยืนยันความจริงจากความเห็นในย่อหน้าข้างบน “Conversation with Thaksin” เขียนโดย Tom Plate (ทอม เพลท) จากการสนทนากับคุณทักษิณ ที่นคร Dubai, United Emirates - UAE (ดูไบ, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยู.เอ.อี) เป็นการสนทนาในเดือนธันวาคม ปี 2010 แยกเป็นการคุยกันที่บ้านพักชานเมืองในเขต Emirates Hills ของคุณทักษิณสี่ครั้ง ครั้งละสองชั่วโมง และที่ร้านอาหารบนอาคารสูง Burj Khalifa อีกหนึ่งครั้ง ต่อมาอีกครึ่งปี-ตอนกลางปี 2011 มีการสนทนารอบที่หกระหว่างรับประทานอาหารค่ำร่วมกันเป็นการเพิ่มเติมปรับแก้ข้อมูล ตลอดช่วงเวลาทั้งหมดนี้ Tom Plate ยังได้ติดต่อคุณทักษิณฯผ่าน E-mail เป็นระยะๆ, โทรศัพท์คุยกันครั้งสองครั้ง [“a phone call or two” (p.3)], คุยผ่านคอมพิวเตอร์ระบบ Skype ระหว่าง Tom Plate ที่ Los Angeles กับ คุณทักษิณฯที่ Dubai. ปัญหาแรก ที่มักใช้เป็นข้ออ้างให้พ้นความรับผิดชอบได้เสมอหากคุณทักษิณพูดอะไรผิดไปจนอาจก่อให้เกิดความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อผู้อื่นหรือต่อคุณทักษิณเอง หรืออาจจะเป็นความเสียหายต่อความจริงที่มีอยู่แต่เดิม ก็คือปัญหาเรื่องที่ว่าภาษาอังกฤษของคุณทักษิณนั้นไม่ดี คุณทักษิณใช้ภาษาอังกฤษแบบผิดๆถูกๆ ไม่เป็นภาษาอังกฤษที่ฟังรู้เรื่องครบถ้วน เป็นภาษาอังกฤษแบบคนที่ไม่มีความรู้และไม่มีทักษะทางภาษามากพอที่จะสื่อสารให้เจ้าของภาษารู้เรื่องสมบูรณ์ชัดแจ้งได้ Tom Plate ในฐานะผู้สัมภาษณ์และนำบทสัมภาษณ์มาถอดความเพื่อเขียนเป็นหนังสือจึงต้องอธิบายเป็นการออกตัวแต่แรกในคำนำในหน้า (3-4) ว่า: (3-4) “… in his enunciation of English, the former prime minister of Thailand understandably employs Thai-like grammatical constructions and staccato pronunciations that are not difficult to understand in person - but when transcribed exactly as spoken make it next to impossible to easily read. And so for the sake of clarity of meaning and ease of understanding, I have transcribed the conversations from a kind of Thai-literal English to a smoother normal-appearing universal English. To have not done would not only have made the conversations difficult for the reader to follow but would have served to mislead the reader about the clarity and structure of the former prime minister’s thoughts...” “… ในการพูดภาษาอังกฤษ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยใช้ภาษาเหมือนกับเป็นโครงสร้างไวยากรณ์ภาษาไทยและการออกเสียงก็กระท่อนกระแท่นตะกุกตะกัก แต่ก็ไม่ยากนักที่จะทำความเข้าใจถ้าหากเป็นเพียงกันคุยกันต่อหน้า - แต่พอนำมาถอดความเป็นประโยคพิมพ์ให้ตรงตามคำพูดแบบคำต่อคำก็ทำให้เกือบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะอ่านรู้เรื่องได้ง่ายๆ ดังนั้นเพื่อให้ได้ความหมายที่ชัดเจนและเพื่อให้อ่านรู้เรื่องผมจึงได้นำบทสนทนาที่เป็นเสียงพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษแบบไทยๆมาปรับแต่งใหม่ให้ราบรื่นเป็นภาษาอังกฤษแบบปรกติที่ใช้กันเป็นสากล หากไม่ปรับแต่งใหม่ตามที่ว่าแล้ว นอกจากจะทำให้เป็นการยากยิ่งที่ผู้อ่านจะเข้าใจว่าคุยเรื่องอะไรกันแล้ว ก็จะยังทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจผิดในเรื่องโครงสร้างความคิดทั้งหลายของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้อีกด้วย…” ปัญหาที่สอง คือปัญหาเรื่องการพูดพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย อันเป็นเรื่องที่คุณทักษิณไม่เคยหยุดหรือหลบหลีกที่จะพูดหรือตอบคำถาม และทุกครั้งที่ถูกถามคุณทักษิณก็จะตอบตามที่ใจคิดแล้วก็จะเกิดปัญหาตามมาทีหลังว่า… พูดทำไม? มีอะไรในใจลึกซึ้งมากกว่าที่พูดหรืออย่างไร? เป็นการสวนทางกับการแสดงความจงรักภักดี? หรือว่าเป็นการพูดในบริบทแห่งเสรีภาพในสังคมประชาธิปไตย? หรือว่าเป็นเพียงเพราะพูดเป็นภาษาอังกฤษแล้วทำให้เข้าใจหรือแปลความหมายผิดพลาดกัน ไปเอง โดยคุณทักษิณไม่ได้ตั้งใจจะให้เข้าใจไขว้เขวเช่นนั้น? ก่อนที่จะอ่านแล้วเข้าใจผิดกันไปตลอด 250 หน้าของหนังสือนี้ และเพื่อป้องกันปัญหาการ“หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” คุณทักษิณมิได้เลือกที่จะหลบคำถามหรือไม่ตอบคำถามเรื่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถและสถาบันพระมหากษัตริย์โดยรวม แต่กลับยินดีที่จะพูดพาดพิงถึงทั้งสองพระองค์และสถาบันพระมหากษัตริย์ตามที่อยากพูดโดยไม่รั้งรอหรือหยุดคิดให้ถ่องแท้ แม้ไม่ถามก็ยังพูด จากนั้น Tom Plate ในฐานะผู้เขียนก็เอาทั้งหมดมาพิจารณา ปรับแก้ ตัดแต่ง และตัดทอน ให้เหลือเท่าที่ปรากฏในหนังสือ ลงพิมพ์เฉพาะเนื้อหาที่ Tom Plate คิดว่าจะปลอดภัยจากเงื้อมมือของกฎหมายอาญาไทยว่าด้วยการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แล้วจึงลงพิมพ์เฉพาะส่วนของบทสนทนาที่ปรับแต่งแล้วจะปลอดภัยเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะเก็บไว้เผื่อมีการพิมพ์ครั้งที่สองเมื่อสภาวการณ์เปลี่ยนไป รอบรรยากาศและกฎหมายในอนาคตที่อาจเอื้ออำนวยให้ลงพิมพ์คำวิจารณ์ของคุณทักษิณฯต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ส่วนที่ยังเก็บไว้ได้อย่างเสรี: (4) Tom: “Please also note that, given the law of sovereign Thailand, the monarch is accorded special status under le’se majeste’. These pointed laws are designed to provide the King and Queen protection from commentary that might be regarded as critical or disrespectful. Although this book has been, at least initially, published outside of Thailand, and thus is not technically subject to Thailand’s laws, it is intended that the book will be available in Thailand, in perhaps English as well as Thai. It is not the author’s intention or desire to flour these laws, as long as they remain in force, and so the subject matter has been approached appropriately. In this connection, it must be said that at no time did Thaksin Shinawatra in any of these conversations with me anything other than respect for the King and Queen, and any implication on the contrary is not a reflection of the reality of our exchange or anything the former prime minister said or meant to say. However, due to the increasingly assertive degree of prosecution of le’se majeste’, it seemed only prudent for publication and fair to the former prime minister, and his sister Yingluck Shinawatra and his party to hold back certain turns of conversation until the prosecutorial climate change, perhaps for a second edition.” “ขอได้โปรดบันทึกไว้ด้วยว่าภายใต้อธิปไตยของไทย กฎหมายไทยคุ้มครองสภานภาพพิเศษของสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยหลักการห้ามมิให้ล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ กฎหมายอันเด็ดขาดนี้มีไว้เพื่อปกป้องพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีจากการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆซึ่งอาจเป็นทำนองตำหนิติเตียนหรือการแสดงความไม่เคารพ แม้ว่าหนังสือเล่มนี้แต่แรกเริ่มก็พิมพ์เผยแพร่ในต่างประเทศ ในทางเทคนิคกฎหมายก็ไม่ต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายไทย แต่ในเมื่อตั้งใจไว้ว่าจะเผยแพร่หนังสือนี้ในประเทศไทย ซึ่งอาจมีทั้งภาคภาษาอังกฤษและภาคภาษาไทย ผู้เขียนจึงมิได้มีความตั้งใจหรือปรารถนาจะให้ไปมีปัญหากับกฎหมายไทย ตราบที่ยังมีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอยู่ ด้วยเหตุนี้เรื่องที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์จึงได้รับการใส่ใจดูแลอย่างระมัดระวัง สำหรับเรื่องบทสนทนาที่พาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ดังว่านี้ จำต้องขอกล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่าไม่มีตอนใดเลยในบทสนทนากับผมที่คุณทักษิณ ชินวัตร จะแสดงความคิดในทำนองอื่นเลยนอกจากจะแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์และพระราชินี และถ้าหากพบว่ามีตอนใดของการสนทนาที่ทำให้เห็นเป็นทำนองตรงข้ามก็ขอให้ถือว่าความเห็นนั้นไม่สะท้อนความจริงในการสนทนาแลกเปลี่ยนความเห็นกัน หรือให้ถือว่าไม่สะท้อนความเห็นที่อดีตนายกรัฐมนตรีได้พูดหรือตั้งใจจะพูด อย่างไรก็ตาม สืบเนื่องมาจากการที่นับวันจะมีการพิจารณาโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกันถี่มากขึ้น จึงย่อมเป็นเรื่องเหมาะสมเพื่อการที่จะพิมพ์เผยแพร่หนังสือ อีกทั้งยังจะเป็นการให้ความเป็นธรรมแก่อดีตนายกรัฐมนตรีและน้องสาวของท่าน คือคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตลอดจนพรรคการเมืองของท่าน ที่เราจะกักเก็บหลายส่วนของบทสนทนาเอาไว้จนกว่าบรรยากาศการลงโทษผู้กระทำผิดคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจะผ่อนคลายลงในอนาคต เผื่อไว้สำหรับการพิมพ์ครั้งที่สอง” (ดูเพิ่มเติมใน Note1 หน้า 24) แม้จะตัดทอน-กักเก็บบทสนทนาไว้ส่วนหนึ่งแล้ว อีกทั้งได้ขัดเกลาและเขียนใหม่อีกบางส่วน รวมทั้งให้คุณสุรนันท์ เวชชาชีวะ ช่วยแปลเอกสารสิ่งพิมพ์ส่วนที่เกี่ยวกับการยึดอำนาจของฝ่ายทหารในปี 2006/2549 อีกแล้วด้วย ไม่ว่าจะตัดทอนออกไปเท่าใด สิ่งที่พูดไปแล้วแต่ไม่กล้าเอามาลงพิมพ์ก็ยืนยันความจริงอย่างหนึ่งได้ว่าคุณทักษิณพาดพิงสถาบันพระมากษัตริย์มากกว่าและหนักกว่าส่วนที่ลงพิมพ์แน่นอน (26) เท่าที่ Tom Plate จะเห็นควรให้ลงพิมพ์ได้ และเท่าที่คุณทักษิณจะเห็นว่าควรให้พิมพ์หรือยกเลิกบทสนทนาบางตอนได้ เพียงเท่าที่เหลือ ว่ากันเฉพาะส่วนที่เอามาลงพิมพ์ได้ ก็มีปัญหาอยู่มากพอแล้ว ปัญหาของคุณทักษิณอันเกิดจากการสนทนาพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ก็เริ่มอีกครั้ง ด้วยการเต็มใจพูดอย่างเสรี นอกราชอาณาจักรไทย … ใน … “Conversation With Thaksin” โดย Tom Plate “Conversation with Thaksin” ตลอดเล่ม ยึดแนวเรื่องว่า: คุณทักษิณอยากกลับบ้าน อยากกลับเมืองไทยบ้านเกิด เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด มีแต่คนกลั่น แกล้งให้ร้ายป้ายความผิด ทั้งเรื่องการทุจริต และโดยเฉพาะเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าไม่เคารพเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งๆที่คุณทักษิณยืนยันว่ามีความจงรักภักดีแน่นอน คุณทักษิณอยากกลับประเทศไทย อยากกลับมาช่วยพัฒนาประเทศไทย ช่วยเหลือคนยากจน แต่ก็ยังไม่กล้ากลับมา เพราะกลัวว่าจะถูกลอบสังหารชีวิต หากน้องสาวและพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้ง ก็น่าจะเป็นโอกาสให้ได้กลับมาเมืองไทยอย่างพ้นผิดได้ทรัพย์สินคืนมา และกลับมาได้อย่างปลอดภัย ต่อไปนี้เป็นบางตอนของบทสนทนา ระหว่าง พ.ต.ท. ดร. ทักษิณ ชินวัตร กับ Tom Plate: (21) Tom: “He’s going back even if it kills him … and it just might.” “ทักษิณจะต้องกลับให้ได้แม้ว่ากลับไปแล้วจะถูกฆ่า … และก็อาจถูกฆ่าจริงๆ” Thaksin: “2006 coup was dirty deed indeed.” “การปฏิวัติปี 2549 เป็นเรื่องสกปรกจริงๆ” Thaksin: “They’re afraid of me, they don’t trust that I’m not out for revenge. But I’m not out for revenge.” “Even when I am not in Thailand they don’t want me to go back. Because they know they cannot compete directly. So it’s the question of the way I go back. My return must be in a gracious way. And so I have to wait for the right moment. It may be at the end of this year [2011] … in December.” “No witch-hunt. I think forgiveness is the key. I mean it.” “I want to forgive and make the whole country forgive each other. Because, if you don’t forgive, you cannot reconcile your country. You cannot be one nation anymore.” “พวกเขากลัวผม ไม่ไว้ใจผมว่าจะไม่ตามไปล้างแค้น แต่ผมไม่ตามไปล้างแค้นหรอก” “แม้ว่าผมไม่ได้อยู่ในเมืองไทย พวกเขาก็ยังไม่ต้องการให้ผมกลับไปเมืองไทย เพราะเขารู้ว่า เขาแข่งกับผมตรงๆก็สู้ผมไม่ได้ ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องว่าผมจะกลับไปอย่างไร การกลับ ประเทศไทยของผมต้องไปอย่างมีเกียรติ ผมจะต้องคอยจังหวะที่เหมาะสม อาจเป็นตอนปลาย ปีนี้ [2554] … เดือนธันวาคม Thaksin: “I definitely want to return.” (30-31) Thaksin: “You know, Thailand has never been as bad as in the last four years. In the four years before that, we were able to gradually improve ourselves in the human rights area and in democracy development. I feel terrible that Thailand has slipped so much. You know why it has gone bad so quickly? Because of the misunderstandings about me, they [PAD leaders, military leaders] were trying to get me too much, until they used all kinds of forces against me without any consultation, or even discussion with me. It’s mostly due to a great misunderstanding … they allege that I am not loyal to the Thai monarchy. So they thought that they would make the monarchy so happy with them by getting me. [content here deleted] The media are prejudiced against me and my supporters, and my supporters feel that this is not fair, with the result that more and more supporters join us every day. But they still keep doing the same bad things against me without any principle.” “คุณรู้ไหม? ประเทศไทยไม่เคยเลวร้ายเท่ากับเมื่อสี่ปีที่ผ่านมาเลย เมื่อสี่ปีก่อนหน้าสี่ปีที่แล้ว เราสามารถปรับปรุงตัวเราให้ดีขึ้นอย่างช้าๆในเรื่องสิทธิมนุษยชนและการพัฒนาประชาธิปไตย ผมรู้สึกแย่มากๆที่ประเทศไถลลื่นต่ำลงมามาก คุณรู้ไหมว่าทำไมมันจึงเลวลงอย่างรวดเร็วนัก? ก็เป็นเพราะการเข้าใจในตัวผมอย่างผิดๆนั่นเอง พวกเขา [พันมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ผู้นำทหาร] พยามตามไล่ล่าผมมากเกินไป พวกเขาใช้กำลังทุกรูปแบบเพื่อกำจัดผม พวก เขาไม่เคยปรึกษาหารือผมเลย จะมาถกเถียงประเด็นอะไรกับผมก็ไม่เคยทำ ส่วนใหญ่มันเป็น เรื่องเข้าใจผิดกันอย่างใหญ่หลวง … พวกเขากล่าวหาว่าผมไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหา กษัตริย์ไทย พวกเขาคิดกันเอาเองว่าพระมหากษัตริย์คงจะทรงยินดีกับพวกเขา หากพวกเขา กำจัดผมได้ [ข้อความตอนนี้ถูกตัดออก] พวกสื่อมวลชนก็มีอคติลำเอียงต่อต้านผมและผู้ สนับสนุนฝ่ายผม แล้วผู้สนับสนุนผมก็รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม ผลก็คือผู้สนับสนุนผมเพิ่มจำนวน ขึ้นอย่างโตวันโตคืน แต่พวกเขาก็ยังทำสิ่งเลวๆต่อต้านผมอยู่ซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างไม่ลดราวาศอก ทำแบบไม่มีหลักการอะไรเลย” คุณทักษิณเชื่อว่าเหตุผลของคณะทหารนำโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ยึดอำนาจและล้ม รัฐบาลของคุณทักษิณมีเรื่องสำคัญเรื่องเดียวคือข้อกล่าวหาเรื่องที่ว่าคุณทักษิณไม่จงรักภักดี ไม่เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์: (28) Thaksin: “… if you want to protect the institution of the monarchy of Thailand, if that is your goal, democracy is a good vehicle and good tool to protect the monarchy, not dictatorship.” “… หากคุณต้องการที่จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์, ถ้านั่นคือเป้าหมายของพวกคุณ, ประชาธิปไตยก็จะเป็นพาหนะที่ดีและเป็นเครื่องมือที่ดีในอันที่จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ระบอบเผด็จการ” คุณทักษิณคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ไม่สมควรที่จะถูกทำลายโดยคณะมนตรีความ มั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ที่ยึดอำนาจเมื่อปี 2549: (29) Thaksin: “… time is on my side. Because I have done nothing wrong. The longer the wait, the more likely that the truth will be revealed as being on my side, they have done a lot of things just to justify something which is not true. So the longer they do this, the longer they go on like this, the more they get trapped. So what I have said is that I can wait, because in the end, there must be reconciliation, otherwise Thailand will not be prosperous. Thailand will not be a smiling country anymore.” “… เวลาเข้าข้างผม เพราะว่าผมไม้ได้ทำอะไรผิด ยิ่งรอเวลานานเท่าไร ยิ่งเป็นโอกาสที่ความ จริงจะปรากฏ จะเป็นความจริงที่เข้าข้างผม พวกเขาทำอะไรหลายอย่างเพี่ยงเพื่อให้มีเหตุผล สนับสนุนเรื่องที่มิใช่ความจริง ดังนั้นยิ่งพวกเขาทำอะไรๆไปนานเท่าได ยิ่งนานไปนานไปพวก เขาก็จะไปติดกับดักเอง ดังนั้นเรื่องที่ผมพูดอยู่ก็คือ ผมรอได้ เพราะในที่สุดก็จะต้องมีการ ปรองดองกันในชาติ ไม่อย่างนั้นประเทศไทยก็จะไม่มั่งคั่งร่ำรวย เมืองไทยจะไม่เป็นเมืองยิ้มอีก ต่อไป” คุณทักษิณเริ่มการสนทนาด้วยความมุ่งมั่นที่จะทนรอให้ฝ่ายทหารกองทัพไทย “ติดกับดัก” เสียก่อน จะกับดักอะไรก็แล้วแต่ จะนานแค่ไหนก็รอได้ แล้วจะถึงวันที่คุณทักษิณจะกลับบ้านได้ เป็นการประกาศสงครามด้วยยุทธการแห่งการรอคอย ปล่อยให้ศัตรูทำลายตัวเองในระยะยาว เมื่อประกาศศักดาไว้ชัดเจนแล้ว คุณทักษิณก็พยายามอธิบายปัญหาใหญ่ที่ตนเองไม่คิดว่าตนเองเป็นตัวปัญหาที่แท้จริง แต่ฝ่ายศัตรู (ฝ่ายทหาร) สร้างเรื่องให้ดูเป็นจริง ยิ่งอธิบายก็ยิ่งลงลึก…ยิ่งพูดก็ยิ่งยุ่ง Tom Plate ถามนำบ่อยครั้ง ราวกับจะล่อให้คุณทักษิณติดกับดักแห่งยุทธศาสตร์การสัมภาษณ์ เช่นกัน Tom Plate ชวนคุณทักษิณคุยเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ไร คุณทักษิณจะเดินเข้ากับดักที นั้น...ทุกทีไป Tom Plate เป็นสื่อมวลชนตะวันตกอีกรายที่ประสพความสำเร็จในการวางกับดักคุณทักษิณ: (30) Tom Plate ถามนำ: “Now, talking about what you can do other than going back as prime minister, or if you do go back, going back in some important capacity for the Crown.” “เอาหละครับ เรามาคุยกันเรื่องที่ว่าจะมีะไรให้คุณทำ นอกจากจะกลับไปเป็นนายกรัฐมนตรีอีก ครั้ง ถ้าคุณได้กลับไปเมืองไทยจริงๆ คุณจะกลับไปรับงานที่มีความสำคัญโดยทำงานให้กับ พระเจ้าอยู่หัวไหม?” คุณทักษิณเดินหน้าตอบคำถามอย่างเต็มความ หรืออาจจะเกินความที่ถามด้วยซ้ำ: (31) Thaksin: “… over the past four-and-half-years since I left, it has been just like this --- because of one perceived problem: Thaksin is not loyal to the monarchy, which is not true. Which is not true! They make it up in their own imagination, and they move all the political reality in the direction of their own imagination, which is a bad imagination.” “ในช่วงสี่ปีครึ่งหลังจากผมออกมานอกประเทศไทยแล้ว เรื่องมันเป็นแบบนี้เลย --- คือว่ามัน เป็นเรื่องการรับรู้ปัญหาตามที่อยากจะมอง คือ: ทักษิณไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์, ซึ่งมันไม่จริง ไม่จริง จริงๆเลย! พวกเขากุเรื่องขึ้นมาเองตามจินตนาการที่สร้างเอาเอง พวกเขา นำพาการเมืองเข้าไปในทิศทางแห่งจินตนาการของพวกเขากันเอง ซึ่งมันเป็นจินตนาการ ชั้นเลว” (33) Tom: “But if you do go back, do you have to be prime minister? Could you go back as minister-mentor, like Lee Kuan Yew of Singapore used to be for years?” “แต่ถ้าคุณจะกลับไป จำเป็นไหมที่คุณจะต้องกลับไปเป็นนายกรัฐมนตรี? คุณจะกลับไป เป็นรัฐมนตรีที่ปรึกษาอาวุโสให้กับนายกรัฐมนตรีแบบที่นายลีกวนยูของสิงคโปร์เคยเป็นอยู่ หลายปีได้ไหม?” Thaksin: “I don’t have to be anything.” “ผมไม่จำเป็นต้องเป็นอะไรทั้งนั้น” Tom: “Could you go back as Sonia Gandhi? The power behind the throne of India?” “คุณจะกลับไปเป็นแบบโซเนีย คานธี มีอำนาจอยู่เบื้องหลังเก้าอี้นายกรัฐมนตรีอินเดียได้ไหม? Thanksin: “I do not need to involve myself in politics. For example, if the monarchy were kind enough to appoint me as an advisor to the Crown Property. I can help Crown Property do better financially. So, if I were appointed to any position by the Palace, I cannot be involved in politics. That kind of appointment would have the effect of forcing me not to get involved in politics.” “ผมไม่จำเป็นเลยที่จะเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ยกตัวอย่างหน่อยว่าถ้าพระมหา กษัตริย์จะทรงมีพระเมตตามากพอที่จะแต่งตั้งให้ผมเป็นที่ปรึกษาสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระ มหากษัตริย์ ผมก็สามารถที่จะทำให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีเงินมากขึ้น ดังนั้น ถ้าทางพระราชวังแต่งตั้งให้ผมได้รับตำแหน่งอะไรในวังก็ได้ มันก็จะทำให้ผมไปยุ่งกับการเมือง ไม่ได้ ตำแหน่งในวังแบบนั้นจะมีผลบังคับให้ผมไม่อาจเล่นการเมืองได้” Tom: “So you might accept the Palace appointment?” “ถ้าอย่างนั้นคุณก็อาจรับตำแหน่งที่แต่งตั้งโดยพระราชสำนักใช่ไหม?” (34-35) Thaksin: Yes. But I don’t want to have a Privy Councilor position [in Thailand a very important posting]. I don’t want to be anything that is ambitious. I just want to prove that I don’t mind being anything, but I want to prove that I am beneficial to my country and my people… When I go back, definitely, I should be appointed something to be beneficial for the country and the people.” “ใช่ครับ แต่ผมไม่อยากได้ตำแหน่งองคมนตรี [ในประเทศไทยตำแหน่งนี้สำคัญมาก] ผมไม่ ต้องการทะเยอทะยานถึงขนาดนั้น ผมต้องการเพียงพิสูจน์ว่าผมเป็นประโยชน์ต่อประเทศของ ผม และ ประชาชนของผม… เมื่อผมได้กลับไป แน่นอนว่าผมควรจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็น อะไรสักอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน” เมื่อ Tom พาคุณทักษิณเข้าสู่การสนทนาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ได้แล้ว ไม่ต้องถามเพิ่มเติม คุณทักษิณก็พูดเสริมโยงใยไปถึงเรื่องที่ติดค้างในใจของตนเองออกมาอย่างละเอียด: (36) Thaksin: “Well, you know in Thailand, the government officials, the military … they … [don’t do] anything until they get a signal. Even during the effort recently to bail our arrested Red Shirt leaders out of jail, we talked to the judges, and we asked for leniencies … to let them out, you know. This is not a political thing. By our Constitution the government is supposed to grant bail for every criminal because it’s their duty to grant bail, except in certain circumstances, and so we wanted to protect their rights, but the judges would not allow bail for the Red Shirts. And when we asked a judge why, the judge said, ‘There is no signal.’ And we said ‘Are you the judge or not?’ The judge has been hired to judge, not to look for signals, right? But the judge says to us, ‘I got no signal.’ So it looks like everyone is just waiting for signals.” “อืมม์ เมืองไทยมันเป็นอย่างนี้ เจ้าหน้าที่รัฐ, ทหาร … ใครต่อใคร … [ไม่ทำอะไร] กันเลย จนกว่าจะได้รับสัญญาณ แม้กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ ตอนที่เราพยายามจะขอประกันตัวพวกผู้นำ คนเสื้อแดงของเราให้พ้นจากการถูกคุมขัง เราไปคุยกับผู้พพิพากษาหลายคน และเราขอความ เมตตาจากท่าน … ขอให้ปล่อยตัวพวกเรา นี่มันไม่ใช่เรื่องการเมือง คุณก็คงรู้ ตามรัฐธรรมนูญ ของเรา รัฐบาลลควรจะให้ประกันตัวอาชญากรทุกคน เพราะมันเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ยกเว้นใน บางกรณีเป็นการเฉพาะ ดังนั้นพวกเราต้องการปกป้องสิทธิ์ของพวกเขา แต่คณะผู้พิพากษาก็ไม่ ยอมให้ประกันตัวคนเสื้อแดง พอเราถามผู้พิพากษาคนหนึ่งว่าทำไมจึงไม่ให้ประกันตัว ผู้ พิพากษาคนหนึ่งบอกว่า ‘ไม่มีสัญญาณ’ เราก็เลยบอกว่า ‘ท่านเป็นผู้พิพากษาจริงๆหรือเปล่า ล่ะ?’ ผู้พิพากษาถูกจ้างให้มาทำหน้าที่พิพากษา ไม่ใช่ให้มารอดูสัญญาณ ใช่ไหม? แต่ผู้ พิพากษาคนนั้นก็บอกกับเราว่า ‘ผมยังไม่ได้รับสัญญาณเลย’ ดังนั้นมันก็ดูเหมือนกับว่าทุกคน เอาแต่รอดูสัญญาณ”. คุณทักษิณก็ไม่ยอมพูดให้ชัดว่า “สัญญาณอะไร? มาจากใคร? ที่ไหน?” ปล่อยให้เป็นเรื่องกำกวมต้องคาดเดากันต่อไป แต่ที่สับสนก็คือคุณทักษิณเอารัฐบาลมาปนกับศาลยุติธรรม บอกว่าเป็นหน้าที่รัฐบาลแต่กลับไปคุยกับศาลแล้วโทษศาลว่าไม่ทำตามที่รัฐบาลควรทำ เป็นความสับสนของคุณทักษิณในความไม่รู้เรื่องรัฐธรรมนูญ และไม่เข้าใจว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายบริหาร แต่ศาลเป็ยฝ่ายอำนาจยุติธรรม อำนาจอธิปไตยทั้งสองที่แยกกันมานานกว่า 70 ปีแล้ว ส่วนเรื่องการประกันตัวผู้ต้องหาก็ไม่เคยมีกฎหมายให้อำนาจรัฐบาลสั่งศาลให้ประกันตัวใครได้ ยิ่งเป็น “อาชญากร”ด้วยแล้ว ศาลเองก็ไม่มีอำนาจหรือหน้าที่ที่จะต้องให้ประกันตัว “อาชญากร” โดยอัตโนมัติ นี่เป็นอีกตอนหนึ่งที่คุณทักษิณพูดโดยไม่หวาดหวั่นข้อหาหมิ่นศาล! คุณทักษิณคุยกับผู้พิพากษาคนไหนที่พูดเรื่อง “สัญญาณ”? แล้วใครเล่าที่คุณทักษิณกล่าวหาว่าเป็นผู้ส่งสัญญาณ? ถึงคุณทักษิณไม่พูดให้ชัด คำถามของ Tom Plate ที่ตามมาติดๆในหน้า 37 ก็คือการส่งสัญญาณของ Tom หรือ คุณทักษิณ เรื่องเรื่อง “ผู้ส่งสัญาณ” ที่คุณทักษิณอ้างถึงอย่างกำกวมมาก่อนหน้านี้ คราวนี้ Tom ถามแรงมาก ไม่นึกว่าคุณทักษิณจะตอบ ไม่คิดว่าคุณทักษิณควรตอบ หากมีความจงรักภักดี แต่คุณทักษิณก็ตอบ: (37-38) Tom: “Who can talk to the King and Queen of Thailand? The Pope? Allah? Buddha? Whom do they listen to? “ใครบ้างที่พอจะกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีแห่งประเทศไทยได้? พระ สันตะปาปาหรือ? อัลเลาะห์ได้ไหม? พระพุทธเจ้าล่ะจะพอได้ไหม? พระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี จะทรงรับฟังใครบ้าง? คำถามของ Tom หนัก เอียง และ แรงเหลือหลาย คุณทักษิณไม่ท้วง หรือวิพากษ์คำถามย้อนกลับไปเลย ราวกับว่าทั้งคุณทักษิณและทอมพูดภาษา “สัญญาณ” เดียวกัน: Thaksin: “Well, His Majesty respects international opinion. So if it is world opinion that this is time for Thailand to reconcile, and there is consultation with His Majesty, and they give him some ideas, then His Majesty might come to think that okay, this is the solution. I do believe that that will be a solution.” “ผมว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงเคารพความเห็นจากนานาประเทศ ดังนั้นถ้าหากมันเป็นความเห็นของ ชาวโลกว่าถึงเวลาแล้วที่เมืองไทยจะต้องปรองดองกัน และให้มีการกราบบังคมทูลปรึกษาหารือ กับพระเจ้าอยู่หัวแล้วให้ความคิดบางอย่างกับพระองค์สักหน่อย ถ้าได้อย่างนั้นพระองค์ก็อาจ กลับมาทรงคิดได้บ้างว่า เอาหล่ะ นี่เป็นทางออก ผมเชื่อว่านั่นคือทางออกในการแก้ปัญหา” Tom ลากคุณทักษิณลงลึกมากขึ้น ติดกับดักแห่งคำถามนำสนิทแล้ว: Tom: “… Supposing someone of respect --- Ban Ki-moon, the United Nations Secretary General --- supposing he were to go to Bangkok and to talk to the King, and say, ‘There has been all this turmoil and bloodshed, this is not good for Thailand. Why can’t there be reconciliation? Would the King listen? Would the King receive him? “… สมมุติว่าจะมีคนที่น่าเคารพสักคน --- เช่นนายบัน คี-มูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ --- สมมุติว่าให้ท่านไปกรุงเทพฯ แล้วเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัว โดยบอกว่า ‘ความ วุ่นวายและการนองเลือดทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นสิ่งไม่ดีสำหรับประเทศไทยเลย ทำไมจึง ปรองดองกันไม่ได้?’ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงรับฟังไหม? พระองค์จะให้นายบัน คี-มูน เข้าเฝ้า ไหม?” Thaksin: “I think that given Ban’s position, the King will welcome him. That kind of high-level position is the right position to provide international leadership because His Majesty is very senior. He is the most senior head of state.” “ผมว่าโดยตำแหน่งของนายบัน คี-มูน พระเจ้าอยู่หัวจะทรงต้อนรับท่านแน่ ตำแหน่งระดับสูง เช่นนั้นเป็นตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมในอันที่จะเป็นผู้นำระดับนานาชาติ เพราะพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระชนมายุระดับอาวุโสมาก พระองค์ทรงเป็นประมุขของประเทศที่ทรงอาวุโสมากที่สุด” ……………………… “Yes, It’s the job of Ban to express his leadership to express his leadership publicly and have it honored. This is not a matter of international intervention by the UN, it is not just an internal affair at all. This trouble affects the whole region, and really affect the future of democracy and affects the status of human rights. It’s his duty to do so.” “ครับ ผมว่ามันเป็นงานในหน้าที่ของนายบัน คี-มูน ที่จะต้องแสดงความเป็นผู้นำให้ปรากฏต่อ สาธารณชน และแสดงตนให้สมกับเกียรติที่มี เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการแทรกแซงจากต่างประเทศ โดยสหประชาชาติ มันไม่ใช่แค่เรื่องกิจการภายประเทศเท่านั้น ปัญหาวุ่นวายนี้มันกระทบทั้ง ภูมิภาค แล้วยังกระทบอนาคตของประชาธิปไตยด้วย กระทบเรื่องสถานภาพสิทธิมนุษยชนอีก ด้วย มันเป็นหน้าที่ของท่านที่จะต้องทำเรื่องนี้” Tom: Who, the King? “หมายถึงใคร พระเจ้าอยู่หัวหรือ? Thaksin: No, Ban Hi-moon’s. His duty. He must do it. But I don’t know that he has the courage to do it. He is the right person, because he is the one who upholds the the international standard of human rights, raises questions about war crimes, supports the International Criminal Court. You know, eventually these issues [of political violence in Thailand] will go to the ICC, regardless, so the more things are prolonged…” “ไม่ใช่, ผมหมายถึงนายบัน คี-มูน เป็นหน้าที่ของท่าน ท่านต้องทำ แต่ผมไม่รู้ว่าท่านจะกล้าทำ ไหม ท่านเป็นคนที่เหมาะสมแล้ว เพราะท่านเป็นคนที่มีหน้าที่รักษามาตรฐานระดับนานาชาติใน เรื่องสิทธิมนุษยชน ตั้งคำถามในเรื่องอาชญากรรมสงคราม สนับสนุนศาลอาชญากรรมระหว่าง ประเทศ คุณก็รู้ว่าในที่สุดประเด็นต่างๆเหล่านี้ [เรื่องความรุนแรงทางการเมืองในประเทศไทย] จะต้องไปสู่ศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นยิ่งถ่วง เวลาออกไปนานเท่าใด…” Tom: The worse it is for Thailand.” “ก็ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นสำหรับประเทศไทย” Thaksin: “Yes. But I am afraid that he doesn’t have the courage,” “ใช่แล้ว แต่ผมเกรงว่าท่านคงจะไม่มีความกล้าหาญมากพอ” Tom: Who, the King?” “หมายถึงใคร พระเจ้าอยู่หัวหรือ? Thaksin: “No! Ban.” “ไม่ใช่! ผมหมายถึงนายบัน” คุณทักษิณตอบคำถามที่ Tom สมมุติคำถามขึ้นมาเองทั้งนั้น คำถามสมมุติโดยไม่มีความจริงเป็นฐานนี้ เรียกว่า “hypothetical question” เป็นการถามลวงถามนำที่นักข่าวนิยมถาม แต่นักการเมืองที่ชำ่ชองเวทีมักจะไม่ตอบ นอกจากจะบอกว่า “I can’t answer a hypothetical question” Tom ถามต่อ ในช่วงที่คุณทักษิณเริ่มเผชิญวิกฤติการเมือง: (171) Tom: “Now, when you told the King that you would not stay as prime minister, even if your party won the election, which it was very probably going to do … what was the King’s reaction? “ตอนนี้ ตอนที่คุณกราบบังคมทูลพระเจ้าอยู่หัวว่าจะไม่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป แม้ว่าถ้าหากพรรคของคุณจะชนะเลือกตั้งก็ตาม ซึ่งดูท่าทางก็คงจะชนะเลือกตั้งจริงๆ … แล้ว พระเจ้าอยู่หัวทรงมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง? Thaksin: “His Majesty just acknowledged what I told him.” “พระองค์เพียงทรงแสดงว่ารับทราบเรื่องที่ผมกราบบังคมทูลเท่านั้น” Tom: “You told him directly?” “คุณกราบบังคมทูลต่อพระพักตร์โดยตรงเลยหรือ?” Thaksin: “Yes, I told him myself, in the Palace.” “ครับ ผมกราบบังคมทูลโดยตรงในพระราชวัง Tom: “He just nodded or something? “พระองค์ทรงทำเพีงแต่พยักพระพักตร์เท่านั้นหรือ? Thaksin: No, no, he just gave the feeling he heard. It’s His Majesty’s way, you know, not to seem so involved. Aloof. Aloof. He receives the information, processes it, but no reaction.” “ไม่ ไม่ พระองค์เพียงแค่ทรงทำให้รู้สึกได้ว่าได้ยินแล้ว เป็นวิธีของพระองค์ คุณรู้ไหม พระองค์ จะทรงดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวข้องอะไรด้วย อยู่ห่างๆเลย ห่างๆไปเลย พระองค์ทรงรับข้อมูลแล้ว ผ่านกระบวนการรับรู้ แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆเลย” ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของหนังสือ “Conversation with Thaksin” เล่มนี้ก็คือเรื่องที่คุณทักษิณกล่าวพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์มากกว่าที่ปรากฏในหนังสือ แล้วส่วนที่ตัดออกไม่กล้าพิมพ์โดยอ้างว่ากลัวจะละเมิดกฎหมายอาญาว่าด้วยการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น คุณทักษิณพูดว่าอย่างไร? มีความสำคัญถึงขนาดขอเก็บไว้พิมพ์ในการพิมพ์ครั้งที่สองเมื่อประเทศไทยยกเลิกกฎหมายอาญาส่วนที่เกี่ยวข้องเชียวหรือ? คุณทักษิณพูดว่าอย่างไร? หรือว่าส่วนที่ตัดออกไปนั้นมาปรากฏทางอ้อมเป็นความเห็นของ Tom Plate เสียเองในช่วงที่ พยายามถามนำเรื่องสมมุติที่เกี่ยวข้องกับนาย Ban Ki-moon เลขาธิการองค์การ สหประชาชาติ และในช่วงอื่นๆที่เป็นข้อเขียนเชิงวิเคราะห์สรุปของ Tom Plate เอง ดังตัวอย่าง: (41-42) Tom: “ Until Thaksin’s dramatic political arrival; what’s more, caring about the poor had been the monopoly of the King of Thailand. It was almost a kind of Buddhist priesthood; the efforts from the Palace over the decades to show concern for the poor became a hollowed Thai tradition. The efforts did not alleviate poverty but they did ease some of the suffering and cement an emotional bond between the King and his people. It was as if the political culture of the country delegated to the monarchy the task of making the poor seem special. Even as the poor knew they were stuck in poverty, their eternal place in the grand scheme of things. Thaksin’s approach was radically different. Instead of visiting the poor areas with the gesture of (in effect) passing out loaves and fishes to sate hunger temporarily and show royal caring, his policy proposed to train poorer Thais to start up their own bread-making and fish-packaging businesses to develop sustainable enterprises---in a manner of speaking.. These efforts wouldn’t make them rich overnight, but they might open the door that let them flee a life a lifetime of no-exit poverty.” “ก่อนหน้าที่ทักษิณจะเข้ามาสู่การเมืองอันตื่นเต้นเร้าใจนั้น ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่ว่าหน้าที่ดูแลคนจนเป็นงานผูกขาดของพระเจ้าอยู่หัวของไทยเท่านั้น ราวกับว่าเป็นงานของพระสงฆ์ผู้แสวงบุญ ความพยายามของฝ่ายพระราชวังในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาในการแสดงความห่วงใยต่อคนยากจนนั้นเป็นเสมือนขนบธรรมเนียมประเพณีที่ว่างเปล่า-กลวงกลาง-ไร้แก่นสาร ความพยายามทั้งหลายมิได้ช่วยแก้ปัญหาความยากจน ทำได้เพียงช่วยผ่อนคลายความทุกข์ไปบางส่วนและสร้างผูกพันในความรู้สึกระหว่างพระมหากษัตริย์กับประชาชนของพระองค์ มันเหมือนกับว่าวัฒนธรรมทางการเมืองของประเทศแบ่งงานให้กับพระมหากษัตริย์ทำให้ดูว่าคนจนเป็นคนกลุ่มพิเศษ แม้ว่าคนจนจะรู้ว่าจะต้องจมปลักอยู่ในความยากจนต่อไปอย่างมิมีทางหลุดพ้น จนอยู่อย่างนั้นท่ามกลางแผนงานโครงการใหญ่โตต่างๆมากมาย แต่แนวทางแก้ปัญหาแบบของทักษิณนั้นแตกต่างกันอย่างพลิกผัน แทนที่จะเดินทางไปเยี่ยมพื้นที่คนยากจน แล้วทำที (อย่างเห็นภาพชัดเจน) ว่าแจกจ่ายข้าวปลาอาหารเพื่อปลดเปลื้องความจนเพียงชั่วคราวและแสดงให้เห็นว่าทรงมีความห่วงใย ทักษิณกลับเสนอนโยบายฝึกอาชีพคนไทยผู้ยากจนให้รู้จักริเริ่มประกอบกิจการผลิตอาหาร ทำธุรกิจผลิตผลิตภันฑ์ปลาใส่หีบห่อบรรจุภัณฑ์ เพื่อสร้างกิจการอันยั่งยืน --- หากจะกล่าวเชิงเปรียบเปรย --- ความพยายามทั้งหลายเหล่านี้จะไม่ทำให้ชาวบ้านร่ำรวยขึ้นมาในชั่วข้ามคืน แต่มันอาจจะเป็นการเปิดประตูปลดปล่อยให้คนจนผ่านออกไปจากความยากจนดักดานที่ไร้ทางออกมาตลอดชีวิตได้” ทั้งหมดที่เป็นคำพูดหรือข้อเขียนของ Tom Plate เอง ที่เปรียบเทียบว่าทักษิณทำงานได้ผลกว่าพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องการช่วยคนจน ว่าพระเจ้าอยู่หัวช่วยประชาชนพอเป็นพิธี ไม่ยั่งยืน ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงที่ Tom Plate ไม่รู้และไม่ได้ศึกษาก็คืองานทั้งหมดของพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีเป็นงานสร้างวิชาชีพและวิถีชีวิตที่ยั่งยืนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง และงานของพระองค์เป็นงานต้นแบบ เป็นแบบอย่างดังปรากฏในศูนย์ศึกษาการพัฒนาตามพื้นที่ต่างๆ ตอดจนโครงการในพระราชดำริ มากมายทัั่วประเทศ เป็นงานที่ประสานทำต่อโดยหน่วยราชการมิใช่การแข่งขันเปรียบเทียบกับงานของรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีทักษิณหรือนายกรัฐมนตรีคนอื่นใด ส่วนงานของคุณทักษิณก็ทำไปตามนโยบายของคุณทักษิณ ไม่สมควรที่จะนำไปเปรียบเทียบกับงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินี สถาบันพระมหากษัตริย์มิได้แข่งขันกับนายกรัฐมนตรีคนใด้เพื่อแย่งชิงมวลชนหรือเรียกร้องความรักเป็นพิเศษจากประชาชน รัฐบาลและพระมหากษัตริย์ต่างก็มีหน้าที่ทำงานเพื่อประชาชนร่วมกัน มิใช่ตรงข้ามกัน ความคิดของ Tom Plate - ถ้าหากมิใช่ความคิดของคุณทักษิณ - จึงเป็นความคิดของผู้ขาดการศึกษาค้นคว้าให้ได้ความจริงอย่างถ่องแท้ การเขียนหนังสือแสดงความคิดเห็นของ Tom Plate จึงบกพร่อง ไม่ควรให้ความเชื่อถือ เว้นแต่คำพูดของ Tom Plate จะสะท้อนความเห็นของคุณทักษิณที่ลงพิมพ์ไม่ได้ เรื่องนี้จึงเป็นปัญหาใหญ่ของหนังสือเล่มนี้ และเป็นปัญหาใหญ่ประจำตัวคุณทักษิณไปตราบนานเท่านาน เท่าที่คุณทักษิณยังไม่หยุดพูด. เป็นที่สังเกตุว่า “Conversations with Thaksin” ได้เน้นบทบาทของทั้งสองพระองค์เป็นพิเศษ นับเป็นครั้งแรกที่คุณทักษิณนำเรื่องสมเด็จพระราชินีเข้ามาเกี่ยวข้องในความเห็นสาธารณะของคุณทักษิณ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ทำให้ต้องตั้งข้อสังเกตด้วยความห่วงใยว่านับวันคุณทักษิณจะก้าวล่วงเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์มากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคุณทักษิณยังปล่อยให้ “Conversation with Thaksin” ยกตัวคุณทักษิณเองขึ้นไปเปรียบเทียบกับพระเจ้ายู่หัวอีกด้วย คุณทักษิณเปิดช่องให้ Tom Plate ทำเช่นนี้ได้อย่างไร? ทั้งๆที่บอกว่ามีความจงรักภักดี แต่เหตุไฉนจึงกลับให้สัมภาษณ์พาดพิงและชักนำให้เกิดข่าวสารสิ่งพิมพ์ที่ล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์มากยิ่งขึ้น จับคู่ให้ดูว่าคุณทักษิณแข่งขันกับพระเจ้าอยู่หัวจนคุณทักษิณเป็นฝ่ายได้คะแนนนำ เท่านั้นยังไม่พอ ยังมาจับคู่ให้เป็นการแข่งขันระหว่างสมเด็จพระราชินี กับคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาวและเป็นนายกรัฐมนตรี อีกด้วย Tom Plate แสดงความเห็นในบทสุดท้ายดังนี้: (237) Tom: “It now looks as if the future of Thailand might be in the hands of the wills and directions of two women. Consider Queen Sirikit of Thailand. With King Bhumibol Adulyadej, Rama IX of Chakri Dynasty, known to be very ill, the influence of Her Royal Highness was believed to be on the ascendency. Clearly, Thailand has to sort out the future role of its oft-revered monarchy in this age of globalization. Or maybe the real point is: haven’t they already made their decision?” “ณ เวลานี้ดูเหมือนว่าอนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือแห่งความมุ่งมั่นกำหนดทิศทางของสตรีสองคน ให้ดูสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ไว้ก็แล้วกัน ในเวลาที่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งเป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าพระองค์ทรงพระประชวรมาก อิทธิพลของสมเด็จพระราชินีนั้นเราเชื่อว่ากำลังเพิ่มพูนมากขึ้น ก็ชัดแจ้งอยู่แล้วว่าประเทศไทยจำต้องจัดระเบียบระบบว่าด้วยบทบาทในอนาคตของสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพอย่างสูงให้เข้ารับมือกับโลกยุคโลกาภิวัตน์ให้ได้ หรือประเด็นที่แท้จริงอาจเป็นว่าพวกเขาได้ตัดสินใจไปเรียบร้อยแล้ว?” คุณทักษิณพูด แล้ว Tom Plate ตัดออก แล้ว Tom Plate นำกลับเอามาพูดเองใหม่ เป็นถ้อยคำของ Tom Plate เองหรือว่าเป็นคำของคุณทักษิณ? Tom Plate ผู้เขียนซึ่งแสดงความไม่รู้และไม่สะท้อนการค้นคว้าเกี่ยวกับงานของพระเจ้าอยู่หัวเลยก่อนจะมาเขียนหนังสือเล่มนี้ ไม่น่าเป็นไปได้ที่ Tom Plate จะเขียนอะไรโดยการเพียงตั้งทฤษีคิดตามใจประสงค์เท่านั้น หรือ Tom Plate ได้รับอิทธิพลและข้อมูลที่คุณทักษิณพูดแต่ลงพิมพ์ไม่ได้ เลยต้องเอามาพูดในรูปแบบใหม่ราวกับว่าตนเองเป็นคนพูด นี่คือปัญหาใหญ่ของ “Conversations with Thaksin” ปัญหาใหญ่ ของคุณทักษิณ ที่นับวันจากทับทมท่วมท้นทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ จากการพูดไม่ยอมหยุด ไม่ยอมหยุดพูด ไม่หยุดคำถาม ไม่ยั้งคำตอบ พูดแบบไม่มีกรอบจำกัดโดยตัวคุณทักษิณเอง หากคุณทักษิณจะหยุดพูด หากคุณทักษิณจะปฏิเสธที่จะตอบคำถามใดๆที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างถาวร ก็จะช่วยให้เห็นการแสดงความจงรักภักดีต่อสสถาบันพระมหากษัตริย์ที่คุณทักษิณอยากให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็นเป็นความจริงที่ปรากฏได้จริงๆบ้าง เมื่อคุณทักษิณยังไม่ยอมหยุดพูด แถมยังพูดมากและล่วงล้ำก้ำเกินจนต้องตัดออกจากบทสนทนาที่ลงพิมพ์ไปเพื่อความปลอดภัย การพูดของคุณทักษิณนี่เองที่ทำให้คุณทักษิณต้องเผชิญภัยอันเกิดจากการกระทำของตัวเอง แม้ถ้าจะไม่มีเรื่องพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เลย ว่ากันเฉพาะเรื่องการเมืองอื่นๆที่คุณทักษิณพาดพิงถึงใน “Conversations with Thaksin” แค่นั้นก็ยังสร้างปัญหาและสร้างศัตรูให้คุณทักษิณเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อย ดังตัวอย่างบางเรื่องดังนี้: พล เอก เปรม ติณสูลานนท์, ประธานองค์มนตรี ว่าด้วยเรื่องที่คุณทักษิณ กล่าวพาดพิงว่า พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็น "ศัตรูผู้ใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ" (145) Thaksin: “He’s the most powerful of all the Privy Councillors. He has the clout to tell prime ministers, ‘You do this, you do not do this.’ And he can talk to all the army and air force commanders and say, ‘You should do that, you should do this.’ Now, during my administration, before I was ousted, he, at 80-plus years old, wearing his splendid uniforms, goes to visit every military academy and gives lectures. In one of his lectures he used his metaphor: think of Thailand’s military establishment as a horse; horses don’t have to listen to their jockey. So that was the hint that he told the military, ‘Don’t listen to the prime minister.’” “ท่านเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในบรรดาองค์มนตรีทั้งหมด ท่านมีบารมีถึงขนาดสามารถสั่ง นายกรัฐมนตรีทั้งหลายให้ “ทำโน่น อย่าทำนี่” ได้เลย และท่านสามารถสั่งผู้บัญชาการทหารบก ทหารอากาศว่าควร ‘ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้’ ตอนที่ผมเป็นรัฐบาล ก่อนที่ผมจะถูกโค่นอำนาจ ท่านก็อายุ 80 กว่าแล้ว ใส่เครื่องแบบหทารอันงดงามของท่านออกไปบรรยายตามสถาบัน ทหารต่างๆ โดยใช้คำเปรียบเปรยว่าให้คิดว่าสถาบันทหารนั้นเปรียบได้ดั่งม้า มาไม่ต้องเชื่อฟัง คนขี่ม้า นั่นถือเป็นการบอกใบ้ต่อเหล่าทหารทั้งหลายมิให้เชื่อฟังนายกรัฐมนตรี” (203-206) Tom: “I wonder if some of the big-time enemies you made back in Bangkok were somehow greatly jealous of your fortune-making ability?” “The only man other than you that seemed so pivotal in the Thai situation other than the King and Queen, of course, is Prem.” “ผมสงสัยว่าถ้าศัตรูตัวฉกาจของคุณที่กรุงเทพฯนั้นเขาอาจเป็นคนอิจฉาความร่ำรวยของคุณเอา มากๆเลยเชียวหรือ?” “นอกเหนือจากตัวคุณเอง และพระเจ้าอยู่หัวกับพระราชินี ที่มีบทบาทสำคัญต่อสถานการณ์ใน ประเทศไทยแล้ว ก็มีอีกคนเดียวเท่านั้นที่มีบทบาทสำคัญ นั่นคือเปรมใช่ไหม” Thaksin: “Yeah.” “ใช่” Tom: “What’s he like? What makes him tick?” “เขาเป็นคนอย่างไร อะไรเป็นจุดจี้ใจดำของเขา Thaksin: “Well, his character is he says very few words. During his own prime minister-ship, he said very few words in public. But he has good leadership ability. He has no family, so he looks clean. He says nothing much. So the opportunities for political attack, to criticize him, are less. He became prominent, and he stayed eight years as prime minister [1980-1988] without having to put himself up for election.” “เออ...เขาเป็นคนพูดน้อย สมัยที่เขาเป็นนายกรัฐทนตรีเขาพูดกับสาธารณชนไม่กี่คำ แต่เขามี ความเป็นผู้นำดี เขาไม่มีครอบครัว จึงดูเป็นคนมือสะอาด เขาไม่พูดอะไรมาก ดังนั้นช่องที่จะ เปิดให้มีคนโจมตีเขาทางการเมือง จะวิจารณ์อะไรเขาก็ม่ช่องทำได้น้อยมาก เขาก็อยู่อย่าง มั่นคงในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนานถึงแปดปี [1980-1988] โดยไม่ต้องไปลงสมัครรับเลือกตั้ง เลย” Tom: “How is that?” “ทำอย่างนั้นได้อย่างไร?” Thaksin: “At that time, the political power was the Democrat Party. They put him as the prime minister, even though he never stood for election--and even though he never had to face a no-confidence debate. Every time they tried to put up a no- confidence vote about him, the power that be simply dissolved the parliament.” “ตลอดเวลาในช่วงนั้น พรรคประชาธิปัตย์อยู่ในอำนาจ พรรคประชาธิปัตย์ก็จัดตั้งให้เขาเป็น นายกรัฐมนตรี แม้ว่าเขาจะไม่เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเลย--และเขาไม่เคยแม้แต่จะต้องโดน อภิปรายไม่ไว้วางใจ ทุกครั้งที่มีความพยายามจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเขา ผู้มีอำนาจก็สั่ง ยุบสภาเสีย” Tom: “Prem was the one guy behind the scenes working against you.” “เปรมเป็นตัวการที่อยู่เบื้องหลังปฏิบัติการต่อต้านคุณใช่ไหม” Thaksin: “Yes. He instructs all the judges” “ใช่ เขาสั่งการไปยังบรรดาผู้พิพากษาทั้งหลาย” Tom: “Right, the master puppeteer. What is his motive?” “ใช่เลย เขาคือจ้าวแห่งนักเชิดหุ่น เขามีแรงจูงใจอะไรหรือ?” Thaksin: “Huh?” “ว่าไงนะ?” Tom: “Why? What is his motive?” “ถามว่าทำไม? เขามีแรงจูงใจอะไร?” Thaksin: “Well, he wants to keep me outside of Thailand forever.” (He adds, a bit angrily) You know, I studied management theory in the U.S., and it taught me that whenever the formal structure of the organization has been superseded by the informal structure, the organization cannot run properly. The formal structure of Thai governance is , you have a head of state, and that is the King. You have the head of Government, and that is the Prime Minister and all the government officials. But, again, in Thailand, you have Privy Councilors, and they have nothing to do with the constitution, and that is how Prem happens to have power over the formal structure of government.” “อ๋อ. เขาต้องการกำจัดผมออกไปอยู่นอกประเทศไทยตลอดชีวิต” (ทักษิณพูดเสริมด้วยอารมณ์ โกรธนิดหน่อย) คุณรู้ไหม ผมเรียนวิชาทฤษฎีการบริหารจัดการในสหรัฐอเมริกา ซึ่งสอนว่า เมื่อไรก็ตามที่โครงสร้างเป็นทางการขององค์กรถูกแทรกแซงครอบงำโดยโครงสร้างที่ไม่เป็น ทางการ เมื่อนั้นองค์กรก็จะทำงานได้อย่างเป็นระบบที่ถูกที่ควร โครงสร้างเป็นทางการของ ระบบการปกครองประเทศไทยนั้นมีประมุขของรัฐ คือพระมหากษัตริย์ มีหัวหน้ารัฐบาลคือ นายกรัฐมนตรี และมีเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ก็นั่นแหละสำหรับประเทศไทยก็ยังมีคณะองคมนตรี พวก องค์มนตรีนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องตามรัฐธรรมนูญเลย และนั่นคือหนทางที่เปรมได้เข้ามาใช้ อำนาจเหนือโครงสร้างเป็นทางการของรัฐบาล” <photo id="2" /> ตรงนี้คุณทักษิณเข้าใจผิดและพูดผิดในเรื่องที่ว่าองคมนตรีไม่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่แท้จริง แล้วรัฐธรรมนูญทุกฉบับจะมีบทบัญญัติเรื่ององคมนตรีไว้ชัดเจน ความไม้รู้เรื่องรัฐธรรมนูญนี้ เองเป็นที่มาของการที่คุณทักษิณกล่าวหาต่อๆมาว่าพลเอกเปรมเป็นผู้มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ Tom ถามต่อไป … Tom: “I hear you.” And I could hear a rasping irritation in his voice. “ผมได้ยินที่คุณพูดแล้ว” ตอนนี้ผมได้ยินเสียงคุณทักษิณติดๆขัดๆในลำคอ Thaksin: “And I said at the time, when I was prime minister--and I spoke out loudly on this--that the government cannot do anything substantial because we are being pulled along by string-pullers who are outside the Constitution. And when I said that, that was when he became very angry with me.” “และตอนนั้นผมบอกว่า ตอนที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรี--และผมก็พูดดังๆให้รู้กันไปทั่ว--ว่ารัฐบาล จะไม่สามารถทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้เลยเพราะเราถูกดึงเอาไว้โดยคนดึงเชือกเชิดหุ่นหลาย คน คนดึงเชือกพวกนี้เป็นพวกนอกรัฐธรรมนูญ แล้วพอผมพูดอย่างนั้นเขาก็โกรธผมมาก” Tom: “When did you say that?” “คุณพูดแบบนั้นตอนไหน?” Thaksin: “Before I left for New York for the UN speech.” “พูดก่อนออกนอกประเทศเดินทางไปนิวยอร์กเพื่อจะไปกล่าวสุนทรพจน์ที่องค์การ สหประชาชาติ” ………………………………………………………………………………………………… Tom: “….See, if I were Prem, I would suspect that anything you said about national reconciliation was baloney---I wouldn’t believe it. Because if you are not angry with him, if you are not bitter about him, then you are either some kind of god of some kind of machine.” “….เห็นหรือยัง ถ้าหากผมเป็นเปรม ผมจะสงสัยไม่ไว้ใจคุณเลยเวลาที่คุณพูดเรื่องปรองดองกัน ชาติผมว่ามันเป็นการพูดแบบเหลวไหลไม่น่าเชื่อถือ---พูดเท่าไรผมก็ไม่เชื่อ เพราะว่าถ้าคุณไม่ โกรธเขาเลย ถ้าคุณไม่ขมขื่นใจจากการกระทำของเขา ถ้าคุณทำใจได้สงสัยว่าถ้าคุณไม่เป็น พระเจ้าก็คงเป็นเครื่องจักรเครื่องยนต์” Thaksin: “I’m the Nelson Mandela style.” This is said deadpan. “ผมมีลักษณะเหมือนเนลสัน แมนเดลา” ทักษิณพูดหน้าตาเฉยเลย Tom: I try not to laugh and say: “Honestly, with the greatest respect, I wouldn’t believe it. If I were Prem, and I knew Thaksin was returning to Thailand, I would like, get a Montenegro passport real fast … and get the heck out of the country!” ผมพยายามกลั้นหัวเราะไว้ แล้วบอกว่า “ด้วยความสัตย์จริง ด้วยความเคารพอย่างสูงด้วย ผม คงไม่มีทางเชื่อเลย หากว่าผมเป็นเปรม แล้วผมรู้ว่าทักษิณกำลังจะกลับมา สงสัยผมคง แบบว่า ไปทำหนังสือเดินทางมอนเตเนโกรด่วนจี๋เลย...แล้วโกยแนบออกนอกประเทศไทยไปทันทีเลย!” คนภาคเหนือน้ำใจดีมีเมตตา ส่วนคนภาคใต้ใจคิดแต่จะล้างแค้น Thaksin: “Well, I forgive. I do forgive. You know, the people who live in the northern part of Thailand, like I once did, most of them are very generous, most are very Forgiving, and most are very kind people---they are not at all revengeful. But the people from the southern part of Thailand are more revengeful than the northern. That is because---I don’t know why---the local culture there.” “เอ้อ ผมให้อภัยได้ ผมยกโทษให้ รู้ไหม ประชาชนชาวภาคเหนือของประเทศไทย เหมือนผมที่ เคยอยู่ภาคเหนือ คนภาคเหนือส่วนมากเขาเป็นใจดีมีเมตตา---คนเหนือไม่คิดล้างแค้นใครเลย แต่พวกคนที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทยนี่ซิมักเป็นคนคิดล้างแค้น ไม่เหมือนกับคนภาค เหนือเลย เป็นอย่างนั้นเพราะว่า---ผมก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน---สงสัยจะเป็นวัฒนธรรมของชาว ใต้” Tom: “Prem is from the south? And you are from the north, of course.” “เปรมมาจากภาคใต้? ส่วนคุณมาจากภาคเหนือ แน่นอน” การวิจัยและพัฒนา (58) Thaksin: “I know we are behind in research. We are strong in a few areas but not many. In agriculture, we are good but other than that, we are very, very lagging in science, terrible in science --- and technology, we are very weak. So we need a lot more investment on research, and on how to improve learning.” “ผมรู้ว่าเราล้าหลังเรื่องงานวิจัย เราเข้มแข็งในบางสาขาวิชาแต่ไม่มาก ด้านการเกษตรเราใข้ได้ นอกจากนั้นเราตามกลังคนอื่นมากๆๆ ด้านวิทยาศาสตร์ เราแย่มากด้านวิทยาศาสตร์ --- และ เทคโนโลยี เราอ่อนมาก ดังนั้นเราจึงจำต้องลงทุนมากขึ้นในเรื่องงานวิจัย และการพัฒนา ปรับปรุงการเรียน” [ครั้งที่คุณทักษิณโด่งดังเข้าสู่วงการเมืองใหม่ๆ ผม [สมเกียรติ อ่อนวิมล] ในฐานะสื่อมวลชนเคยถามคุณทักษิณว่า “รวยมากๆอย่างที่คุณทักษิณรวย เหตุใดกิจการในกลุ่มชินคอร์ปของคุณทักษิณจึงไม่ใส่ใจลงทุนเรื่องการวิจัยและพัฒนา เช่นบริษัท Samsung (ซัมซุง) ของเกาหลีใต้?” คุณทักษิณตอบผมว่า “ไม่ไหวครับคุณสมเกียรติ เงินวิจัยและพัฒนามันแพงเกินไป เราซื้อเทคโนโลยีเอาดีกว่า ส่วนงานวิจัยผมจะให้ทุนวิจัยที่มหาวิทยาลัยชินวัตรของผม” ….. มาได้ยินคำตอบแบบใหม่คราวนี้ คุณทักษิณเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พูดดีถูกต้องตามหลักนโยบาย แต่รัฐบาลน้องสาวของคุณทักษิณก็ยังไม่ได้ทำอะไรในเรื่องการลงทุนเพื่องานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นการพิเศษ แม้กาลเวลาที่คุณทักษิณจัดตั้งให้น้องสาวได้เป็นนายกรัฐมนตรีเป็นรัฐบาลบริหารประเทศที่คุณทักษิณห่วงมานานสองปีแล้ว (พ.ศ.2556) นายกฯยิ่งลักษณ์ก็ไม่ได้ทำ คุณทักษิณก็ไม่ได้สั่ง.] อารมณ์ Tom: [ไม่ได้ถาม แต่ทักษิณพูดเอง] (93) Thaksin: “I was so angry then … so full of anger. And in my speed of reaching my anger and in showing it to everyone … I was too fast with all that.”… "That is my bad quality. My good part is being very constructive and creative in my thinking. But when I cannot stand the pressure, I’m too easily angered.” "ตอนนั้นผมโมโหสุดๆ ... โกรธเต็มที่เลย และผมโกรธแบบเร็วมากจากตอนเกิดอารมณ์พุ่ง พรวดไปถึงตอนแสดงอารมณ์โกรธออกมา ... ผมออกอาการเร็วมากๆ" ... นั่นเป็นความเลว ของผม ส่วนดีของผมก็มี คือผมเป็นคนคิดสร้างสรรค์ ทำอะไรเป็นบวก แต่เวลาผมทนแรง กดดันไม่ไหว ผมก็โกรธง่าย" Tom: “You can get mean, right? "คุณเอาเรื่องคนง่ายๆเลย ใช่ไหม?" Thaksin: “Yes, and that is the bad part that grows inside me.” "ใช่ และนั่นคือส่วนเลวที่พุ่งพล่านอยู่ในตัวผม" ความมั่งคั่ง ณ ปี 2011 (98) ปี 1994: $1.6-$2.2 พันล้าน ก่อนเข้าสู่การเมือง Thaksin: “Because the government robbed me, (now I have) less. ตอนนี้เหลือความมั่งคั่งลดลง (99) Thaksin: “ … I was robbed by the junta through the political court. They ridiculously took away US$1.4 billion by confiscating the proportion of each share price that increased while I was prime minister, including the interest and dividends earned during my prime-ministership.” “พวกคณะปฏิวัติยึดอำนาจปล้นเงินผมไปโดยใช้ศาลการเมืองเป็นเครื่องมือ พวกเขาเอาไป อย่างหน้าด้านๆถึง $1.4 พันล้าน โดยการยึดส่วนของราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นตอนที่ผมเป็นนายก รัฐมนตรี รวมทั้งดอกเบี้ยและเงินปันผลช่วงที่ผมเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย การลอบสังหาร 4 ครั้ง (103-110) (106-107) Thaksin: “...the general who had been assigned to shoot me [3rd attempt in 2006] … later he confessed to me, after I was in exile, he confessed to me that he had been assigned to shoot me by using a sniper. He was there himself to supervise the sharpshooter, and he knew that my podium was bulletproof, so they had to plan to shoot me from behind. And the second time, also, in Bangkok, this same general, he planned to put the sniper in the building of the Political Science Department of Thammasat University.”…... “The general said he had planned to station the sniper in the building, and planned for the operation to go down at eight o’clock in the evening.” “นายพลทหารคนที่ได้รับมอบหมายงานให้สังหารผม [ในความพยายามครั้งที่ 3 ปี 2549] … ตอนหลังนายพลคนนั้นเขามาขอสารภาพกับผม หลังผมลี้ภัยออกไปแล้ว เขาสารภาพว่าเขาถูก สั่งให้ใช้มือปืนซุ่มลอบยิงผม เขาอยู่ ณ ที่ซุ่มยิงคุมมือปืนด้วยตัวเอง เขารู้ว่าแท่นยืนปราศัยของ ผมมีเกราะกันกระสุน เขาจึงต้องวางแผนยิงผมจากด้านหลัง การลอบสังหารครั้งที่สองก็เช่นกัน ลอบยิงที่กรุงเทพฯ นายพลคนเดียวกันนี้ก็วางแผนใช้มือปืนแอบซุ่มยิงจากอาคารคณะ รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์”….. “นายพลคนนั้นบอกผมว่าวางแผนให้มือปืนซ่อนอยู่ในอาคารและกะจะลงมือยิงตอนสองทุ่ม” นายพลคนที่ว่านั้น แน่นอน คือพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี ถาม “มาเลย์” ตอบ “มุสลิม” (52) Tom: “To Thailand’s south, in Malaysia, former PM Mahathir wrote a famous book in 1970 called The Malay dilemma, and in that book he claims the problem with the Malays is that they’re not ambitious. He says they don’t really want to work hard. They enjoy life too much, and Malaysia cannot get its country developed properly that way.” “ลงไปทางใต้ของประเทศไทย, ที่มาเลเซีย อดีตนายกรัฐมนตรีมหาเดร์เคยเขียนหนังสือที่โด่งดัง เรื่องหนึ่งชื่อ “The Malay Dilemma” ในหนังสือเล่มนั้นท่านอ้างว่าปัญหาของคนมาเลย์ก็คือ การที่เป็นคนไม่ทะเยอทะยาน ท่านบอกว่าชาวมาเลย์ไม่ชอบทำงานหนัก เขาชอบสนุกกับชีวิต มากเกินไป และคนมาเลย์ก็ไม่มีวันจะพัฒนาประเทศได้อย่างถูกต้องเหมาะสมด้วยวิถีชีวิตแบบ นี้” (52-53) Thaksin: “It’s the same with the Muslims in Thailand’s south. They go only to religious schools. They don’t want to go to normal schools. And, secondly, often the husband is very lazy. They want to stay all day in tea-houses, drinking tea, and then playing with the cuckoo bird, the one that can sing. It is the lady of the house who goes to work the rubber trees.” “Many men have no ambition.” “มันก็แบบเดียวกันกับพวกคนมุสลิมในภาคใต้ของไทย พวกมุสลิมก็เอาแต่ไปโรงเรียนสอน ศาสนา พวกเขาไม่ต้องการไปเรียนหนังสือในโรงเรียนธรรมดา และอย่างที่สอง บ่อยมากที่พวก สามีเป็นคนเกียจคร้าน พวกผู้ชายเอาแต่อยู่ในร้านน้ำชาทั้งวัน นั่งกินน้ำชากันไปวันๆ แล้วก็เล่น นกเขา นกแบบที่มีเสียงร้องได้นั่นแหละ พวกผู้หญิงในบ้านกลายเป็นฝ่ายออกไปทำงานกรีด ยาง.” “พวกผู้ชายไทยมุสลิมจำนวนมาก ไม่มีความทะเยอทะยานจะทำงานทำการอะไรเลย” เป็นคำวิจารณ์จากคุณทักษิณที่ดูแคลนชาวไทยมุสลิม ท้าทายความสงบในชีวิตของคุณทักษิณ อีกวาระหนึ่ง ถ้า...หรือเมื่อ...คุณทักษิณกลับมาประเทศไทย โศกนาฏกรรมตากใบ: เป็นแผน "พวกเขา ที่จะล้มผม" (223-224) Thaksin: “Most of the people like me, but in the forth year, I got hit with too many challenges, had too much work, and then they were trying to kick me out. So they created a lot of problems, including the PAD---the Yellow Shirts---started gathering in my fourth year. I knew this.” “ประชาชนส่วนมากเขาชอบผม แต่ในปีที่สี่ ผมถูกท้าทายมาก ผมทำงานมากเกินไป พวกเขาจึงพยายามเตะผมออกนอกประเทศ แล้วพวกเขาก็สร้างปัญหามากมายให้กับผม รวมทั้งพวกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย---พวกเสื้อเหลือง---เริ่มชุมนุมกันในช่วงปีที่สี่ของผม ผมรู้เรื่องนี้ดี” Tom: “How did you know this?” “คุณรู้ได้อย่างไร?” Thaksin: “After I left, I learned from some friends in Malaysian intelligence---they said that even in southern part of Thailand, in my last full year in office, in the forth year---they were trying to create problems that would weaken me.” “หลังจากผมออกนอกประเทศไปแล้ว ผมทราบเรื่องราวจากเพื่อนมาเลเซียที่ทำงานข่าวกรอง---เขาเล่าให้ผมฟังว่าแม้แต่ในภาคใต้ของไทย ในปีสุดท้ายเต็มปีของผม ในปีที่สี่---พวกเขาพยายามสร้างปัญหาทำให้ฐานอำนาจของผมอ่อนแอลง” Tom: “In the south?” He is referring to the now-infamous tragedy when scores of Muslim ‘extremists (or ‘protestors’) were packed into a police truck to be taken to custody and died of suffocation. “ในภาคใต้หรือ?” ทักษิณอ้างถึงโศกนาฏกรรมอื้อฉาวครั้งที่ชาวมุสลิมหัวรุนแรง (หรือ ‘ผู้ประท้วง’) ถูกขนขึ้นอัดกันแน่นบนรถบันทุกตำรวจเพื่อไปควบคุมตัว คนเหล่านั้นต้องตายเพราะไม่มีอากาศหายใจ Thaksin: “Yes, in the south. Some ex-Malaysian intelligence officers told me that they interviewed the cousins of the victims who died of suffocation from the atrocious transportation by the military after it dispersed the protest in Tak Bai, a district in Muslim dominated province in the southen part of Thailand. The officers informed me that [when the operation started] they believed that I had a bad attitude toward Muslim, but one year after the coup d’etat, after they investigated, they began to understand that the tragic and embarrassing incident was part of the plot to topple me.” “ครับ ในภาคใต้ อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองมาเลเซียหลายคนบอกผมว่าได้สัมภาษณ์ญาติๆของผู้ตายในเหตุการณ์แสนโหดที่เบียดกันแน่นขาดอากาศหายใจตอนที่ทหารขนขึ้นรถ หลังจากการ กวาดล้างสลายฝูงชนผู้ชุมนุมที่ตากใบ อำเภอหนึ่งในจังหวัดที่ชาวมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ในภาคใต้ของไทย เจ้าหน้าที่มาเลเซียบอกผมว่า [เมื่อตอนที่เริ่มปฏิบัติการ] พวกเขาเชื่อว่าผมมีทัศนะที่เลวต่อชาวมุสลิม แต่หนึ่งปีหลังการยึดอำนาจ หลังจากมีการสอบสวนแล้วพวกเขาเริ่มเข้าใจว่าเหตุอันเป็นโศกนาฏกรรมที่น่าอับอายครั้งนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแผนโค่นล้มอำนาจผม” ---------------------------------------------------------------- “And so, after I won my second term [in 2005], the street protests started in intensify, so that made me feel even more pressure, and because of all the hard work, I sometimes buckled under the pressures. I maybe showed my ugly side.” He didn’t mean maybe , of course. “และดังนั้น หลังผมชนะการเลือกตั้งสมัยที่สอง [ปี 2548] การประท้วงตามท้องถนนเข้มข้นมากยิ่งขึ้น มันเป็นการสร้างความกดดันให้กับผมมากยิ่งขึ้น และโดยเหตุที่ผมทำงานหนักมามากมาย บางทีผมก็หมดแรงสู้กับความกดดันทั้งหลาย บางทีผมอาจจะแสดงออกซึ่งด้านน่าเกลียดของผมให้เห็นก็ได้” ทักษิณมิได้หมายความว่า”อาจจะ”แน่นอน ถามแดง ตอบเหลือง (131-133) Tom: “have you been funding them?… Have you sent them money?” “คุณให้เงินสนับสนุนพวกเสื้อแดงบ้างหรือเปล่า? … คุณส่งเงินไปให้พวกแดงบ้างไหม?” Thaksin (He sighs): “You know, there is no law prohibiting sending funds to any movement, but most of them they get donations from here and there.” “(ทักษิณถอนหายใจ): “คุณรู้ไหมว่าไม่มีกฎหมาย ห้ามเรื่องบริจาคเงินให้กลุ่มเคลื่อนไหว ทางการเมือง แต่ว่าส่วนใหญ่เขาก็ได้เงินบริจาคจาก ที่นี่บ้าง ที่โน่นบ้าง” Tom: From where?” “จากที่ไหนล่ะ?” Thaksin: “From here and there … many people support the Reds, you know. Then the Yellow Shirts [the anti-Reds, pro-establishment movement], even some member of the elite establishment -- old establishment and elite ---make donations … big money, sometimes openly. No one criticizes that. But for us, we get donations --- but mostly small donations --- but we don’t have to [hire] people to come. They come because they want to fight, but the Yellow Shirts --- sometimes they have to pay people, you know, they sometimes pay those who come to demonstrate and so on. So they need a lot of money. We don’t need a lot of money. We get donations from here and there, and also some friends---some friends, some of my relatives, maybe they donate. I don’t know. And I did not do anything because I’m here. But maybe if some of my friends would like to support the movement, well yes, they do.” “จากที่นี่ที่โน่น … มีหลายคนสนับสนุนพวกเสื้อแดง รู้ไหม. แล้วพวกเสื้อเหลืองนั้นล่ะ [หมายถึง กลุ่มต่อต้านเสื้อแดง ที่อยู่ฝ่ายผู้มีอำนาจ] มีพวกคนระดับสูง ผู้มีอำนาจ --- อำนาจเก่าระดับบน --- บริจาคให้ … ให้เยอะด้วย บางที่ก็ให้กันอย่างเปิดเผย ที่อย่างนั้นทำไมไม่มีใครว่า พอเวลา มาพูดถึงเงินบริจาคให้พวกเสื้อแดง เราได้รับบริจาค --- ส่วนใหญ่เป็นเงินไม่มาก --- แต่เรา ไม่ต้องไป [จ้าง] คนมาร่วมชุมนุม พวกเสื้อแดงเขาชุมนุมกันเพราะจะมาต่อสู้ แต่พวกเสื้อเหลือง --- บางทีเขาต้องจ่ายเงินจ้างให้มาชุมกันเสมอๆ พวกเสื้อเหลืองต้องการใช้เงินมากๆ ส่วนพวก เรานั้นได้รับเงินบริจาคจากที่นี่ที่โน่น และได้จากเพื่อนๆด้วย --- จากพวกเพื่อนๆ และพวกญาติ พี่น้องของผมบางคนเขาอาจบริจาคด้วย ผมไม่รู้ และผมไม่ได้ทำอะไรเลยเพราะผมอยู่ที่นี่ แต่ บางทีถ้าเพื่อนผมบางคนอยากจะสนับสนุนขบวนการเสื้อแดง ก็ใช่ เขาคงบริจาคกัน” Tom: “ But how much money have you sent back, or given to your supporters?” “ว่าตัวคุณล่ะ คุณส่งเงินไปมากน้อยเท่าไร ที่ส่งไปให้พวกผู้ที่สนับสนุนคุณ?” Thaksin: I don’t have much money outside Thailand and I still doing some investing. I have my family money in Thailand. I never send money back to Thailand for anything.” “ผมมีเงินนอกประเทศไทยไม่มากนัก และยังต้องใช้เงินลงทุนบางอย่างอยู่บ้าง ผมมีเงินของ ครอบครัวอยู่ในเมืองไทย ผมไม่เคยส่งเงินกลับไปประเทศไทยเพื่ออะไรเลย” Tom: “But do have ways of getting money out of your accounts in Bangkok to your people?” “แต่คุณคงมีวิธีเอาเงินออกจากบัญชีในกรุงเทพฯให้พวกคนของคุณ?” Thaksin: “Everything that is there---they have been monitoring my family closely--- every movement will be monitored.” “ทุกบาททุกสตางค์ที่มีอยู่ที่โน่น --- ครอบครัวผมถูกเฝ้าตามดูอย่างใกล้ชิดโดยพวกเขา --- ความเคลื่อนไหวทุกฝีก้าวถูกติดตามดูตลอด Tom: “Right. So what is the answer? Are you funding your Reds or not? “ครับ แล้วคำตอบว่าไงครับ? คุณให้เงินสนับสนุนพวกเสื้อแดงของคุณหรือเปล่า?” Thaksin: “No.” “เปล่า” Tom: “You’re not.” “เปล่าจริงๆหรือ?” Thaksin: “No.” “เปล่า” Tom: “Okay, because if it comes out you are, it’s going to be awkward.” “โอเค, เพราะถ้าเกิดพบที่หลังว่าคุณสนับสนุน มันจะดูไม่ดีนะครับ” Thaksin: “No, no.” “เปล่า, ไม่ได้ให้” Tom: “Alright.” “ครับ” Thaksin: “No.” “ไม่ได้ให้” Tom: “I don’t think there is anything wrong with it. I don’t think there is anything morally wrong with it. I’m just asking, just trying to find out the truth.” “แต่ผมว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรผิดนะครับหากจะให้เงินสนับสนุน ผมไม่คิดว่ามันจะผิดศีลธรรม อะไรเลย ที่ผมถามก็เพราะแค่อยากทราบความจริงเท่านั้นเอง” Thaksin: “No, nothing wrong with it.” “ไม่, ไม่มีอะไรผิดหรอกที่จะบริจาคเงิน” Tom: “Nothing wrong legally, perhaps; but surely it’s no way to run a democratic railroad. Right?” “ในทางกฎหมายก็คงไม่มีอะไรผิด แต่ว่าไม่น่าจะเป็นวิธีที่ถูกต้องในการสร้างประชาธิปไตย ไช่ไหมครับ? He nods in agreement. คุณทักษิณผงกศีรษะรับ ไม่มีบทสนทนาช่วงไหนจะสนุกเท่ากับช่วงนี้เลย คุณทักษิณไม่ตอบเสียยาว จนรู้คำตอบที่ไม่ ยอมตอบในที่สุด เป็นคำตอบที่ผมรู้ดีอยู่แล้วเป็นส่วนตัว เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็รู้คำตอบเช่น กัน … นี่คือตัวตนที่แท้จริงของ พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร คุณทักษิณก็ถูกถามให้ประเมินความรู้สึกทั้งหมดต่อชีวิตและการกระทำที่ผ่านมา: (38) Tom: “Do you have any regret? “คุณรู้สึกเสียใจบ้างไหม?” Thaksin: “Yes, … but the truth is I would do it again. If I could do it all again Tomorrow I would. They could kick me out again, and I’d fight back and I’d go back home. And if they do that again, I will fight it, and I will be back.” “ครับผมรู้สึกเสียใจ, … แต่ความจริงก็คือว่า ผมจะทำแบบเดิมอีก ถ้าผมสามารถทำใหม่ได้ ผม ก็จะทำอย่างเดิมทั้งหมด ถ้าพรุ่งนี้ทำได้ผมก็จะทำพรุ่งนี้เลย พวกเขาสามารถเตะโด่งผมออก นอกประเทศไปได้อีก แล้วผมก็จะตอบโต้สู้กลับ ให้่ผมได้กลับบ้านอีก และถ้าพวกเขาทำกับผม อีก ผมก็จะสู้กับมันอีก และผมจะกลับมา” เป็นการยืนยันรับประกันชัดเจนโดยตรงจากปากคุณทักษิณว่า คุณทักษิณจะไม่สำนึกผิดอะไรทั้งส้ิน หากกลับมาประเทศไทยอีกก็จะทำแบบเดิมอีก ไม่เปลี่ยนแปลง ถ้าถูกขัดขวางอีก ก็จะสู้ไม่ถอย ถูกผลักดันให้ออกไปนอกประเทศอีก ก็จะสู้อีก จะกลับมาทำอย่างเดิมแน่นอน! ท่าทางจะไม่ปรองดองกับใครแน่! สมเกียรติ อ่อนวิมล เผยแพร่ครั้งแรก 6 มีนาคม 2555 ปรับแก้เพิ่มเติมเผยแพร่ครั้งที่สอง 9 กรกฎาคม 2556 พิมพ์เผยแพร่ล่าสุด 3 กันยายน 2566 อ้างอิง Tom Plate, “Conversations With Thaksin: From Exile to Deliverance -Thailand’s Populist Tycoon Tells His Story” [Giants of Asia Series], Marshall Cavendish Editions, Singapore, 2011, ISBN: 978-981-4328-68-5, 252 หน้า บทสนทนาจากแดนไกล 3 ตอน http://www.youtube.com/watch?v=B4icdBcyCOo http://www.youtube.com/watch?v=LTW_o3AegWA http://www.youtube.com/watch?v=9ovOtXlySrI ป.ล. หนังสือเล่มนี้เป็นผลเสียหายต่อคุณทักษิณ เพราะพูดความในใจออกมาดังๆ พิมพ์แล้วลบทิ้งทำลายไม่ได้ ติดตัวไปจนตาย จะกลับมาปฏิเสธก็ไม่ได้ คุณทักษิณเป็นคนไม่ซับซ้อนเวลาคิดวางแผนทำทุจริตคดโกงยอกย้อนต่างๆ แต่เวลาแสดงความคิดเห็นกลับไม่ซับซ้อน คิดอย่างไรก็พูดอย่างนั้น จึงได้ความความจริงจากใจคุณทักษิณไม่ยาก เพียงอ่านทั้งแบบตรงๆตามตัวอักษร และอ่านระหว่างบรรทัด. สมเกียรติ อ่อนวิมล 30 มกราคม 2557 |