A LECTURE IN DISGUISE
Read carefully, I've found plenty of lecture from the young Canadian prime minister Justin Trudeau to the new and elderly American president Donald Trump. Canada governs to be ' a positive example in the world', said Justin Trudeau, as if questioning Donald trump's foreign policy. Trump's policy is far from being a positive example in the world. It is, on the contrary, a negative close-door policy based on racism and religious discrimination. It's indeed not a positive example for the world. Trudeau also spoke about free cross-border movement of goods and services under the North American Free Trade Agreement and other international obligation which both Canada and the US have worked together, which he hoped will continue. This, indeed, is another Trudeau's lecture to Trump, if he can read between the line. (There has been confirmed report of Trump not being keen on reading even the regular lines!) Trump didn't look agitated after the press conference. Maybe he couldn't read between the line. He insisted on using common sense in foreign policy. Justin Trudeau นายกรัฐมนตรีคนที่ 23 ของ Canada เป็นหัวหน้าพรรค Liberal อายุเพียง 44 ปี ตอนที่เข้ารับตำแหน่ง (4 พฤศจิกายน 2015) ปัจจุบัน (2017) อายุ 45 ปี
เป็นนายกรัฐมนตรีคนหนุ่ม เป็นแบบอย่างของคนรุ่นใหม่ มีความคิดก้าวหน้าทันสมัย เป็นที่ชื่นชมของชาว Canada และอาจจะเป็นที่อิจฉาของขาวอเมริกันด้วยก็ได้ เพราะเทียบกันแล้ว Trudeau หนุ่มกว่า Trump มาก ความคิดทางการเมืองและพื้ฐานการศึกาเรื่องการต่างประเทศก็สูงกว่า Trump การวางตัว กิริยามารยาททางการฑูตก็เหนือกว่า สุภาพอ่อนโยน แต่ลุ่มลึกกว่า Trump อย่างไม่มีข้อสงสัย เกิด 25 ธันวาคม 1971 การศึกษา : University of British Columbia (1998), McGill University(1994), McGill University, Université de Montréal บิดาเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี Canada ด้วย ชื่อ Pierre Trudeau มารดาชื่อ Margaret Trudeau บุตรธิดา รวมสามคน: Ella-Grace Margaret Trudeau, Xavier James Trudeau, Hadrien Trudeau |
Justin Trudeau พบ Donald Trump
ไม่ได้มาอบรมสั่งสอน ไม่ได้พูดแบบสอนนักเรียนเลย แต่พออ่านสุนทรพจน์ระหว่างบรรทัด ก็พบว่าพูดไว้ไม่น้อยเลย เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2017 นายกรัฐมนตรี Justin Trudeau แห่ง Canada เดินทางไปพบปะหารือกับ Donald Trump, ประธานาธิบดีคนใหม่ คนที่ 45 ของสหรัฐอเมริกา, ถือเป็นการหารือเป็นทางการเป็นครั้งแรกระหว่างผู้นำทั้งสอง และเป็นกิจกรรมเชิงพิธีการทูตปรกติที่ประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดมากทั้งสองพึงปฏิบัติทุกสมัยการเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาลใหม่ สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศใหญ่ ทั้งขนาดเศรษฐกิจ ขนาดพื้นที่ประเทศ และจำนวนพลเมือง ซึ่ง Canada จำต้องพึงพาในเรื่องเศรษฐกิจการค้าและการคมนาคมขนส่งข้ามพรมแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยชน์ทางการค้าระหว่างประเทศที่ได้จากความตกลงการค้าเสรีเขตอเมริกาเหนือ (North America Free Trade Agreement (NAFTA) Donald Trump สร้างความไม่มั่นใจในหมู่ประเทศคู่ค้า NAFTA อีกสองประเทศ คือ Mexico และ Canada โดย Trump พูดไว้มาก และพูดไว้แรง ว่าเสียเปรียบการค้ากับ Mexico และไม่ชอบผู้คนจาก Mexico ที่อพยพเข้ามาสหรัฐอเมริกา เพราะมักจะเป็นพวกก่ออาชญากรรม ฆ่าข่มขืน พวกค้ายาเสพย์ติด เป็นคนเลว (Trump's bad hombres / bad dudes) และในด้านการค้านั้น Mexico ก็ประกอบธุรกิจแบบเอาเปรียบ สร้างโรงงานอุตสาหรรม แย่งงานคนอเมริกันไปมาก บริษัทอเมริกันไปลงทุนใน Mexico ช่วยทำลายการจ้างงานในอเมริกา Donald Trump ถึงกับประกาศว่าจะสร้างกำแพงสูงใหญ่ตลอดแนวพรมแดนสหรัฐฯทางใต้ที่ติดกับ Mexico เพื่อกั้นการแอบหนีเข้าเมืองสหรัฐฯจากคนฝั่ง Mexico นโนบายใหญ่อีกเรื่องหนึ่งที่ Trump ประกาศไว้ชัดเจนและเข้มข้นรุนแรง คือการห้ามคนที่นับถือศาสนาอิสลามเข้าสหรัฐฯจนกว่าจะมีมาตรการตรวจสอบเข้มข้น (extreme vetting) ว่าปลอดภัยจากการก่อการร้าย ความคิดของ Trump ในช่วงหาเสียง กำลังเข้าสู่ภาคปฏิบัติ ภายหลังเขาได้รับเลือกตั้งและเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯเมื่อวันที่ 20 มกราคม 2017 ซึ่งมีผู้นำต่างชาติที่ทยอยเข้าพบ Trump ที่ทำเนียบขาวแล้วก่อนหน้า Trudeau มีเช่นนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และ ญี่ปุ่น ส่วนประธานาธิบดี Mexico นั้นยกเลิกการเดินทางเพราะไม่พอใจคำพูดของ Trump ที่ดูถูกเหยีดหยาม Mexico ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง Trump ก็ประกาศเตรียมการสร้างกำแพงกั้นพรมแดนภาคใต้กับ Mexico และยืนยันจะบังคับให้ Mexico เป็นฝ่ายจ่ายเงินค่าก่อสร้าง ซึ่ง Mexico ก็ประกาศว่าไม่ใช่หน้าที่จะจ่าย และจะไม่ยอมจ่าย อดีตประธานาธิบดี Mexico ชื่อ Vicente Fox ถึงกับให้สัมภาษณ์สดทางโทรทัศน์ และเขียนลงใน Twitter อย่างหยาบคายว่า "I am not going to pay for that fucking wall" (แปลอ้อมๆแบบกลัวว่าจะเข้าใจถูกต้องตรงความหมายแท้จริงได้ว่า "กูจะไม่มีวันจ่ายค่าสร้างกำแพงเหี้ยๆของมึงแน่" จะแปลให้ตรงความหมายที่แท้จริงก็ได้ แต่ต้องนั่งคุยกันเป็นการส่วนตัวจึงจะพูดได้) [ https://www.theguardian.com/us-news/2017/jan/26/no-pay-wall-how-former-mexican-president-vicente-fox-uses-twitter-to-troll-trump ] นอกจากนั้น Trump ยังได้สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วโลกด้วยการออกคำสั่งห้ามคนเข้าเมือง ทั้งผู้อพยพเข้าเมือง (immigrants), ผู้ลี้ภัย (Refugees), และคนเข้าเมืองที่เป็นคนต่างด้าวมีบัตรเขียว (green-card holders/permanent residents/resident aliens)ที่ให้อยู่ทำมาหากินในสหรัฐฯได้อย่างถาวรมาก่อนก็ถูกห้าม โดยสั่งห้ามผู้ลี้ภัยจาก Syria และคนเข้าเมืองจาก Iran, Iraq, Libya, Somalia, Sudan, Syria และ Yemen แม้จะเป็นการห้ามชั่วคราว 90 วัน ก็ตาม แต่ก็สามารถต่อเวลาได้ จนกว่า Trump จะพอใจในความมั่นคงจากภัยก่อการร้ายที่อาจเกิดในประเทศจากคนเข้าเมืองทั้งหลาย โดยเฉพาะจาก 7 ประเทศต้องห้ามกลุ่มแรก (ต่อมาศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์กลางตัดสินให้คำสั่งประธานาธิบดีนี้เป็นโมฆะ และ Trump กำลังเตรียมการแก้ลำกับศาลใหม่ โดยอาจจะฎีกาไปถึงศาลสูงสุด (Supreme Court) หรือไม่ก็ออกคำสั่งใหม่ที่รัดกุมกว่าเดิม โดยไม่ให้ละเมิดรัฐธรรมนูญ ในบริบทและบรรยากาศเช่นนี้เอง ที่นายกรัฐมนตรี Justin Trudeau เดินทางมาพบปะหารือกับ Donald Trump ซึ่งก็คาดว่าจะเป็นการหารือเบื้องต้นเป็นเชิงพิธีการมากกว่า และ Canada ก็คงจะมาพูดคุยอย่างสุภาพ ไม่หาเรื่องให้เกิดความบาดหมางใจกันแต่อย่างใด ทั้งๆที่ Trudeau ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของ Trump ที่กีดกันปิดกั้นรุนแรงต่อคนมุสลิม ต่อ Mexico และต่อ NAFTA คำแถลงของนายกรัฐมนตรี Canada หลังการหารือที่ทำเนียบขาว สะท้อนความนอบน้อมถ่อมตนของ Trudeau และ Canada มาก เพราะ Canada เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจและพลเมืองเล็กกว่า ต้องพึงพาสหรัฐฯมากกว่า จึงมิอาจแสดงท่าที่แข็งกร้าวต่อสหรัฐได้ ทั้งๆที่อาจจะเป็นสิ่งที่คาดหวังว่าอาจจะเกิดได้ เพราะความเป็นหนุ่มและความมีอุดมการณ์สูงของนายกรัฐมนตรี Justin Trudeau หลังจากตรวจสอบสุนทรพจน์และคำแถลง ตลอดจนคำให้สัมภาษณ์บางส่วนแล้ว โดยการ "อ่านระหว่างบรรทัด" ก็สามารถมองเห็นความคมลึกของคำพูดของนายกรัฐมนตรีหนุ่มจาก Canada ที่แสดงถึงความแยบยลของกระบวนการทางการฑูตของ Trudeau ที่ได้พูดในสิ่งที่ไม่ต้องพูดอย่างดงงาม ผู้ฟัง หรือผู้อ่านต้องคิดมากหน่อย ต้องอ่านระหว่างบรรทัดให้ได้ ผมอ่านแล้ว มั่นใจว่าอ่านเจอข้อความในใจของ Justin Trudeau ที่ซ้อนไว้ระหว่างบรรทัด ตามทบทวิเคราะห์ข้างล่างต่อไปนี้: [ข้อความเน้นสีแดง เป็นส่วนที่มีความหมายระหว่างบรรทัดชัดเจน] |
A transcript of the opening statements
from Prime Minister Justin Trudeau and President Donald Trump
after their first meeting Monday (13 February 2017) in Washington
from Prime Minister Justin Trudeau and President Donald Trump
after their first meeting Monday (13 February 2017) in Washington
Justin Trudeau said at a joint press conference in Washington with Donald Trump on Monday that it was not his place to come down to the US and “lecture another country”.
At a surprisingly placid joint press conference at the White House, the Canadian prime minister went out of his way to avoid any incidents with a US president, who has already stoked controversy in his dealings with several foreign leaders. Trudeau seemed to be struggling to keep a straight face at times as his American counterpart spoke. While Trudeau, who has long been vocal about the need for Canada to welcome refugees, did his best to avoid conflict, he was aided by the American press, who used their two questions for Trump to lob softballs at him. The president, who is facing growing controversy over his national security adviser Mike Flynn’s conversations with Russian ambassador Sergey Kislyak, as well as his own apparent discussion of classified information on the patio at his Florida club over the weekend, called on two right wing media outlets for questions, Sinclair Broadcast Group and the Daily Caller. Flynn was in attendance at the press conference on Monday. Although following Trump’s announcement of his travel ban – now blocked by the courts – last month, Trudeau wrote on Twitter: “To those fleeing persecution, terror & war, Canadians will welcome you, regardless of your faith. Diversity is our strength #WelcomeToCanada”, he avoided such statements on Monday. Instead, the prime minister noted of US-Canadian relations that “there have been times where we have differed in our approaches and that’s always been done firmly and respectfully”. Trudeau added: “The last thing Canadians expect is for me to come down and lecture another country on how they choose they govern themselves. My role, my responsibility is to continue to govern in such a way that reflects Canadians’ approach and be a positive example in the world.” Earlier he did say Canada believed it could maintain an “openness” to immigrants and refugees “without compromising security”. Trump returned to several of his favorite topics during the press conference, pledging to get “criminals, drug lords and gang members” out of the country, boasting about his “very, very large electoral college victory”, which came in spite of a loss in the popular vote, and darkly warning “we have problems in just about every corner of the globe”. The president also made clear that his concerns about Nafta, the free trade agreement between the United States, Canada and Mexico, were far more focused on the United States’ southern neighbor than its northern one. “We have a very outstanding trade relationship with Canada; we’ll be tweaking and doing things that benefit both of our countries,” said Trump, adding that the relationship with Canada was a “much less severe situation than that on our southern border”. Trump continued to enthuse that “our relationship with Canada is outstanding – we’ll work together to make it even better.” Trudeau did his best to try to find common ground with his counterpart. He told reporters “both President Trump and I got elected on commitments to support the middle class” as the Canadian prime minister then emphasized how important “the continued effective integration of our two economies” was. Prior to their joint press conference, Trudeau and Trump held a meeting with female business leaders from both countries, including Ivanka Trump, where they announced the creation of United States-Canada Council for Advancement of Women Entrepreneurs and Business Leaders. The two went on to hold a private lunch in the White House. After the press conference, the Canadian prime minister went to Capitol Hill to meet with speaker Paul Ryan. Reference: The Guardian https://www.theguardian.com/world/2017/feb/13/justin-trudeau-donald-trump-meeting-canada-trade-immigration |
The Hidden 'Lecture' _________________________________ บทเรียนระหว่างบรรทัด ◀︎ จากข่าวคอลัมน์ซ้ายมือ Trudeau added: “The last thing Canadians expect is for me to come down and lecture another country on how they choose they govern themselves. My role, my responsibility is to continue to govern in such a way that reflects Canadians’ approach and be a positive example in the world.” คำแปล: "สิ่งสุดท้ายที่ชาว Canada อยากเห็น (สำนวนภาษาอังกฤษ แปลว่า เป็นสิ่งแรกที่ "ไม่อยากเห็น") ก็คือให้ผมมาอบรมสั่งสอนประเทศอื่นว่าเขาจะเลือกบริหารประเทศของเขาอย่างไร หน้าที่รับผิดชอบของผม คือการบริหารประเทศ Canada ของผมต่อไปตามแบบเดิม อันเป็นวิถีการปกครองที่สะท้อนวิถีแห่ง Canada เพื่อให้เป็นแบบอย่างเชิงบวกแก่ชาวโลก" คำวิจารณ์: This is a direct lecture right in front of Trump's face. Trudeau said that his role and responsibility is to continue to govern as Canada has always governed to show the world that Canada is a positive example for the world to cherish. Such positive governance has been emphasized in statement at the White House (above). There are nine points in the lecture Trudeau gave to Donald Trump in the very short statement: ข้อความนี้ไม่ต้องวิเคราะห์ก็ได้ เพราะอ่านแล้วเห็นชัดเจนทันทีว่า Justin Trudeau กำลังสอน Donald Trump ตรงต้วต่อหน้า ให้จงบริหารประเทศสหรัฐอเมริกาเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีต่อชาวโลก ตามแบบอย่างที่ Canada ทำมาก่อนนานแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการต้อนรับเพื่อนมนุษย์ที่ตกยากลำบากต้องลี้ภัยสงครามและภัยเศรษฐกิจ Trudeau ประกาศต้อนรับผู้อพยพจากทั่วโลกให้เข้ามาอยู่ใน Canada ได้ด้วยความยินดี เป็นการประกาศที่ทำมานานแล้ว และประกาศย้ำใหม่บ่อยขึ้นหลัง Trump ออกคำสั่งปิดกั้นคนเข้าเมืองที่กำลังถูกประนามทั่วสหรัฐฯและทั่วโลก จากคำแถลงที่ทำเนียบขาว
(ตามบทแถลงข้างบน คัดจาก The Toronto Star) (1) "We’ve fought in conflict zones together" "เราเคยร่วมรบต่อสู้กับสงครามขัดแย้งในพื้นที่ต่างๆในโลกมาด้วยกัน" คำวิจารณ์: This is just a reminder that Canada is the true American friend. Trump must be careful in pressuring Canada on NAFTA. ข้อความตรงนี้ย้ำถึงความเสมอภาคกัน ช่วยเหลือร่วมมือกันให้เวทีการเมืองและความมั่นคงระหว่างประเทศ เตือน Donald Trump ให้เคารพ Canada ในฐานะพันธมิตรร่วมรบในสงครามในที่ต่างๆในโลก Trump ควรรำลึกให้จงหนักว่า Canada มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับสหรัฐฯมายาวนาน โดยเฉพาะในยามทุกข์ยาก และ ยามสงคราม (2) "negotiated environmental treaties together, including 1991’s historic Air Quality Agreement." "ได้มีการเจรจาทำสนธิสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกัน, รวมถึงความตกลงว่าด้วยคุณภาพอากาศ ปี 1991 อันเป็นความตกลงที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของทั้งสองประเทศ" คำวิจารณ์: Canada is serious about international agreements on the environment and the US should do the same because they both have jointly negotiated the deals together. It's no secret that Trump does not believe in climate change and want to scrap all previously signed treaties and agreements on climate change. การที่ Trudeau เอ่ยเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมและความตกลงเรื่องคุณภาพอากาศระหว่างสองประเทศ เป้นการเตือน Trump ทางอ้อมให้เห็นความสำคัญของปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งระหว่างสองประเทศ และในระดับโลก ทั้งนี้ก็เพราะ Trump แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อวิทยาศาสตร์ ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของนักวิทศาสตร์ที่ว่าสภาวะโลกร้อนและภูมิอากาศที่ผันแปรเป็นฝีมือมนุษย์ Trump เชื่อว่าเรื่อง โลกร้อนเป็นเรื่องหลอกลวง เป็นเรื่องสร้างข่าวเท็จนำโดยจีน เขาจึงแสดงตนว่าจะไม่ยอมรับความตกลงระหว่างประเทศต่างๆที่สหรัฐฯเคยร่วมลงนามเกี่ยวกับเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้องและภูมิอากาศโลก (3) "And we’ve entered into ground-breaking economic partnerships that have created good jobs for both of our peoples." "และเราได้เข้าร่วมในความตกลงที่สำคัญแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน คือความตกลงเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้สร้างงานดีๆมากมายให้กับประชาชนของเรา" คำวิจารณ์: The North American Free Trade Agreement - NAFTA is good, according to Trudeau, who came to power after NAFTER had been signed. He announced his full support of NAFTA and he hopes Trump would honor the decision by Trump's predecessors. Trudeau ย้ำต่อหน้า Trump ว่าความตกลงการค้าเสรีแห่งอเมริกาเหนือ (North America Free Trade Agreement - NAFTA) เป็นเรื่องดี ช่วยสร้างงานให้กับคนทั้งใน Canada และ อเมริกา ตรงข้ามกับความคิดของ Trump ที่เห็นว่า NAFTA ไม่ดี อเมริกาเสียเปรียบทั้งกับ Canada และกับ Mexico Trump ต้องการือความตกลงและเปิดการเจรจาใหม่ หรือไม่ก็อาจถอนตัวออกไปเลยเหมือนกับที่ทำกับ Trans-Pacific Partnetship (TPP) ซึ่ง Trump ประกาศถอนตัวออกไปแล้วในสัปดาห์แรกที่รับตำแหน่งประธานาธิบดี (4) "Canadians and Americans alike share a common history, as well as people-to-people ties that make us completely and totally integrated. Our workers are connected by trade, transportation and cross-border." คำวิจารณ์: This is to tell Trump to see the merit of free trade which is basically the free cross-border movement of goods, services, investment, finance, and human capital. For Trump to threaten to leave or renegotiate NAFTA without prior consultation with Canada is not acceptable. การค้า การคมนาคมขนส่งข้ามพรมแดนระหว่าง Canada และ สหรัฐฯ สะท้อนการเป็นสังคมภูมิภาคสองประเทศที่หลอมรวมกันได้เป็นความผูกพันระหว่างประชาชนที่เป็นประวัติศาสตร์ร่วมกันมายาวนาน Trudeau เตือน Trump อีกครั้งว่าอย่าทำลายประวัติศาสตร์และความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันที่มีมายาวนาน (5) "Make no mistake, at the end of the day, Canada and the U.S. will always remain each other’s most essential partner." คำวิจารณ์: A warning that Trump's unilateral action against NAFTA will not be a good thing to do, and the effort is bound to fail. อย่าได้เข้าใจเป็นอื่นไปก็แล้วกัน เพราะในที่สุดแล้ว (สำนวนอังกฤษว่า "เมื่อจบวัน / เมื่อสิ้นวัน / เมื่อตกค่ำ") ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น Canada กับ สหรัฐฯจะคงความเป็นหุ้นส่วนที่เห็นความสำคัญและความจำเป็นระหว่างกันเสมอ ตรงนี้อธิบายต่อได้ว่า ไม่ว่า Trump จะดำเนินนโยบายเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ Canada เพราะนโยบาย "America First" (อเมริกาต้องมาก่อน) ของ Trump เป็นนโยบายที่ไม่ดี เมื่อหมดวันหรือตกค่ำแล้ว Trump สิ้นอำนาจ พ้นตำแหน่งประธานาธิบดีไปเมื่อไรแล้ว ความสัมพันระหว่างสหรัฐฯกับ Canada ที่อาจจะไม่ดีในสมัย Donald Trump ก็จะต้องกลับมาดีแน่นอนในสมัยประธานาธิบดีคนอื่นต่อๆไป - ตรงนี้เป็นการอ่านระหว่างบรรทัดที่(อาจจะ)ลึกมาก(เกอนไป)สักหน่อย (6) Today, we reiterated that our nations are committed to collaborating on energy infrastructure projects that will create jobs while respecting the environment. คำวิจารณ์: Again, Trudeau indirectly warns Trump of potential conflict if Trump reverts the policy on energy and the environment. Trudeau ยืนยันย้ำโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั้งหลายที่ Donald Trump พูดถึงบ่อยๆ แต่ Trump มักพูดถึงโครงการสร้างถนน การการคมนาคม มากกว่าเรื่องพลังงาน และไม่ได้คำนึงถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม แต่ว่า Trudeau พูดเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นองค์ประกอบในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน สวนทางกับความคิดของ Trump (7) Canada and the United States will forever be a model example of how to be good neighbours. คำวิจารณ์: Trump appears to be not such a good neighbour and he need a strong lecture on the subject. เป็นการพูดตีกันไว้ล่วงหน้าด้วยความห่วงใยว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Canada กับ สหรัฐจะเลวร้ายลงในสมัย Trump เป็นประธานาธิบดี เพราะนโยบาย "America First" ของ Trump (8) Winston Churchill once said, that long Canadian frontier from the Atlantic to the Pacific oceans guarded only by neighbourly respect and honourable obligations is an example to every country and a pattern for the future of the world. That, my friends, is the very essence of the Canada-U.S. relationship. คำวิจารณ์: Trump recently said in front of the CIA officials that he admired Churchill. Trudeau probably heard it and here quotes Churchill on the subject of 'respect thy neighbour' Trump เคยพูดชื่นชม Churchill ไว้ก่อนหน้านี้แล้วครั้งหนึ่งตอนที่ไปเยี่ยมสำนักงานข่าวกรอง CIA ดังนั้นการอ้างถึงคนที่ Trump ชื่นชอบก็เป็นผลดี ทำให้มีความรู้สึกร่วมกันว่า คิดเหมือนกัน ชื่นชมวีรบุรุษคนเดียวกัน แต่คราวนี้คำอ้างถึง Churchill มีรายละเอียดลึกซึ้งกว่าตอนที่ Trump เคยอ้างถึงเพียงว่าเขา "ชอบ Churchill เพราะ Churchill ช่วยอเมริกา" (ซึ่งก็พูดผิด เพราะอเมริกาต่างหากที่เป็นฝ่ายช่วย Churchill ในสงครามโลกครั้งที่สอง) แต่ที่ Trudeau อ้าง Churchill ในคำแถลงที่ที่ทำเนียบขาว มรใจความเกี่ยวกับความสำคัญของการเป็นพันธมิตรกันดังนี้: "Churchill เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า, พรมแดนอันยาวไกลของ Canada จากมหาสมุทร Atlantic ถึงมหาสมุทร Pacific นั้นจะได้รับการปกป้องคุ้มครองก็ด้วยความเคารพกันและกันของประเทศเพื่อนบ้านติดพรมแดน ด้วยการให้เกียรติปฏิบัติตามข้อผูกพันระหว่างกันอันทรงเกียรติ เป็นแบบอย่างให้กับทุกประเทศ เป็นแบบแผนการปฏิบัติต่อกันในอนาคตของโลก นี่เอง, ท่านผู้เป็นมวลมิตรทั้งหลายม คือหัวใจของสัมพันธภาพระหว่าง Canada กับสหรัฐอเมริกา" ข้อความตอนนี้ชัดเจนมากว่า Trudeau สอง Trump เรื่องพรมแดนระหว่างมิตรประเทศ ที่ไม่จำเป็นต้องมีการสร้างกำแพงจริงๆกั้น เพราะความเคารพและให้เกียรติในความตกลงที่มีระหว่างกันมีความสำคัญ มีความหมายเข้มข้นแข็งแรงกว่ากำแพงทางกายภาพที่เป็นเพียงสิ่งปลูกสร้างทางวัตถุ พรมแดน Canada-สหรัฐฯ ลากโยงยาวเชื่อมสองมหาสมุทร หากจะสร้างกำแพงเป็นวัตถุแบบที่ Trump จะสร้างกั้น Mexico นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ดี ไม่ได้ผลเท่ากันการเอามิตรภาพและความไว้ใจให้เกียรติเคารพซึ่งกันและกันเป็นพรมแดนแห่งมิตรภาพจะดีกว่า แม้ Trump จะมิได้ประจะสร้างกำแพงกั้นพรมแดนกับ Canada แต่ก็พูดไว้บ่อยว่า Canada เอาเปรียบการค้ากับสหรัฐฯ ตามความตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ หรือ NAFTA ดังนั้น การอ้าง Churchill ต่อหน้า Donald Trump ที่ทำเนียบขาวครั้งนี้ เป็นข้อความระหว่างบรรทัดที่แจ่มชัด หาก Trump ได้คิดจะต้องถูกกระตุกในจิตใต้สำนึกอย่างรุนแรงเรื่องสัมพันธภาพข้ามพรมแดนกับแระเทศเพื่อนบ้าน (9) Once again, it’s a tremendous pleasure to be here in Washington. คำวิจารณ์: This is a good ploy to make Trump feel comfortable by using Trump's popular vocabulary. such as 'tremendous'. คำว่า "Tremendous" แปลว่า "มหาศาล" Trump ชอบใช้คำนี้บ่อยๆ เวลาที่จะอธิบายถึงปริมาณหรือค่าคววามมากน้อยของเรื่องหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ดูอาจจะเป็นคำศัพท์ธรรมดา แต่ก็สังเกตได้ว่า Trump ชอบคำคุณศัพท์คำนี้ การเลือกใช้คำที่ Trump ชอบเป็นการเตือนความในใจว่ารู้จักกันดี อาจจะมีความหมายเชิงลบก็ได้หากเข้าใจเป้าหมายไปเป็นการล้อเลียน แต่เรื่องนี้คงไม่มีใครคิดมากเท่าผม |