THAIVISION
  • REFLECTION
  • ON PLANET EARTH
    • EARTH
  • AND BEYOND
  • THAILAND
    • KING BHUMIBOL
    • NATIONAL PARKS OF THAILAND >
      • KHAO YAI NATIONAL PARK
      • PHA TAEM NATIONAL PARK
      • PHU WIANG NATIONAL PARK
      • NAM NAO NATIONAL PARK
      • PHU HIN RONG KLA NATIONAL PARK
      • PHU KRADUENG NATIONAL PARK
      • PHU RUEA NATIONAL PARK
      • MAE YOM NATIONAL PARK
      • DOI SUTHEP-PUI NATIONAL PARK
      • DOI INTHANON NATIONAL PARK
      • THONG PHA PHUM NATIONAL PARK
      • KAENG KRACHAN NATIONAL PARK
      • MU KO ANG THONG NATIONAL PARK
      • MU KO SURIN NATIONAL PARK
      • MU KO SIMILAN NATIONAL PARK
      • HAT NOPPHARATA THARA - MU KO PHI PHI NATIONAL PARK
      • MU KO LANTA NATIONAL PARK
      • TARUTAO NATIONAL PARK
  • THE LIBRARY
    • THE GREAT ILLUSION/Norman Angell
    • MORNING WORLD BOOKS >
      • CASINO ROYALE
      • 1984
      • A BRIEF HISTORY OF TIME
      • A HISTORY OF THAILAND
      • CONSTITUTION OF THE UNITED STATES
    • DEMOCRACY IN AMERICA
    • FIRST DEMOCRACY
    • JOHN MUIR
    • MODELS OF DEMOCRACY
    • MULAN
    • THE VOYAGE OF THE BEAGLE
    • ON THE ORIGIN OF SPECIES
    • PHOOLAN DEVI
    • THE REPUBLIC
    • UTOPIA
    • A Short History of the World [H.G.Wells]
    • WOMEN OF ARGENTINA
    • THE EARTH : A Very Short Introduction
    • THE ENGLISH GOVERNESS AT THE SIAMESE COURT
    • TIMAEUAS AND CRITIAS : THE ATLANTIS DIALOGUE
    • HARRY POTTER
    • DEMOCRACY / HAROLD PINTER
    • MAGNA CARTA
    • DEMOCRACY : A Very Short Introduction
    • DEMOCRACY / Anthony Arblaster]
    • DEMOCRACY / H.G. Wells
    • ON DEMOCRACY / Robert A. Dahl)
    • STRONG DEMOCRACY
    • THE CRUCIBLE
    • THE ELEMENTS OF STYLE
    • THE ELEMENTS OF JOURNALISM | JOURNALISM: A Very Short Introduction
    • LOVE
    • THE EMPEROR'S NEW CLOTHES
    • THE SOUND OF MUSIC
    • STRONGER TOGETHER
    • ANIMAL FARM
    • POLITICS AND THE ENGLISH LANGUAGE
    • GEORGE ORWELL
    • HENRY DAVID THOREAU >
      • WALDEN
    • MAHATMA GANDHI
    • THE INTERNATIONAL ATLAS OF LUNAR EXPLORATION
    • พระมหาชนก
    • ติโต
    • นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ | A Man Called Intrepid
    • แม่เล่าให้ฟัง
    • SUFFICIENCY ECONOMY
    • พระเจ้าอยู่หัว กับ เศรษฐกิจพอเพียง
    • KING BHUMIBOL AND MICHAEL TODD
    • ... คือคึกฤทธิ์
    • KING BHUMIBOL ADULYADEJ: A Life's Work
    • THE KING OF THAILAND IN WORLD FOCUS
    • พระราชดำรัสเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ
  • IN MY OPINION
  • THAIVISION
  • SOMKIAT ONWIMON
    • MY STORY
    • THE DISSERTATION
    • THE WORKS >
      • MORNING WORLD
      • BROADCAST NEWS & DOCUMENTARIES
      • SPIRIT OF AMERICA
      • THE ASEAN STORY
      • NATIONAL PARKS OF THAILAND
      • HEARTLIGHT: HOPE FOR AUTISTIC CHILDREN IN THAILAND
    • KIAT&TAN >
      • TAN ONWIMON >
        • THE INTERVIEW


​THE LIBRARY

WHERE RESIDE THE WORLDS
Picture
Picture
เค้าโครงบทบรรยาย สำหรับผู้ฟังในต่างประเทศ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ใช้บรรยายโดยสมเกียรติ อ่อนวิมล ระหว่างปี 2011-2014 ที่อังกฤษ สเปน และ จอร์แดน

Picture

Picture
"ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกคน ให้มีความสุขความเจริญ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารภปรารถนา ในปีใหม่นี้ ขอให้ประชาชนชาวไทยตั้งใจให้เที่ยงตรงแน่วแน่ ไม่ว่าจะทำการสิ่งใดให้คิดให้ดีให้รอบคอบและรอบด้าน เพื่อให้การกระทำนั้นบังเกิดผลเป็นความสุขความเจริญที่แท้จริงและยั่งยืนทั้งแก่ตนเองและประเทศชาติ ขออนุภาพคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้มีความสุขสวัสดี พร้อมด้วยพรอันเป็นมงคลทุกประการสวัสดีปีใหม่" 

[พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุยเดชฯ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๙]

Picture

KING OF HEARTS
6 ธันวาคม 2014 
ชาวไทยในยุโรปสดุดีมหาราชา 

Lausanne / Switzerland

สรรเสริญพระบารมี
6 ธันวาคม 2557

Picture
Picture
Picture
๖๐ พรรษา เทพรัตนราช ปราชญ์ศึกษา
ปฏิทิน พุทธศักราช ๒๕๕๘ จัดทำโดย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

How do you see your duty as a king?                 "Soul of a Nation"
BBC Documentary 
(1979)                                                                   

David Lomax
ผู้ดำเนินรายการ
 
​กราบบังคมทูลถาม


"How do you see yourself as king?" 
"หน้าที่พระมหากษัตริย์นั้นเป็นอย่างไร?", 
"How do you see your duty as a King?, 


พระเจ้าอยู่หัว ทรงตอบ:
"ไม่ใช่เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเป็นคนตอบ, ข้าพเจ้าก็ทำในเรื่องงานที่เป็นประโยชน์, ก็เท่านั้นเอง","It's not for me to say, I do things that I think is useful, and that is all", พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตอบ 


BBC: “พระองค์ทรงคิดถึงหน้าที่การงานของพระองค์อย่างไร ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้? ห้องทรงงานในพระราชวังของพระองค์ดูราวกับจะเป็นศูนย์บัญชาการอะไรสักอย่าง ที่นี่พระองค์ทรงมีพระราชปรารภกับ David Lomax เกี่ยวกับงานของพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์”

David Lomax: “พระองค์ทรงมองงานในฐานะพระมหากษัตริย์อย่างไร? ทำไมพระองค์จึงทรงคิดว่าประเทศไทยควรจะต้องมีพระมหากษัตริย์ต่อไป?”

พระเจ้าอยู่หัว: "ไม่ใช่เรื่องที่ข้าพเจ้าจะเป็นคนตอบ, ข้าพเจ้าก็ทำในเรื่องงานที่ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นประโยชน์, ก็เท่านั้นเอง"

David Lomax: “แต่พระองค์ทรงคิดใช่ไหมว่า ในฐานะที่เป็นพระมหากษัตริย์ของไทย พระองค์ถึงได้มีโอกาสทำสิ่งที่พระองค์คิดว่าจะไม่มีทางทำได้ถ้าหากไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์?”

พระเจ้าอยู่หัว: “ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะนิยามคำว่า “พระมหากษัตริย์” อย่างไร มันเป็นปัญหาใหญ่ เพราะว่าในสถานภาพของข้าพเจ้า เขาเรียกข้าพเจ้ากันว่าเป็น “พระมหากษัตริย์” แต่ท่านก็เห็นแล้วว่าการงานที่ข้าพเจ้าทำนั้นมันไม่ใช่งานสำหรับพระมหากษัตริย์  มันเป็นงานที่ที่ไม่เหมือนกันงานของกษัตริย์จริงๆเลย มันจึงยากที่จะให้คำจำกัดความ ข้าพเจ้าทำสารพัดเรื่องที่จะเป็นประโยชน์ ก็เท่านั้นเอง ถ้าท่านจะถามข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้ามีแผนจะทำงานอะไร ก็ต้องตอบว่า “ไม่มี” ข้าพเจ้าไม่มีแผนอะไร ดูอย่างวันนี้ก็ได้ วันนี้เรามีงานบางอย่างที่จะทำ เราก็จะทำงานนี้ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่างานที่ว่านี้มันจะเป็นอย่างไร แต่เราก็จะทำงานที่ว่านั้นเพราะมันเป็นงานที่ดี จะเรียกว่าเป็นแผนงานก็ได้ แต่มันคือจิตวิญญาณของงาน[สำหรับพระมหากษัตริย์]”


David Lomax: พระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่างานหลักของพระองค์นั้นคืองานที่อยู่กับคนจนในชนบท ซึ่งเป็น 85% ของประชากรไทย พระองค์กับพระราชวงศ์ทรงงานหนักยิ่งนักในการแก้ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทรงไปเยี่ยมเยือนฟังทุกข์สุขของชาวบ้านอย่างสม่ำเสมอ แล้วใช้เงินของพระองค์เองทำโครงการด้านสุขภาพอนามัย, ผลิตข้าวปลาอาหารในชุมชนหมู่บ้าน, การชลประทาน, การศึกษา, เพื่อให้ชาวบ้านได้บริหารจัดการเองได้ต่อไป พระราชวงศ์ของพระเจ้าอยู่หัวใช้เวลาแบบนี้ปีละ 8 เดือน ไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าการปรากฏพระองค์เยี่ยมเยือนช่วยเหลือแก้ปัญหาให้ประชาชนแบบนี้เองที่เป็นเครื่องมือต้านภัยคุกคามจากลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ผลชงัดนัก

[ชาวบ้านพูดคุยกับพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินี]

สมเด็จพระราชินี: [คุณยาย]ต้องการให้มีใครถ่ายรูปให้ เอาลงหนังสือพิมพ์ แล้วส่งหนังสือพิมพ์ไปให้คุณยายด้วย เพราะคุณยายไม่มีเงินซื้อหนังสือพิมพ์ คุณยายรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เจอพระเจ้าอยู่หัว ... มีลูกหลานคน คนหนึ่งเป็นทหารรักษาพระองค์

พระเจ้าอยู่หัว: ไม่ว่าเราจะเดินทางไปที่ไหน ทุกหนแห่ง ประชาชนสนใจเรา ประชาชนมองมาดูเรา แต่ไม่อยากรบกวนเรา ประชาชนเขาต้องการเรียนรู้เรื่องการดำเดินชีวิต การกินการอยู่ การนั่งการเดิน ประชาชนไม่ได้มองดูเราด้วยความเป็นศัตรู หรือเพียงแค่อยากมาดูหน้าเราเท่านั้น เพราะว่าประชาชนเขามาแล้วมีความสุขมาก ท่านควรต้องรู้ว่าประชาชนนั้นมีแต่ความปราถนาดี และประชาชนมีความรู้สึกรักและผูกพันเป็นมิตรรักสนิทชิดเชื้อกันกับเรา เดี๋ยวนี้ดูแล้วเหมือประชาชนกับเราเป็นครอบครัวเดียวกันเป็นครอบครัวใหญ่ ประชาชนเหล่านี้ที่มาต้อนรับเรา เขาชอบเรา เราก็ชอบเขา เรารักเขา เขาก็รักเรา มันก็เลยไม่แรงกดดันอะไร

สมเด็จพระราชินี: พระเจ้าอยู่หัว และ พระราชินี ของไทย นั้นใกล้ชิดประชาชนอยู่เสมอ และประชาชนก็คิดถึงพระองค์เสมือนเป็นพระบิดาของชาติ ซึ่งนั่นก็คือเหตุผลที่ว่าทำไม่เราจึงไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวอะไรนักหนา

[ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ... 5 ธันวาคม 2557]

จากภาพยนตร์สารคดี BBC เรื่อง “Soul of a Nation” [1979]

https://www.youtube.com/watch?v=x-69TxgO6hc




King Bhumibol Adulyadej of Thailand 
and His Philosophy of Sufficiency Economy

Picture
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ 
กับ เศรษฐกิจพอเพียง



พุทธเศรษฐศาสตร์

เกือบ 2600 ปี มาแล้ว 586 ปีก่อนคริสตกาล พระพุทธเจ้าประสูติ ทรงเจริญวัย ออกผนวช แสวงหาความจริงแห่งชีวิตและสังคมมนุษย์ ศึกษาค้นคว้าหาทางให้มนุษย์ไปสู่สุขคติ จนได้ความจริง สอนหมู่ชนในชมพูทวีปอยู่จนครบ ปีที่ 80 แห่งพระชนม์ชีพ คำสอนส่วนหนึ่งเป็นหลักปรัชญาเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการเลี้ยงชีวิตโดยชอบ พอเหมาะพอควร และพอเพียง อันเป็นต้นกำเนิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่กำลังเจริญงอกงามอยู่ในแผ่นดินไทยปัจจุบัน ศาสตราจารย์ Ernst Friedrich Schumacher นักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมันค้นพบว่าพระพุทธเจ้าคือนักเศรษฐศาสตร์คนแรกบนโลกมนุษย์ที่สอนทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ท่านย้ำว่าเศรษฐศาสตร์แนวพุทธ หรือพุทธเศรษฐศาสตร์ นั้นมีจริงๆ จงอ่านพระไตรปิฎกเถิด จะพบความจริงนี้ใน มรรคแปด การเลี้ยงชีวิตชอบ เป็นหนึ่งในแปดหนทางไปสู่สังคมสงบสุขบริบูรณ์ เศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้านั้น ความสุขในจิตใจ กับ ความอุดมสมบูรณ์ทางวัตถุผสานผสมกลมกลืนกันได้ เทคโนโลยีสมัยใหม่สามารถมีบทบาทเสริมชีวิตเศรษฐกิจแบบที่เรียกว่า”การเลี้ยงชีวิตชอบ”ได้

ศาสตราจารย์ E.F. Schumacher ศึกษาศาสนาพุทธอย่างละเอียดลึกซึ้ง ในเชิงเปรียบเทียบกับโลกหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ว้าวุ่นไปด้วยการแสวงหาความมั่งคั่งทางวัตถุโดยเชื่อว่าจะเป็นที่มาของความสุขทางจิตใจโดยอัตโนมัติ
( Small is Beautiful หน้า 37)
“…countries invariably assume that they can model their economic development plans in accordance with modern economics, and they call upon modern economist from so-called advanced countries to advise them, to formulate the policies to be pursued, and to construct the grand design for development, the Five-Year Plan or whatever it may be called. No one seems to think that a Buddhist way of life would call for Buddhist economics, just as the modern materialist way of life has brought forth modern economics.”
“ประเทศทั้งหลาย ต่างก็คิดเอาว่าจะสามารถออกแบบวางแผนการพัฒนาเศรษฐกิจตามอย่างเศรษฐกิจสมัยใหม่ เชิญนักเศรษฐศาสตร์จากประเทศที่ว่ากันว่าเจริญแล้ว  พัฒนาแล้ว มาเป็นที่ปรึกษา ช่วยกำหนดสูตรการพัฒนาให้เป็นแนวนโยบายที่จะได้ปฏิบัติตาม สร้างแผนพัฒนาอันยิ่งใหญ่โอฬาร รียกว่า ”แผนพัฒนาห้าปี” หรือจะเรียกชื่ออื่นใดก็สุดแล้วแต่ ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครคิดได้เลยว่าวิถีชีวิตแบบชาวพุทธนั้นเองเป็นวิชาเศรษฐศาสตร์ตามแบบของศาสนาพุทธเองได้ ทำนองเดียวกันกับที่วิถีชีวิตสมัยใหม่ซึ่งนิยมความมั่งคั่งทางวัตถุ เป็นรากฐานของวิชาเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ ในปัจุบัน”

รัฐบาลอังกฤษส่งศาสตราจารย์ E.F. Schumacher เข้าไปเป็นที่ปรึกษา วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจให้กับพม่า ด้วยหลักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ แต่หลังจากใช้ชีวิตในพม่าเพียงไม่กี่เดือนก็เรียนรู้ว่าชาวพุทธในพม่าไม่มีความต้องการเศรษฐศาสตร์แบบตะวันตกเลย เพราะชาวพุทธมีความสุขพอเพียงแล้วกับเศรษฐศาสตร์วิถีพุทธ

  • ให้โอกาสชาวพุทธได้ใช้และพัฒนาความรู้ความสามารถของตน
  • ทำตนให้ปราศจากกิเลส ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเองแล้วหันไปร่วมงานกับผู้อื่นเพื่อประโยชน์ร่วมกันในสังคม และ
  • ช่วยกันผลิตข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น ซึ่งเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่เรียกว่า สินค้าและบริการเพื่อการดำรงชีพอยู่บนโลกมนุษย์นี้ร่วมกัน




นี่คือสามหลักสำคัญแห่งกิจกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งเป็นวิถีชีวิตตามคำสอนเรื่อมรรคแปด ในพระไตรปิฎก
มรรค คือ หนทางดับทุกข์ มี 8 ประการด้วยกัน 
  1. สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญาเห็นชอบ 
  2. สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริชอบ 
  3. สัมมาวาจา คือ เจรจาชอบ 
  4. สัมมากัมมันตะ คือ ทำการงานชอบ 
  5. สัมมาอาชีวะ คือ เลี้ยงชีวิชอบ 
  6. สัมมาวายามะ คือ เพียรชอบ 
  7. สัมมาสติ คือ ระลึกชอบ 
  8. สัมมาสมาธิ คือ ตั้งใจชอบ 

การทำงานที่ไร้เป้าหมาย น่าเบื่อ น่าเหนื่อยหน่าย ได้แต่ประโยชน์แก่ตนเองไม่เกิดประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมบ้างเลย หรือยากลำบากเกินประมาณจนไม่ได้พักผ่อน ไม่สนุก ไม่มีความสุข มิใช่หนทางของชาวพุทธ เศรษฐศาสตร์แนวพุทธอธิบายกระบวนการผลิตในเชิงเศรษฐศาสตร์แยกเป็นสองกระบวนการ คือ:

หนึ่ง กระบวนการผลิตที่เสริมสร้างเพิ่มพูนทักษะและพลังอำนาจในการผลิตของมนุษย์ เทียบได้กับเครื่องทอผ้าแบบกี่กระตุกทอด้วยฝีมือและแรงงานของมนุษย์เอง และ

สอง กระบวนการผลิตที่ใช้เครื่องจักรกลมากจนทำให้งานของมนุษย์กลายงานที่ทำโดยทาสของมนุษย์ คือเครื่องจักรกลที่มนุษย์ผลิตขึ้นเหล่านั้น แล้วตัวมนุษย์เองก็ต้องมาคุมเครื่องจักรกลให้ทำงานในการ ผลิตสินค้า มนุษย์จึงกลายเป็นทาสรับใช้เครื่องจักรกลที่มนุษย์ผลิตมากับมือ เทียบได้กับเครื่องจักรทอ ผ้าในโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งทำลายศิลปวัฒนธรรมอันเป็นทักษะชีวิตแห่งการผลิตเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ของมนุษย์ไปโดยสิ้นเชิง

(39)
“It is clear, therefore, that Buddhist economics must be very different from the economics of modern materialism, since the Buddhist sees the essence of civilization not in the multiplication of wants but in the purification of human character. Character, at the same time, is formed primarily by a man’s work. And work, properly conducted in conditions of human dignity and freedom, blesses those who do it and equally their products”
“เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพุทธเศรษฐศาสตร์นั้นต่างกับเศรษฐศาสตร์เชิงวัตถุนิยมสมัยใหม่ เพราะศาสนาพุทธมองว่าหัวใจของอารยะธรรมอันหมายถึงความเจริญมั่งคั่งของมนุษย์นั้นมิได้อยู่ที่การเพิ่ม การขยาย การเรียกร้องต้องการสิ่งต่างๆไปอย่างไม้รู้จบสิ้น การสร้างคุณลักษณะอันบริสุทธิ์ผุดผ่องทางศีลธรรมต่างหากที่เป็นอารยะธรรมที่แท้จริงในตัวมนุษย์ อารยะลักษณะที่ว่ามีในตัวมนุษย์นี้นั้นโดยพื้นฐานเกิดจากผลของกิจกรรมการงานของมนุษย์เอง และการงานที่มนุษย์ทำนั้นจะต้องทำอย่างพอเหมาะพอควรภายใต้เงื่อนไขที่เคารพศักดิ์ศรีและอิสรภาพในความเป็นมนุษย์ สรรเสริญคนที่เป็นผู้ผลิตผลงาน และชื่นชมยกย่องผลผลิตของคนคนนั้น อย่างเท่าเทียมเสมอกัน”

ศาสนาพุทธสอนว่าการที่คนมีงานทำทำให้เกิดความสุข มิใช่เพราะต้องการเงินค่าจ้างแต่เพราะต้องการงานที่ให้โอกาสในการแสดงออกซึ่งฝีมือและวินัยในการผลิตงานนั้นๆเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่สอนว่า ต้องเพิ่มผลผลิต เพิ่มกำไรด้วยการลดต้นทุนการผลิต ซึ่งย่อมหมายถึงการลดค่าจ้างแรงงาน และลดจำนวนคนทำงาน โดยใช้เครื่องจักรทำงานแทนมนุษย์

นักเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ สนใจแต่เรื่องสินค้า ส่วนพุทธเศรษฐศาสตร์สนใจเรื่องการพ้นทุกข์ พ้นจากความต้องการที่เกินจำเป็น ในเมื่อศาสนาพุทธสอนให้เดินทางสายกลาง เศรษฐศาสตร์แนวพุทธจึงไม่มีข้อขัดแย้งกับความมั่งคั่งทางวัตถุ หรือความสุขที่เกิดทางกายภาค

(40)
“It is not wealth that stands in the way of liberation but the attachment to wealth; not the enjoyment of pleasurable things but the craving for them.”
“มันไม่ใช่ว่าความมั่งคั่งจะเป็นอุปสรรคขวางทางไปสู่การหลุดพ้นจากทุกข์ แต่มันเป็นเรื่องของการยึดติดกับความมั่งคั่งต่างหากที่ทำให้พ้นทุกข์ไม่ได้; มันไม่ใช่ว่าการมีความรู้สึกเป็นสุขสนุกสนานกับสิ่งที่ทำให้เพลินเพลินจะเป็นปัญหาทำลายหนทางไปสู่ความหลุดพ้น หากแต่การใฝ่หาต่อสู้ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ก่อให้เกิดความสุขความบันเทิงนั่นต่างหากที่ทำให้มนุษย์ไม่มีวันพ้นทุกข์ได้”

(40-41)
“The keynote of Buddhist economics, therefore, is simplicity and non-violence. From an economist’s point of view, the marvel of the Buddhist way of life is the utter rationality of its pattern---amazingly small means leading to extraordinarily satisfactory results.”
“ดั่งนั้น หัวใจของพุทธเศรษฐศาสตร์ ก็คือ ความเรียบง่าย  และ การดำเนินชีวิตอย่างสันติ มองจากมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์แล้วก็พบว่าความวิเศษของวิถีชีวิตแบบชาวพุทธนั้นคือความมีเหตุมีผลอันเหมาะสมยิ่งนักในรูปแบบการดำเนินชีวิตเศรษฐกิจ---ใช้ทรัพยากรเพียงน้อยนิดอย่างน่าทึ่ง แต่ก็นำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจอย่างมากเป็นพิเศษยิ่งนัก”

Small Is Beautiful: Economics as If People Mattered
เล็กนั้นงดงาม : เศรษฐศาสตร์ประหนึ่งว่ามนุษย์นั้นมีความสำคัญ
โดย... Ernst Friedrich Schumacher


ชีวิตที่พอเพียง ไม่มาก ไม่น้อย ไม่ขาด ไม่เกิน เป็นปรัชญาแห่งพระพุทธองค์ ที่ได้รับการเผยแพร่ต่อไปยังโลกตะวันตก ในเชิงวิชาการเศรษฐศาสตร์ โดย ศาสตราจารย์ E.F. Schumacher ในหนังสือที่ท่านเขียน เมื่อปี ค.ศ. 1973 หรือ พ.ศ. 2516 หนังสือชื่อ “Small is Beautiful” หรือ “ความเล็กนั้นงดงาม” หมายถึงการดำรงชีวิตอย่างพอเหมาะพอควร การกินอยู่การผลิตการใช้ทรัพยากร อย่าให้มาก อย่าให้ใหญ่โตเกินจำเป็น ทุกเรื่อง ทุกสิ่งอย่างในชีวิตนั้น เล็กๆก็พอ นั่นคือ “ความเล็กนั้นงดงาม”

หนังสือที่ชื่อเต็มว่า “Small Is Beautiful: Economics as If People Mattered” หรือ “เล็กนั้นงดงาม : เศรษฐศาสตร์ประหนึ่งว่ามนุษย์นั้นมีความสำคัญ” เล่มนี้นั้น อธิบายความคิดเรื่องการอยู่อย่างเหมาะสมพอเพียง และใช้ทรัพยากรในโลกมนุษย์อย่างประหยัด ยั่งยืน ไม่คิดเรื่องกำไรขาดทุน ไม่สะสมความมั่งคั่งแบบนายทุนในโลกตะวันตก ไม่ใช้พลังงานจากธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำมัน ให้หมดไปด้วยความฟุ่มเฟือย อย่าคิดถึงเงิน ให้คิดถึงค่าของงานที่จะนำไปแลกกับสินค้า หากต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพการผลิต ก็ต้องใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ระดับปานกลาง  ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งและเพิ่มปริมาณการผลิตเพื่อหวังกำไรมากๆที่เป็นเงินเศรษฐศาสตร์ตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นเองที่เป็นหลักของเศรษฐศาสตร์แห่งความสุขความสงบของมวลมนุษย์บนโลก E.F. Schumacher ชื่นชมและต้องการให้ชาวโลกยึดเศรษฐศาสตร์แนวพระพุทธศาสนา ด้วยเหตุที่ว่ามนุษย์กำลังพัฒนาโดยใช้ทรัพยากรให้หมดไปอย่างรวดเร็ว โดยหาอะไรมาทดแทนไม่ได้ ส่วนที่ทดแทนกันใหม่ได้ มนุษย์ก็ไม่สามารถผลิตได้มากพอกับที่ใช้ไป มนุษย์ไม่คุ้นเคยกับคำว่า “พอเพียงในการดำรงชีวิต” มนุษย์บนโลกจะเพิ่มจำนวนมากขึ้น จะผลิต จะกิน จะใช้มากขึ้น พลเมืองโลกยุคอุตสาหกรรมใช้พลังงานเท่ากับทาสยุคโบราณ 200 คน ความดึงดันที่จะเปลี่ยนไปใช้พลังงานนิวเคลียร์แทนน้ำมันและถ่านหิน ก็ไม่มีทางประกันความปลอดภัยในการผลิตพลังงานและการเก็บกากนิวเคลียร์ได้ หาที่เก็บ ให้ปลอดภัยก็ไม่ได้ หากหาได้เวลาที่กว่าที่กัมมันตรังสีจะลดเหลือครึ่งหนึ่งก็นานถึง 6,000 ปี พลังที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งจะลดไปอีกเท่าไรในอีกกี่พันปีก็ไม่ทราบ จะให้ลดรังสีไปจนหมดนั้นก็ไม่มีทางเลย ดังนั้นความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจด้วยการเร่งเพิ่มการผลิตจึงเป็นทางสู่หายนะของมนุษยชาติ

“Small Is Beautiful”
คิดทำอะไรอย่างเล็กๆ แต่ให้งดงาม
เสนอแนวคิดให้มนุษย์หันไปอยู่กับธรรมชาติ

ใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อ “สุขภาพ” (Health)
ใช้ที่ดินเพื่อ “ความงาม” ในการดำรงชีวิต (Beauty), และ 
ใช้ที่ดินโดยยึดหลัก “ความยั่งยืน” (Permanence)

สำหรับคนยากจน หรือประเทศที่เรียกตัวเองว่ายากจน ด้อยพัฒนานั้น หนทางแก้ปัญหาความยากจนไม่ใช่การพัฒนาเศรษฐกิจแบบเร่งการผลิตและกระตุ้นการกินการจับจ่ายใช้สอย หรือเพิ่มการลงทุน E.F. Schumacher บอกว่าสาเหตุของความยากจนนั้นไม่ได้อยู่ที่การขาดความมั่งคั่งทางทรัพยากรธรรมชาติ หรือขาดเงินทุน หรือขาดโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ, ความยากจนมิใช่เรื่องการขาดน้ำขาดที่ดิน และขาดแร่ธาตุในดินม ความยากจนมิใช่เรื่องขาดเงิน

ความยากจนเกิดจากการ: 
ขาด “การศึกษา” 
ขาด “การจัดการ”  และ 
ขาด “การมีวินัย” 

การจับจ่ายใช้สอย หรือการอุปโภคบริโภค เป็นเพียงหนทางไปสู่ชีวิตที่เป็นสุขเท่านั้น ไม่ใช่ว่าชีวิตที่เป็นสุขมากที่สุดต้องเป็นชีวิตที่เอาแต่จับจ่ายใช้สอยให้มากที่สุดเป็นเงาตามตัว มนุษย์ที่ฉลาดต้องจับจ่ายใช้สอยให้น้อยที่สุดเพื่อให้ได้ชีวิตที่เป็นสุขมากที่สุด 

เมื่อทำความเข้าใจกับพุทธเศรษฐศาสตร์อย่างถ่องแท้แล้ว Schumacher กล่าวว่า ดูเหมือนว่าคนส่วนใหญ่ในโลก โดยเฉพาะรัฐบาล และ ธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆ ก็ยังไม่ยอมเชื่อในเศรษฐศาสตร์แนวพระพุทธเจ้า อยู่เช่นเดิม 

แต่นี่คือ “ความเล็กที่งดงาม” ที่กำลังก่อกำเนิดในราชอาณาจักรไทย ด้วยการสานต่ออมตะปรัชญาของมนุษยชาติที่เริ่มมาเมื่อกว่า 2500 ปีที่แล้ว

พระเจ้าอยู่หัว กับ เศรษฐกิจพอเพียง

วันที่ 18 กรกฎาคม 2517 ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า:

“... การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับชั้น  ต้องสร้างพื้นฐาน คือความพอมีพอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้น โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดและถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อได้พื้นฐานมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้วจึงค่อยเสริมสร้างความเจริญและฐานะเศรษฐกิจที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศ และประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆขึ้น ซึ่งอาจเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด...”

พอมี พอกิน พอใช้ มั่นคง สมดุล คือปรัชญาในการดำรงชีวิตที่พระองค์ทรงบอกกับพสกนิกรของพระองค์

วันเวลาผ่านไป 23 ปี พสกนิกรซึมซับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างช้าๆ ท่ามกลางความไม่มั่นใจว่าจะต่อสู้กับแนวคิดเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมสมัยใหม่อย่างไรดี

วันที่ 4 ธันวาคม 2540 พระองค์ทรงทบทวนให้ประชาชนของพระองค์ทำความเข้าใจอีกครั้งว่า:

“... การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินหมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ให้มีพอเพียงกับตัวเอง....”

ความพอเพียงนี้พระองค์มิได้หมายความว่าทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่ให้ตัวเอง แต่ว่าในหมู่บ้านจะต้องมีความพอเพียงพอสมควร บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไร ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก

เรื่องเศรษฐกิจแบบค้าขาย พระองค์ทรงอธิบายเปรียบเทียบกับภาษาอังกฤษ ที่ใช้คำว่า “Trade Economy” ไม่ใช่แบบพึ่งพาตนเอง ที่เรียกว่า “Self-Sufficient Economy” และ เศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง ก็ต่างไปจากเศรษฐกิจแบบพอเพียง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสร้างคำนิยามใหม่เป็นภาษาอังกฤษว่า “Sufficiency Economy” เศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง จะปฏิเสธผลผลิตจากโลกภายนอก ไม่ยึดทางสายกลาง ไม่เน้นการขยายกิจกรรมเข้าเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจแบบค้าขาย เศรษฐกิจแบบพอเพียง จึงก้าวหน้าล้ำความจำกัดของเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเองไปเคียงคู่ และท้าทายเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี เศรษฐกิจแบบพอเพียง หรือ Sufficiency Economy จึงเป็นวิวัฒนาการของปรัชญาเศรษฐศาสตร์แนวพุทธที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยทรงศึกษาค้นคว้าทดลอง วิจัย จนได้เป็นเสมือนทฤษฎีใหม่ในสาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ ที่นักเศรษฐศาสตร์และชาวโลกกำลังเฝ้าจับตามองว่า การทดลองในประเทศไทยจะส่งผลต่อโลกอย่างไร
แม้กาลเวลาจะผ่านไปแล้วกว่า 30 ปี นับจากวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัส แต่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ก็ยังไม่ได้กลายเป็นกระแสหลักของชีวิตเศรษฐกิจของชาวไทย แม้จะทรงมีพระราชดำรัสซ้ำอีกหลายครั้ง สังคมไทยก็ยังไม่หลุดพ้นจากกระแสทุนนิยมเสรี และวัตถุนิยมสากล ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงอธิบายเสริมว่า: 

“... ผู้ที่ชอบเศรษฐกิจแบบสมัยใหม่อาจจะไม่ค่อยพอใจ มันต้องถอยหลังเข้าคลอง มันจะต้องอยู่อย่างระมัดระวัง และต้องกลับไปทำกิจการที่อาจไม่ค่อยซับซ้อนนัก คือใช้เครื่องมือที่ไม่หรูหรา อย่างไรก็ตาม (ก็)มีความจำเป็นที่จะต้องถอยหลังเพื่อที่จะก้าวหน้าต่อไป และถ้าไม่ทำอย่างที่ว่าก็จะแก้วิกฤติการณ์นี้ยาก...”

ในหนังสือ ชื่อ “ตามรอยพระยุคลบาทสู่เศรษฐกิจพอเพียง” พิมพ์เป็นราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติคุณ โดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 สรุปว่า:

“เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 25 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ”

“เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนา และการบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์  

ความพอเพียง หมายถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่างๆมาใช้ในการวางแผนการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรมความซื่อสัตย์ สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม  ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความ รอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้าน วัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี”
เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญา อันเป็นแนวคิดที่ใช้ได้กับทุกคน ทุกสาขาอาชีพ ทุกระดับฐานะทางเศรษฐกิจ เป็นแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจของไทยให้มั่นคงยั่งยืนเศรษฐกิจพอเพียงทำให้ทุกคนรู้จุดพอเพียงของตน ณ จุดนี้เองที่ทำให้ชีวิตตนและครอบครัวเป็นสุข สังคมสงบร่มเย็น เอื้ออาทรต่อกัน เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์ ที่เริ่มตั้งแต่ครั้งพุทธกาล สร้างความสุขสมบูรณ์อย่างยั่งยืนให้กับชาวตะวันออกในอดีต ศึกษาและขยายความเข้าใจต่อมาโดยชาวตะวันตก และวิวัฒนาการความคิดใหม่อย่างเป็นระบบในภาคปฏิบัติโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดชแห่งราชอาณาจักรไทย

วิวัฒนาการเศรษฐกิจโลก

ชีวิตเศรษฐกิจของมนุษย์ กำเนิด ขึ้นพร้อมกับแรกเริ่มกำเนิดชีวิต วิวัฒนาการ ผ่านการทดลอง ปรับแปรรูปแบบกิจกรรม กลายมาเป็นวิถีชีวิตเศรษฐกิจที่แตกต่างหลากหลาย

อยู่มาวันหนึ่งในปี 2517 หลังวิกฤติการเมืองและสังคมครั้งประวัติศาสตร์ พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรีก็ทรงมีพระราชดำรัสต่อพสกนิกรของพระองค์ว่า การดำเนินชีวิตเศรษฐกิจของพสกนิกรของพระองค์นั้นต้อง “สร้างพื้นฐาน” ให้ “ถูกต้องตามหลักวิชา” ต้องสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจในราชอาณาจักรของพระองค์โดยยึดหลัก “ความพอมี พอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน”

ความคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดชมหาราชนั้น เสมือนสังคมในจินตนาการของมนุษย์โบราณกาล แรกเริ่ม ครั้งมนุษย์กำเนิดมาบนโลก มนุษย์ ดำรงชีวิตร่วมกับผลผลิตในธรรมชาติ แม้จะมีอย่างอุดมสมบูรณ์ แต่มนุษย์ก็ใช้กิน ใช้อยู่ เท่าที่จำเป็น

จำเป็นเท่าใด ก็พอเท่านั้น

Plato นักปราชญ์ชาวกรีซเล่าไว้เมื่อ 2400 ปีที่แล้วว่าในอดีตกาลนานก่อนที่มนุษย์จะรู้จักการบันทึกประวัติศาสตร์ได้ เล่ากันว่ามีดินแดนแห่งหนึ่งเรียกว่า Atlantis เจริญรุ่งเรื่องมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์

ชีวิตการเมืองมั่นคง
ชีวิตเศรษฐกิจมั่งคั่ง
ชีวิตสังคมสงบสุข บริบูรณ์

อยู่มาวันหนึ่ง Atlantis ก็ระเบิด พินาศ สลายล่ม จมลงสู่ พื้นมหาสมุทร มนุษยชาติจึงเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ นาน หลังจากนั้น อารยะธรรมตะวันตก ก็ได้ บันทึกประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ตามแนวประวัติศาสตร์ปรัชญาตะวันตกที่ยึดถือมาเป็นแบบแผนประเพณีทางวิชาการ 

ชาวยุโรป ฝันถึงสังคมบริบูรณ์ที่อยากให้เกิด ณ ที่ใดที่หนึ่ง เรียกเป็นภาษาละติน ว่าUtopia แปลว่า “Nowhere” “ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน”

ค.ศ. 1215 Magna Carta กฎบัตรที่ยิ่งใหญ่เสมือนรัฐธรรมนูญฉบับแรกของอังกฤษประกาศระบบเศรษฐกิจแบบเสรี หยุดการเอารัดเอาเปรียบเกษตรกร และพลเมืองผู้ยากจนทั้งหลาย

แนวคิดเศรษฐกิจแบบเสรี นำไปสู่ต้นแบบทฤษฎีเศรษฐกิจแบบทุนนิยม

“The Wealth of Nations” เขียนโดย Adam Smith เมื่อปี ค.ศ. 1776 ปัจจุบันยังเป็นตำราพื้นฐานของแนวคิดเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรีแม้ในปัจจุบัน ฝ่ายที่คิดแยกแตกต่างออกไปก็ทำนายว่า คนจนในสังคมจะลุกขึ้นต่อสู้กับนายทุนผู้ร่ำรวย ปฏิวัติ สร้างสังคมเศรษฐกิจใหม่ที่เท่าเทียมกันต้องรุนแรงแตกหัก ก่อนชีวิตความเป็นอยู่จะเป็นที่พึงพอใจ

มหาตมะ คานธี ผู้ต่อสู้กับเจ้าอาณานิคมอังกฤษในอินเดียเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว เสนอแนวทางเศรษฐกิจให้ชาวอินเดียพึ่งตนเอง ไม่พึ่งอังกฤษ โดยผลิตทุกอย่างใช้เอง โดยใช้เท่าที่มี ผลิตเองเท่าที่ทำได้ แต่แนวคิดนี้ก็เป็นเศรษฐกิจแบบพึ่งตนเอง หรือที่โลกรู้จักกันดีในคำภาษาอังกฤษว่า “Self-Sufficient Economy” ซึ่งต่างไปจาก “เศรษฐกิจแบบพอเพียง” หรือ “Sufficiency Economy” อันเป็นนิยามศัพท์เศรษฐศาสตร์ใหม่ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แห่งราชอาณาจักรไทย

ความพยายามทางเศรษฐกิจของมนุษยชาติ ดำเนินต่อไป แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ในโลกปัจจุบันนั้นมุ่งแต่การแสวงหาวัตถุ ต้องการความมั่งคั่ง มากขึ้น เพิ่มขึ้น ดีขึ้น ซับซ้อนขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น ยิ่งกว่าเดิม มากกว่าเดิม

ปรัชญาเศรษฐกิจตะวันตกแสวงหาสิ่งที่ต้องการ เพิ่มเติม ไม่รู้จบ ไม่มีจุดพอเพียง

ณ เวลานี้ โลกกำลังอยู่ในยุคเศรษฐกิจแบบวัตถุนิยมเสรี ขยายการผลิตต่อเนื่อง ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่มีขีดจำกัด ไม่มีจุดยุติ ทั้งๆที่โลกมนุษย์มีทรัพยากรให้มนุษย์ใช้อย่างจำกัด และมีจุดอวสาน เร่งพัฒนา
เร่งใช้ เร่งทำลาย แม้ว่าผู้ที่เข้มแข็งกว่าจะเจริญมั่งคั่งกว่าก็ตาม แต่ความสุขอันยั่งยืนของมนุษย์ในโลกโดยรวมก็หาได้ยากยิ่ง

เศรษฐกิจแบบพอเพียง กับ ทุนนิยมโลกาภิวัตน์

เศรษฐกิจแบบใดหรือที่จะสู้การค้าการลงทุนอย่างเสรีได้?
ทุนแบบไหนหรือจะสู้ทุนที่เป็นเงินตราและวัตถุ และเทคโนโลยีได้?

นี่คือคำถามอันท้าทาย ที่เป็นเสมือนคำประกาศความจริงโดยไม่ต้องรอคำตอบ

ประเทศไหนๆในโลกก็ยอมสยบให้กับการลงทุนข้ามชาติ เพราะเป็นการสร้างงาน สร้างผลผลิตในประเทศ ทั้งยังช่วยถ่ายทอดวิทยาการก้าวหน้าให้กับประเทศที่ยังไม่ก้าวหน้าได้เร็วทันใจ 

ชาติไหนๆก็ยอมอยู่ในกรอบของข้อตกลงการค้าเสรีตามกติกาขององค์การการค้าโลกเพราะโลกนี้เป็นโลกที่นำทางโดยประเทศ สังคม ที่ก้าวหน้าและพัฒนาสูงกว่า
​
เรียกว่าเป็นโลกแห่งโลกาภิวัตน์ ทุกอย่างจำต้องปรับเปลี่ยน และ ผันแปรไปตามใครก็ตามที่คุมอำนาจเป็นผู้นำ ทุนนิยมเสรี การค้าเสรี การลงทุนเสรี ข้ามชาติ ข้ามพรมแดน ข้ามแม้กระทั่งขอบเขตอำนาจแห่งรัฐ

แล้วปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่แนะนำโดยพระมหากษัตริย์ของไทย จะอยู่ได้อย่างไร?

หากอยู่ได้ จะอยู่ตรงไหนของปรัชญาและระบบเศรษฐกิจของโลก

Warren Buffett ตอนอายุ 77 ปี ในปี พ.ศ. 2550 ถือเป็นนักลงทุนชาวอเมริกันผู้ร่ำรวยที่สุดเป็นอันดับสองของโลก เขาได้บริจาคเงินงวดแรกเข้ามูลนิธิการกุศล ถึง 3 หมื่นล้านดอลล่าร์ หรือกว่า 1 ล้านล้านบาท 

ส่วน Bill Gates เจ้าของบริษัท Microsoft ได้ชื่อว่ามหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ก็สละทรัพย์ส่วนตัวจำนวนมหาศาลพอๆกันเพื่อแก้ปัญหาของมนุษยชาติ Warren Buffett แนะนำพ่อแม่ที่ร่ำรวยทั้งหลายในโลกว่า:

“Leave your children enough to do anything but not enough to do nothing”
“ทิ้งมรดกให้ลูกๆให้พอเพียงที่จะทำงานอะไรต่อมิไรต่อไปได้ แต่อย่าให้เสียมากเกินไป จนลูกๆไม่ต้อง ทำอะไรอีกเลยในชีวิต”

Warren Buffett ผู้บริจาคเงินช่วยชาวโลกผู้ยากจน 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กหลังเดิม ในเมือง Omaha รัฐ Nebraska ที่เขาซื้อมาในราคา $31,500 ดอลลาร์ เมื่อ ตอนอายุ 28 ปี

เศรษฐกิจแบบพอเพียง อาจกำลังค่อยๆซึบซาบเข้าเป็นวิถีชีวิตใหม่ในโลกตะวันตกแล้วก็เป็นได้

ในปี พ.ศ. 2550 โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Program - UNDP) จัดทำรายงานเรื่องการพัฒนาคนของประเทศไทย ลงความเห็นสนับสนุนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าจะช่วยพัฒนาคนไทยและสังคมเศรษฐกิจไทยไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคนไทยจะยึดมั่นและปฏิบัติอย่างจริงจังตามแนวคิดของพระองค์ ในเอกสารของ UNDP ย้ำความคิดแบบเศรษฐกิจพอเพียงว่ามีความสำคัญอย่างแท้จริง: 

เนื่องจากสังคมไทยส่วนใหญ่เป็นสังคมชนบท
มีความไม่เท่าเทียมกันของรายได้
สภาพแวดล้อมกำลังเสื่อมโทรม
สังคมกำลังกำลังสูญเสียรากฐานในท้องถิ่น
สังคมกำลังอ่อนแอลงมากในการควบคุมวิถีชีวิตของตนเอง

พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และโครงการตัวอย่างต่างๆของพระองค์จะช่วยฟื้นฟู จิตสำนึกของชุม ปลุกชุมชนให้เข้มแข็ง พึ่งตนเองให้ได้ สร้างเกราะป้องกันวิกฤติการณ์ที่มิได้คาดหวัง นำความพอประมาณจากศาสนาพุทธและความพอเพียงจากปรัชญาที่พระเจ้าอยู่หัวทรงสอน มาต่อสู้กับ เศรษฐกิจแบบวัตถุนิยม ความนิยมซื้อ นิยมใช้ที่ไร้ขอบขีดจำกัด นำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเผชิญ หน้าท้ากระแสโลกาภิวัตน์ สู้กันให้ได้ และสู้ได้แน่นอน

โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ บอกว่า: 

(UNDP – 20) “ความคิดแบบเศรษฐกิจพอเพียงนั้น ยึดความมีเหตุผล ความพอประมาณ การมีความรู้ และการมีคุณธรรม” 

UNDP เห็นด้วยว่าปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีพื้นฐานส่วนหนึ่งมาจากศาสนาพุทธ แม้จะเชื่อมโยงไม่ ได้ชัดเจนเป็นทางเดียว แต่ ทางสายกลาง ก็เป็นทางที่ศาสนาพุทธเริ่มต้นให้กับแนวคิดแบบพอเหมาะ พอควรและพอเพียง โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติอธิบายแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็นสากลยิ่งกว่าจะจำกัดให้เป็นอิทธิพลของพุทธศาสนาแต่เพียงศาสนาเดียว โดยอธิบายว่า:

(UNDP – 33) “ปรัชญาพื้นฐานของแนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์และโลก ซึ่งมีอยู่ในทุกศาสนา ไม่อาจกล่าวว่าแนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับ ศาสนาหรือวัฒนธรรมใดเป็นการเฉพาะ” ในภาคปฏิบัติ

(UNDP – 39 -40-41) เศรษฐกิจพอเพียงประสพผลสำเร็จแล้วในหลายพื้นที่ เช่นเครือข่ายอินแปงใน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจากการปลูกพืชเศรษฐกิจ มาสู่วนเกษตร ปลูกทุกสิ่งที่กิน กินทุกสิ่งที่ปลูก ใช้ ทุกอย่างที่ผลิต ผลิตทุกอย่างที่ใช้

(UNDP-45) สร้างวิสาหกิจชุมชน สร้างองค์ความรู้ให้ชุมชนเข้มแข็ง ในภาคธุรกิจเอกชนขนาดใหญ่

ตัวอย่างความสำเร็จปรากฏโดดเด่นที่เครือซิเมนต์ไทย ซึ่งประสิทธิภาพในการทำธุรกิจเติบโตควบคู่ไป กับการพัฒนาคุณภาพของคนในองค์กร ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้นเผชิญหน้าต่อสู้กันได้ กระแสทุน

นิยมโลกาภิวัตน์ไม่มีเป้าหมายเอาแพ้เอาชนะ แต่มุ่งผสมกลมกลืนกับโลกาภิวัตน์อย่างพอเหมาะพอควร และ ยั่งยืน 

เศรษฐกิจพอเพียงคือปรัชญา  ใช้ได้กับทุกชีวิต ทุกสังคม ทุกระดับเศรษฐกิจ กำเนิด เติบโต เป็นสมบัติทางความคิดของมนุษยชาติที่วิวัฒนาการมานานหลายพันปี จนเกิดเป็นแนวคิดที่เป็นระบบชัดเจน โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราชของปวงชนชาวไทย ผ่านกระบวนการ ทดสอบ ทดลอง จนปัจจุบันกำลังจะหยั่งรากลึกเป็นฐานแห่งวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวไทย เพื่อบอกชาวโลกว่า

ประเทศไทยนั้นมิได้แสวงหาความยิ่งใหญ่ แต่สงบสุข

ราชอาณาจักรไทยนั้น ... เล็ก และ งดงาม ... พอเพียง เพื่อ เพียงพอ.

5 ธันวาคม 2557
___________________________________________________________________________________________
อ้างอิง
  1. ตามรอยพระยุคลบาทสู่เศรษฐกิจพอเพียง มิติใหม่ของการพัฒนาเศรษฐกิจการเกษตร, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๔๔
  2. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้อยู่ในหัวใจนักปกครอง, กระทรวงมหาดไทย, ๒๕๔๒
  3. พระราชดำรัส พระราชทานเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐, คู่มือการดำเนินชีวิตสำหรับประชาชน ปี ๒๕๔๑ และ ทฤษฎีใหม่,  สำนักงานจัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ บริษัท มงคลชัยพัฒนา จำกัด  บริษัทบางจากปิโตรเลียมจำกัด (มหาชน)
  4. Schumacher, E.F., Small is Beautiful: Economic as if People Mattered, Harper Torchbooks, Harper & Row, Publisher, New York, London, 1973, 290 pages, ISBN 06-131-788-0

Picture
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระราชินี เสด็จเยี่ยมพสกนิกร และ ทรงพระบรรทมหนึ่งคืน ณ อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี วันที่ 20-21 กันยายน พ.ศ. 2498

The King and I
พระเจ้าอยู่หัวแห่งชีวิต

Picture
     ปี พุทธศักราช 2507 เป็นปีแรกที่ผมต้องจากบ้านสามชุก สุพรรณบุรี มาอยู่กรุงเทพมหานคร ในช่วงชีวิตที่ยังไม่พ้นวัยรุ่น ผมเข้ามาเรียนต่อที่วิทยาลัยครูจันทรเกษม ซอยสังขะวัฒนะ 2 ถนนลาดพร้าว 

         
ครั้งหนึ่ง วิทยาลัยครูจันทรเกษมเคยให้พวกเราเดินทางไปโบกธงชาติรอรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยู่ริมทางถนนพหลโยธิน 
          ครั้งนั้น ขบวนเสด็จผ่านไปเร็วเกินกว่าที่ผมจะมองเห็นพระองค์และสมเด็จพระราชินีในรถยนต์พระที่นั่งได้ชัดเจน แต่ก็ถือเป็นบุญแห่งชีวิตเด็กหนุ่มลูกแม่ค้าขนมถ้วยคนทำไร่ทำนาธรรมดาอย่างผมเป็นล้นพ้น บันทึกได้ว่าเป็นช่วงเวลาของชีวิตที่ผมรู้สึกตื่นเต้นตรึงใจเป็นที่สุด ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีโอกาสใกล้ชิดพระเจ้าอยู่หัวของแผ่นดินที่พ่อผมใช้ปลูกข้าวและทำนาแห้วมานานปี ผมทราบดีว่าไร่นาที่บ้านผมใช้พักพิงและทำกินอยู่นั้น แม้เป็นทางการจะมีหลักฐานเอกสารบ่งบอกว่าเป็นของครอบครัวพ่อแม่ผม แต่โดยทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแล้ว แผ่นดินที่ผมอยู่อาศัยและใช้ทำกินนั้น โดย “ทางกาล” แล้ว เป็นของพระเจ้าอยู่หัวทุกตารางนิ้ว 

          เพราะผมเป็นพสกนิกรแห่ง “ราชอาณาจักรไทย” ผมจึงสำนึกเสมอว่าพื้นที่ทุกส่วนของแผ่นดินไทยล้วนเป็นแผ่นดินของพระราชาทั้งสิ้น ตำราประวัติศาสตร์ไทยที่ผมเล่าเรียนเขียนอ่านมาแต่วัยเด็กบ่งบอกถึงพระราชวิริยะอุตสาหะของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ ที่ทรงสร้างบ้านแปงเมือง ปกป้องแว่นแคว้น ขยายดินแดน เพื่อสถาปนาความมั่นคงยั่งยืนให้กับราชอาณาจักรและพสกนิกรพลเมืองสยามประเทศของพระองค์ 

          ทรงทำเช่นนี้ต่อเนื่องมา ทุกราชวงศ์ ทุกช่วงสมัยในกาลอดีต 
          ตั้งแต่ก่อนเริ่มสมัยราชอาณาจักรสุโขทัย 
          มาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ปัจจุบัน 

          ผมจึงไม่เคยมีคำถามให้กังวลสงสัยถึงความยิ่งใหญ่ของชนชาติไทยว่า...มีความเป็นมาอย่างไร...และใครคือผู้สร้างแผ่นดินไทยให้เราได้อยู่และเติบโตร่มเย็นเป็นสุขมาจนทุกวันนี้ 

          ยิ่งด้วยเหตุที่ว่าผมเป็นชาวสุพรรณฯ ผมจึงรู้เรื่องดอนเจดีย์ แดนยุทธหัตถีที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงชนช้างชนะพระมหาอุปราชาแห่งพม่า ทำให้ชนชาติไทยได้คืนเอกราชและความยิ่งใหญ่ของแผ่นดินไทยกลับคืนมา ประวัติศาสตร์ไทยทุกช่วงเวลาบอกย้ำกับผมทุกนาทีว่าแผ่นดินไทยทุกถิ่นฐานเป็นแผ่นดินของพระเจ้าอยู่หัว เป็นดินแดนของพระราชา เป็นราชอาณาจักรที่ยืนยงคงอยู่อย่างยิ่งใหญ่มาจนทุกวันนี้ก็เพราะสถาบันพระมหากัตริย์ ด้วยความยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ เป็นเวลายาวนานเกือบพันปีแล้ว

          ปีแรกที่ผมมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ผมคอยโอกาสที่จะไปชมพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ณ ท้องสนามหลวง เพราะเหตุที่ใครต่อใครก็บอกกับพ่อผมมานานหลายปีแล้วว่าในพระราชพิธีนี้หากใครได้ไปร่วมชมแล้วอาจโชคดีได้รับข้าวเปลือกที่หว่านในพระราชพิธีมาผสมกับข้าวปลูกในนาก็จะเป็นศิริมงคลอย่างที่สุด ผมจึงไปยืนชมพระราชพิธี แรกนาฯกับเขาด้วย แม้จะอยู่ไกลจากบริเวณงาน แต่พอถึงเวลางานเลิกแล้วผมก็วิ่งแหวกฝูงชนเข้าไปกวาดเก็บเศษข้าวเปลือกมาได้หนึ่งกำมือใส่กระเป๋ากางเกง ทั้งเศษดินฝุ่นทั้งข้าวเปลือก นำกลับไปสุพรรณฯให้พ่อวางขึ้นหิ้งบูชาที่บ้านสามชุก รอเวลาที่จะไปผสมกับพันธุ์ข้าวปลูกในหน้าทำนาต่อไป 

          เป็นพระมหากรุณาธิคุณที่นาข้าวของพ่อได้พันธุ์ข้าวเปลือกมหามงคลจากท้องสนามหลวงในปีนั้น

          บ้านผมมีที่ดินเพียง10 ไร่ แบ่งทำนาราว 6 ไร่ ที่เหลือเป็นสระน้ำ ปลูกไม้ยืนต้นและส้มสุกลูกไม้ผลไม้พื้นบ้านตลอดจนแปลงผักสวนครัว ทำลานตากข้าว และแบ่งที่สำหรับปลูกบ้านอยู่อาศัย ในสมัยนั้นยังไม่มีคำว่า “ไร่นาสวนผสม” ยังไม่เกิด “ทฤษฎีใหม่” ยังไม่มีใครรู้จัก “เศรษฐกิจพอเพียง” แต่สิ่งที่ "พ่ออุย" และ "แม่แม้น" ของผมทำก็มีคุณค่าใกล้เคียงกับ “เศรษฐกิจพอเพียง” และ “ทฤษฎีใหม่” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพร่ำสอนพสกนิกรของพระองค์ในยุคปัจจุบัน

          ปี พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชีนีนาถเสด็จเยือนโครงการชลประทานอำเภอสามชุกของผม ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่ผมเป็นเด็กเกินกว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับเสด็จแบบใดๆได้ แต่กระนั้นครอบครัวของผมก็ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงตามปรัชญาเศรษฐกิจของพระเจ้าอยู่หัวมาตั้งแต่ผมจำความได้แล้วนานหลายปี ก่อนที่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจะได้รับการประกาศโดยพระราชดำรัสอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 
          พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานน้ำให้ชาวสุพรรณได้ทำนาอย่างอุดมสมบูรณ์ตั้งแต่ก่อนผมเกิดแล้ว
          ในวัยแรกเริ่มต้นชีวิต ถึงผมจะไม่เคยมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิดเลย แต่ผมก็ถือเอาเองว่าผมและพ่อแม่พี่น้องผมทุกคนได้ใช้ชีวิตในแนวทางที่ใกล้ชิดกับปรัชญาของพระองค์อย่างแนบแน่นที่สุดมาโดยตลอด 
          อาจจะด้วยผลแห่งบุญกรรมที่ทำไว้แต่ใดมาก็เกินกว่าที่ผมจะอธิบายได้ ในที่สุดผมก็ได้มีโอกาสได้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทอย่างที่ไม่เคยนึกว่าจะมีโอกาสเช่นว่านี้มาก่อนเลย ในฐานะอาจารย์บรรจุใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2516 ข้ามมาถึงปีพระราชทานปริญญาบัตร ปีถัดมา ผมได้รับหน้าที่เป็นผู้ถือพานถวายใบปริญญาบัตรในพิธี ณ หอประชุมใหญ่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยหัวใจอันระทึก ผมนั่งพับเพียบ ทางเบื้องขวาล่างของพระเก้าอี้ประทับ ผมทำหน้าที่ขยับเล่มปริญญาบัตรให้ได้เหลี่ยมมุมเพื่อพระองค์จะได้ทรงหยิบไปพระราชทานให้บัณฑิตต่อไปโดยสะดวก ผมได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดพระหัตถ์ขวาของพระเจ้าอยู่หัวอย่างที่ไม่เคยมีใครในจังหวัดสุพรรณบุรีได้โอกาสใกล้ชิดเช่นนั้นเลย ผมแอบเงยขึ้นมองพระหัตถ์ที่ทรงเอื้อมลงมาที่พานวางใบปริญญาบัตร และแอบมองเลยขึ้นไปถึงพระพักตร์ด้วยสองสามครั้ง. เป็นความใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทและพระหัตถ์โดยตรงเป็นครั้งแรกในชีวิตของผม

          กาลผ่านไป ผมผันแปรชีวิตจากนักวิชาการไปเป็นสื่อสารมวลชนนักจัดรายการวิทยุ เป็นนักข่าวและผู้ประกาศข่าวโทรทัศน์ จากการจัดรายการวิทยุ “โลกยามเช้า” ของผมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 ทำให้ผมมีโอกาสถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีผ่านสื่อวิทยุกระจายเสียงของผมเองได้โดยตรงทุกปี ยิ่งเมื่อทราบในเวลาต่อมาว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงงานไปจนถึงเช้ามืดแล้วทรงฟังรายการวิทยุ “โลกยามเช้า” ของผมด้วยก่อนเข้าพระบรรทม ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นและทราบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่สุดแห่งชีวิต  ณ เย็นวันที่ 4 ธันวาคม ปีหนึ่ง ระหว่างมีพระราชดำรัสเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ถ่ายทอดสดเสียงออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยในเวลาประมาณ 16:00 น. และบันทึกเทปออกอากาศโดยโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยในเวลาค่ำหลัง 20:00 น. ปรากฏว่ามีเสียงโทรศัพท์มือถือดังแทรกขึ้นมาระหว่างมีพระราชดำรัสและออกอากาศอยู่ พอถึงในเช้าวันรุ่งขึ้นผมก็วิจารณ์เรื่องนี้ในรายการวิทยุ “โลกยามเช้า” ของผมทันทีอย่างไม่ยั้งคิดว่า “ยุคที่โทรศัพท์มือถือกำลังเป็นของใหม่นี้นั้นทุกคนควรระมัดระวัง โดยเฉพาะในงานพิธีสำคัญๆก็ไม่ควรเปิดโทรศัพท์ทิ้งไว้เพราะอาจเกิดเหตุไม่พึงประสงค์ดังที่เกิดในระหว่างมีพระราชดำรัสเมื่อวานนี้ได้”... 

           “ใครหนอช่างไม่ระมัดระวังเอาเสียเลย ทำไม่ไม่รู้จักปิดโทรศัพท์
           เสียก่อนจะเข้าเข้าร่วมงานพิธีสำคัญเช่นนี้”, 
 
           ผมบ่นดังๆในรายการวิทยุของผมที่ FM 90 กองพลที่ 1 
           รักษาพระองค์ 

          เนื่องจากรายการ “โลกยามเช้า” ของผมมีผู้ฟังมาก ผู้ฟังผู้ใกล้ชิดในพระองค์ก็แจ้งให้ผมทราบทันทีหลังคำวิจารณ์ตอนเช้าว่า สมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาสยามบรมราชกุมารี คือเจ้าของโทรศัพท์มือถือเครื่องที่เป็นปัญหาเครื่องนั้น! 

          ทราบแล้วหัวใจผมแทบหยุดเต้น 
          หากเป็นสมัยโบราณหัวผมคงหลุดจากบ่าไปแล้ว 
          คำวิจารณ์โดยขาดการยั้งคิดของกระผมกลายเป็นการวิจารณ์
          อันมิบังควร ไม่สมควรจะได้รับพระราชทานอภัยโทษใดๆเลย.

          คุณปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา เจ้านายของผมและเจ้าของกิจการธุรกิจสื่อสารมวลชนที่ผมเป็นลูกจ้างในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ได้ก่อตั้งสถานีวิทยุ จ.ส.100 วิทยุข่าวสารและการจรจรในปี พ.ศ. 2534 โดยทราบกันดีเป็นการภายในว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยในงานของ จส.100 มาก และทรงสนพระทัยอย่างใกล้ชิดในแทบทุกเรื่องที่ จส.100 ทำและเป็นประโยชน์ต่อพสกนิกรของพระองค์ จนอยู่มาวันหนึ่งพระองค์ทรงพระราชทานพระราชวโรกาสให้คุณปีย์ นำผมและคณะผู้ประกาศของ จส.100 ราว 20 คนเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ทรงให้เวลาเข้าเฝ้านานถึงกว่าสองชั่วโมง ทรงมีพระราชปรารภเรื่องต่างๆเกี่ยวกับการทำงานของ จส.100 โดยเฉพาะการทำงานแปลกๆใหม่ๆของพวกเราที่สังคมไทยไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน ส่วนความผิดพลาดล่วงเกินของผมในรายการวิทยุ “โลกยามเช้า” ของผม ตอนที่วิจารณ์เรื่องโทรศัพท์มือถือของสมเด็จพระเทพฯดังผิดกาละเทศะในวันเฉลิมพระชนมพรรษานั้น ตลอดจนการวิจารณ์ข่าวสารการเมืองต่างๆของผมนั้น พระองค์ทรงบอกว่า : 

          “ยกให้คุณสมเกียรติเขาไปคนหนึ่งก็แล้วกัน”

          เป็นอันว่าข้าพระพุทธเจ้าได้รับพระราชทานอภัยโทษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว จะเรียกว่าอย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ตาม!
          นั่นเป็นความใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทอีกครั้งหนึ่งในชีวิต ใกล้ชิดในระดับเกือบพระอาญามิพ้นเกล้า ดุจเป็นพระราชกระแสรับสั่งชุบชีวิตให้กับผม 


          จากวันนั้นถึงวันนี้ ผมมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวอีกในสถานภาพเป็นทางการตามตำแหน่งหน้าที่ในชีวิตที่ผันแปรไป ในฐานะ :

สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540
สมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2543
สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ พ.ศ. 2550

          มาวันนี้ วันที่ 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2557 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุ ครบ 87 พรรษา  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของผมและของประชาชนชาวไทยทั้งมวลทรงเข้าสู่ช่วงพระชนม์ชีพที่จะต้องทรงพักผ่อนพระวรกายให้มากหลังทรงตรากตรำพระราชภารกิจมายาวนานมากที่สุดกว่าพระมหากษัตริย์พระองค์ใด ในพระราชอาณาจักรใด บนโลกมนุษย์นี้ 

          เมื่อปี พ.ศ. 2554 พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสสั้นๆถึงความห่วงใยต่อพสกนิกรของพระองค์ โดยเฉพาะในภาวะวิกฤติจากน้ำท่วมใหญ่ในปีนี้ พระองค์ทรงเตือนให้พวกเราเร่งช่วยกันแก้ปัญหาให้กับประชาชน พระองค์ทรงย้ำตอนหนึ่งว่า: 

         “โดยเฉพาะขณะนี้ ประชาชนกำลังเดือดร้อนลำบากจากน้ำท่วม จึง
           ชอบที่จะร่วมมือกัน ปัดเป่าแก้ไขให้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว และจัดทำ
         โครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน อย่างเช่น โครงการต่างๆ ที่
        เคยพูดไปนั้นเป็นการแนะนำ ไม่ได้สั่งการ แต่ถ้าเป็นการปรึกษากัน
         แล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ คุ้มค่า และทำได้ก็ทำ ข้อสำคัญจะต้องไม่
           ขัดแย้งแตกแยกกัน หากจะต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกันเพื่อให้
          งานที่ทำบรรลุผลที่มีประโยชน์ เพื่อความผาสุกของประชาชน และ
           ความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ”

           พระราชดำรัสของพระองค์ในปี 2554 นั้น สะท้อนความเป็นนักประชาธิปไตยของพระองค์อย่างสูงสุดยอด สะท้อนความเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้กฎเกณฑ์ใหม่ของราชอาณาจักรที่พระองค์ทรงมอบอำนาจการปกครองโดยตรงไปให้ประชาชนจนหมดสิ้นแล้ว ภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็นกรอบประชาธิปไตยตามแบบตะวันตก ซึ่งเราเริ่มใช้กันมาได้เพียง 82  ปี ต่างไปจากศิลาจารึกหลักที่ 1 สมัยพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งเป็นเสมือนรัฐธรรมนูญฉบับ (หรือหลัก) แรกของไทยที่บัญญัติขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ไทยในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เมื่อกว่า 700 ปีมาแล้ว 

พระองค์ทรงทราบดีว่าไม่มีพระราชอำนาจจะสั่งการใดให้รัฐบาลทำสิ่งใดได้ ไม่ว่าจะรัฐบาลไหน แต่พระองค์ก็ทรงหวังว่าแนวพระราชดำริของพระองค์จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนของพระองค์ หากรัฐบาลเห็นพ้องด้วยว่าควรปฏิบัติตามเพราะเป็นประโยชน์ 

       “ทำได้ก็ทำ”

        ก็เท่านั้นเอง...ที่พระเจ้าอยู่หัวทรงคาดหวังจากรัฐบาลและพสกนิกรของพระองค์

          สำหรับผม พระราชดำรัสทุกกระแส 
          ผมไม่ต้องปรึกษาใครให้ขัดแย้งกับใคร 

          ผมปฏิบัติตามได้เสมอทุกเรื่อง 
          ผมเองทำตามพระราชดำริมาตลอดชีวิต
          และจะทำต่อไปจนวาระสุดท้ายแห่งชีวิต 

          เพราะพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช…
          คือ...พระเจ้าอยู่หัวแห่งชีวิต...ของผม.

5 ธันวาคม 2557

หนังสือเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
Books on  the Monarchy

Picture
THE KING OF THAILAND IN WORLD FOCUS
[Foreign Correspondents' Club of Thailand]
Picture


พระราชดำรัสพระเจ้าอยู่หัว
​เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง

4 ธันวาคม 2541 

พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 4 ธันวาคม 2541 เนื่องในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา 5 ธันวาคม 2541 โดยมี ฯพณฯนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย เป็นผู้กราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายเรื่อ­ง"เศรษฐกิจพอเพียง" เป็นเรื่องสำคัญ พระองค์ทรงต้องมีพระราชดำรัสซ้ำย้ำอีกครั้­งในปีนี้ เพราะที่ทรงอธิบายไปแล้วปีก่อนหน้านั้นก็ยังไม่เข้าใจถ่องแท้ 

พระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงครั้งแรก­เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2517 ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ :
"การพัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับ­ชั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือความพอมีพอกิน พอใช้ ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้น โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดและถูกต้องตามหลักวิชา" 

พระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ในวันที่ 4 ธันวาคม 2540 :
"รู้ว่าท่านทั้งหลายกำลังกลุ้มใจในวิ­กฤติการณ์ ตั้งแต่คนที่มีเงินน้อย จนกระทั่งคนที่มีเงินมาก แต่ถ้าสามารถที่จะเปลี่ยนให้กลับเป็นเศรษฐ­กิจแบบพอเพียง ไม่ต้องทั้งหมด แม้จะไม่ถึงครึ่ง อาจจะเศษหนึ่งส่วนสี่ ก็จะสามารถที่จะอยู่ได้" 

พระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงวันที่ 4 ธันวาคม 2541 พระเจ้าอยู่หัวทรงอธิบายเรื่องความพอเพียง­ในด้านที่มิใช่เศรษฐกิจด้วย :
"คำว่าเศรษฐกิจพอเพียงนี้ไม่มีในตำรา ไม่เคยมีระบบเศรษฐกิจพอเพียง..เศรษฐกิจพอเ­พียงนี้กว้างขวางกว่า "self-sufficiency"...พูดจาก็พอ­เพียง...ปฏิบัติก็พอเพียง...ความคิดก็เหมื­อนกัน...ถ้าใครมีความคิดอย่างหนึ่ง การพอเพียงในความคิดก็คือแสดงความคิดของตั­ว ความเห็นของตัว และปล่อยให้อีกคนพูดบ้าง และมาพิจารณาว่า ที่เขาพูดกับที่เราพูด อันไหนพอเพียง อันไหนเข้าเรื่อง ถ้าไม่เข้าเรื่องก็แก้ไข เพราะว่าพูดกันโดยที่ไม่รู้เรื่องกันมันก็­เป็นการทะเลาะ จากการทะเลาะด้วยวาจา ก็กลายเป็นการทะเลาะด้วยกาย ซึ่งในที่สุดก็นำไปสู่ความเสียหาย...ถ้าพูดไม่เข้าใจปีนี้ก็อาจจะต้องอธิบายต่อปีหน้า."

21 มกราคม 2558

ลง Youtube 25 พฤศจิกายน 2554
on YOUTUBE > https://www.youtube.com/user/somkiatonwimon/videos
พระเจ้าอยู่หัว กับ เศรษฐกิจพอเพียง 4 ธันวาคม 2541 >  
https://www.youtube.com/watch?v=4A4IP0R9Kks
Picture

Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ 
กับ การป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ

19 กันยายน 2538

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งเรื่อง การป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ 2538
ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย
เวลา 20:40-22:45 
19 กันยายน 2538









​@Youtube:
http://www.youtube.com/user/somkiatonwimon
http://www.youtube.com/watch?v=wnBFkXUeblo&feature=share

       วันที่ 18 กันยายน 2538 ฝนตกหนักในกรุงเทพฯ พายุดีเปรสชั่น Ryan ทำให้ฝนตกมากเหนือประเทศไทยและกรุงเทพฯ น้ำเหนือไหลบ่าลงมาจะเข้าท่วมกรุงเทพฯ การระบายน้ำออกจากเขื่อนสิริกิติ์ทำมากกว่าเขื่อนภูมิพล สร้างปัญหาน้ำจะเข้าท่วมกรุงเทพฯปี 2538
ทันทีในวันรุ่งขึ้น วันที่ 19 กันยายน 2538 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกประชุมข้าราชการที่เกี่ยวข้องเป็นการด่วน ทรงอธิบายต่อที่ประชุมฉุกเฉินข้าราชการกรมชลประทาน (อธิบดี และ รองอธิบดี -ปราโมทย์ ไม้กลัด, สวัสดิ์ วัฒนายากร, รุ่งเรือง จุลชาต),  ผู้ว่าฯกทม. (กฤษฎา อรุณวงษ์ ณ อยุธยา), ปลัด กทม. (ประเสริฐ สมะลาภา) และองคมนตรี ที่มีความชำนาญเรื่องน้ำและวิศวกรรม รวมทั้งข้าราชการผู้ชำนาญเรื่องน้ำอีกหลายท่าน ทุกคนนั่งร่วมโต๊ะประชุมแบบล้อมวงรีร่วมกับพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงรับสั่งให้เร่งแก้ปัญหาพร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดทางวิชาการ วิธีการทำงานป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ ให้นำ้ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ตำ่ตามธรรมชาติของน้ำ

        พระองค์ทรงวิจารณ์พร้อมข้อมูลสนับสนุนว่า เมื่อเกิดพายุดีเปรสชั่น Ryan ฝนตกมาก น้ำเหนือเขื่อนใหญ่ต้องระบายออก แต่ก็ทรงให้พระราชวินิจฉัยว่าปล่อยน้ำออกจาก "เขื่อนพระราชินี" (เขื่อนสิริกิติ์) มากเกินไป แต่ทำไมจึงระบายน้ำจาก"เขื่อนพระราชา" (เขื่อนภูมิพล) ออกมาน้อยมาก ที่ถูกควรเร่งระบายน้ำจาก"เขื่อนพระราชา" ให้มากกว่าจาก    "เขื่อนพระราชินี"
        ในเรื่องเขื่อนนั้นโครงการเขื่อนป่าสัก และเขื่อนแก่งเสือเต้นมีความสำคัญมาก และควรจะได้ทำความเข้าใจกับประชาชนที่คัดค้านโครงการแก่งเสือเต้นให้ดี 
การจัดการปัญหาเรื่องความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านที่จะทะเลาะทำลายคันกั้นน้ำของกันและกันก็เป็นปัญหาที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนไว้ด้วยความห่วงพระทัย และย้ำให้รัฐบาลดูแลประชาชนให้ดีก่อนจะเกิดน้ำท่วม ลงทุนป้องกันมิให้เกิดน้ำท่วม จะดีกว่าประหยัดกว่าการฟื้นฟูซ่อมแซมและช่วยประชาชนเมื่อเสียหายหมดแล้วหลังน้ำท่วม
        ทรงให้ขุดตัดถนนที่ขวางทางน้ำ  ขุดใต้ทางรถไฟ หาทางให้น้ำไหลลอดออกลงคลองระบายน้ำ เพื่อให้ลงทะเลไปโดยเร็ว ทรงรับสั่งทำให้เสร็จในสามวัน ส่วนโครงการใหญ่ระยาวก็ทรงให้เตรียมการขุดขยายคูคลองระบบประตูระบายน้ำและเครื่องสูบน้ำต่างๆ การทำความเข้าใจกับประชาชนที่อาจต้องเสียสละและอาจต้องโยกย้ายออกจากที่สาธารณะริมคลองต่างๆ ใครที่ละเมิดไม่ร่วมมือก็อาจจำเป็นต้องใช้กฎหมาย

        ผมได้ดูวิดีโอเทปม้วนนี้ทั้งหมดแล้ว ยาว 2 ชั่วโมง โดยชั่วโมงแรกเป็นเรื่องการป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ ชั่วโมงที่สองเป็นเรื่องโครงการอื่นในภาคใต้และภาคตะวันออก เช่นโครงการพัฒนาลุ่มน้ำปากพนัง โครงการเขื่อนป่าสัก เขื่อนแก่งเสือเต้น ฯลฯ

        เทประบบVHS ม้วนนี้เป็นของส่วนตัวที่ผมเก็บไว้ตั้งแต่ปี 2538 ดูจบแล้วเกิดความ
        เข้าใจดีมาก ตามที่พระเจ้าอยู่หัวทรงอธิบาย

        ผมได้ upload ขึ้น Youtube เสร็จเรียบรอยแล้วเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2554 

        เชิญท่านท่ีสนใจเข้าไปดูได้ที่:

Youtube:

http://www.youtube.com/watch?v=wnBFkXUeblo&feature=share
http://www.youtube.com/user/somkiatonwimon

28 ตุลาคม 2554


Picture
Picture
ติโต  | Tito 
[Ballantine's illustrated history 
 the violent century War leader book, no. 10]
โดย Phyllis Auty
พระราชนิพนธ์แปล
โดย  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

__________________________________________________

หนังสือชื่อ “ติโต” พระราชนิพนธ์แปลโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2535 เล่มนี้ ในคำนำชี้แจงว่าทรงแปลจากต้นฉบับเรื่อง TITO ของ Phyllis Auty เพื่อให้ข้าราชบริพารได้ทราบถึงบุคคลที่น่าสนใจคนหนึ่งของโลก แต่ในคำนำมิได้ลงรายละเอียดว่าเป็นหนังสือชื่อ Tito เล่มใดของ Phyllis Auty ในจดหมายอนุญาตเรื่องลิขสิทธิ์จากสำนักพิมพ์ Ballantine ก็บอกเพียงว่ายินดีที่พระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงแปลเรื่อง Tito ของ Phyllis Auty และจะไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ใดๆหากการจำหน่ายหนังสือเพื่อโดยเสด็จพระราชกุศล

เมื่อดูจากจดหมาย  ฉบับนี้ และดูจากคำนำของหนังสือ แล้วดูจากปก ก็จะทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดได้ว่าเป็นพระราชนิพนธ์แปลจากต้นฉบับเล่มนี้ คือ “TITO: A Biography” โดย Phyllis Auty พิมพ์โดยแผนก Pelican Book ของสำนักพิมพ์ Penguin Books ซึ่งมีความยาวถึง 400 หน้า

เมื่อมาดูที่ฉบับแปลก็พบว่ามีความยาวในแบบภาษาไทยเพียง 121 หน้าเท่านั้น จึงเกิดความสงสัยขึ้นว่าทำไมฉบับภาษาไทยจึงสั้นกว่าฉบับภาษาอังกฤษมากมายนัก เมื่อลองเริ่มเปรียบเทียบบทแปล บทต่อบท ประโยคต่อประโยค ก็พบว่าไม่เหมือนกัน และดูจะเป็นคนละเล่มกันเลย

ย้อนไปพลิกดูจดหมายตอบจาก Phyllis Auty ผู้เขียน ในหน้า (๖) ที่ตอบอย่างปลื้มปิติในการที่พระเจ้าอยู่หัวของไทยทรงจะแปลงานชิ้นสำคัญของ Phyllis Auty เพื่อเผยแพร่เป็นการกุศลในประเทศไทย จึงทราบชัดเจนว่า ต้นฉบับที่แท้จริงคืออีกเล่มหนึ่ง ชื่อ “Tito” (Ballantine's Illustrated History of the Violent Century, War Leader Book, No. 10) เขียนโดย Phyllis Auty ผู้เขียนคนเดียวกัน พิมพ์ออกเผยแพร่เมื่อปี 1972 เป็นเล่มเล็ก ฉบับย่อ พิมพ์หลังเล่มใหญ่ของผู้เขียนคนเดียวกัน สองปี ซึ่งปัจจุบันเป็นหนังสือเก่าหายากแล้ว

เรื่องของ “ติโต” ในหนังสือชุดผู้นำสงครามในประวัติศาสตร์ศตวรรษแห่งความรุนแรง เล่มที่ 10 ว่าด้วยเรื่องของ Tito ผู้นำการรบต้านภัย Nazi กู้ชาติ Yugoslavia ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

เป็นหน้าที่ของสำนักพิมพ์อมรินทร์พรินติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จะต้องแก้ไขข้อความบนปกเรื่องชื่อหนังสือต้นฉบับให้ถูกต้องหากจะมีการพิมพ์ครั้งต่อไป

การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเลือกแปลจากเล่มที่สั้นและย่อกว่า มีความยาวเพียง 121 หน้านั้น นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ต้องการทำความรู้จักขั้นเริ่มต้นกับคนดีของโลกอีกคนหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กและเยาวชนที่ควรอ่านเป็นหนังสือนอกเวลาเรียน ไม่ว่าโรงเรียนจะกำหนดเป็นทางการหรือไม่ก็ตาม



Josip Broz คือชื่อจริง 

Tito คือชื่อที่เป็นสมญานาม ของเลขาธิการพรรคคอมมูนิสต์แห่ง Yugoslavia ผู้เริ่มต้นชีวิตจากลูกชาวนา หรือที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกว่า "ทหารลูกทุ่ง" เพราะ Josip Broz หรือ Tito เกิดมาในครอบครัวที่แม้ไม่ถึงกับยากจนนัก แต่ก็ต้องดิ้นรนเพราะมีพี่น้องรวมกันถึง 9 คน ออกจากโรงเรียนไปทำงานล้างจานในค่ายทหารตั้งแต่อายุ 12 ไปฝึกงานในอู่ซ่อมรถยนต์ตอนอายุ 15 เร่ร่อนเปลี่ยนงานจนอายุ 20 สมัครเป็นทหารเกือบเอาชีวิตไม่รอดในสงครามโลกครั้งที่ 1 ถูกรัสเซียจับเข้าค่ายกักแล้วแหกคุกหนี ถูกจับอีก แล้วหนีอีก กลับมา แอบเป็นสมาชิกพรรคคอมมูนิสต์ ของ Yugoslavia เรียกว่าพวก Partisan สร้างสมผลงานและบารมี จนกลายเป็นหัวหน้าพรรค เป็นหัวหน้าแนวร่วมกู้ชาติจนรวมประเทศ Yugoslavia จากความแตกแยกสมัยสงครามได้สำเร็จ

ติโต คือเด็กช่างกล ลูกชาวนาได้ดี กลายเป็นสุดยอดของผู้นำโลกคนหนึ่ง ทั้งๆที่ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง Yugoslavia ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ ในหน้า 59 บอกชัดเจนว่า 

"ติโตเองก็มีจุดยืนที่เหนียวแน่น เขาเป็นคอมมูนิสต์ขนานแท้ และเป็นปรปักษ์อย่างรุนแรงต่อรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรเดิม ซึ่งมีนโยบายให้เซอร์เบียเป็นศูนย์กลางประเทศ"

ความเป็นคนดี คนน่าสนใจของ Tito คือการเป็นผู้นิยมอุดมการณ์คอมมูนิสต์แบบอิสระไม่ยอมอยู่ใต้การครอบงำของ Stalin แห่งสหภาพโซเวียต อิสระในความคิดที่ไม่นิยมระบบนารวม อิสระที่ต้องการให้ให้ชนทุกเผ่าพันธุ์กลับมาร่วมความเป็นชาติเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง : Kosovo, Croatia, Serbia, Montenegro, Bosnia, Herzegovena, Slovania, สารพัดความร้าวฉานแตกแยก

Tito รวมชาติ Yugo-Slav ได้สำเร็จ เป็นผู้นำกองทัพใต้ดินจากจำนวน 1,000 มาเป็น 800,000 คน แม้ Germany ของ Hitler ก็ต้องปล่อยให้ชัยชนะเป็นของ Tito ลักษณะเด่นของ Tito คือความมุมานะนึกถึงประชาชนผู้ยากไร้ นึกถึงชาติเป็นเป้าหมายใหญ่ และพร้อมที่รับความจริงว่าชัยชนะที่เป็นเป้าหมายนั้นต้องอาศัยความร่วมมือช่วยเหลือจากมิตรรอบด้านให้มากที่สุด ผสานกับการให้การศึกษากับตัวเองและประชาชนทั้งมวลอย่างต่อเนื่อง Tito กล่าวว่า :

[น.91]
"การดำเนินการศึกษาอย่างไม่หยุดยั้ง นี้ มีความสำคัญมาก"

การที่ต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 12 มิได้ทำให้ Tito หยุดการศึกษาด้วยตนเอง Tito จึงกลายเป็นนักคิด นักรบ และนักต่อสู้เพื่อชาติ Yugoslavia

[น. 212]
"เขาเป็นผู้นำผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เปลี่ยนวิถีแห่งประวัติศาสตร์ในประเทศตน และผู้ได้ผนวกบทใหม่เข้าในตำนานของลัทธิคอมมูนิสต์ตอนศตวรรษที่ยี่สิบ"

5 ธันวาคม 2557
Picture

A Man Called Intrepid
ต้นฉบับภาษาอังกฤษ 
โดย William Stevenson
--------------------------
“A Man Called Intrepid” แปลตรงตามตัวอักษรว่า "คนที่ถูกเรียกว่า Intrepid"

คำว่า "Intrepid" ใน Oxford English Dictionary แปลว่า :  "Fearless  / ไม่กลัว",  
"Undaunted / ไม่ย่นย่อถ้อถอย", 
"Brave / หาญกล้า", "Daring /ท้าทาย"

อันเป็นเป็นคุณสมบัติในบุคคล
ส่วนใน Merriam-Webster’s Third International Dictionary แปลว่า :
"characterized by resolute fearlessness in meeting dangers or hardships and enduring them with fortitude"
"คนซึ่งมีคุณลักษณะไม่หวาดกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะต้องเผชิญภยันตราย หรือความลำบากยากเข็ญอย่างไร เพียงใด ก็จะบากบั่นฝ่าฟันด้วยมานะมุ่งมั่น"

“A Man Called Intrepid” โดย William Stevenson จึงเป็นเรื่องราวของบุคคลซึ่งเรียกได้ว่ามีความมุ่งมั่นหาญกล้าท้าทายไม่ย่นย่อท้อถอยต่อภัยอันตรายทั้งปวง คนคนนี้ชื่อจริงจะชื่ออะไรก็ตาม แต่เขาสมควรได้รับสมยานามว่า "INTREPID" ในหน้า 2 มีภาพถ่าย พล เอก William "Wild Bill" Donovan หัวหน้าสำนักงานบริการยุทธศาสตร์สหรัฐอเมริกา ที่ท่านมอบให้ "The Man Called Intrepid" โดยเขียนบันทึกถึง Intrepid เพื่อนรักว่า : 

"To Intrepid...whose friendship, knowledge and continuing assistance contributed so richly to the establishment and the maintenance of an American intelligence service in World War II" [Bill Donovan]
"ความเป็นเพื่อน ความรู้ และความร่วมมือช่วยเหลือที่ตลอดต่อเนื่องทำให้ก่อกำเนิดและเป็นประโยชน์ยิ่งต่อปฏิบัติการงานข่าวกรองหรืองานสืบการลับของสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง"

สายลับคนสำคัญที่เป็นส่วนของ เครือข่ายงานของ Intrepid จำนวนมาก ทั้งที่เปิดเผยและไม่เปิดเผยในเวลาต่อมา เช่น :

Kim Philby (น.3) Super Spy หรือสุดยอดสายลับของสหภาพโซเวียต เป็นชาวอังกฤษผู้กลบเกลื่อนงานลับด้วยการแสดงความเห็นสนับสนุน Nazi Germany และ Hitler ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง

Ian FlEming (น. 6) ผู้ให้กำเนิด  James Bond สายลับ 007 อันเลื่องชื่อของอังกฤษผู้มี License to Kill ใบอนุญาตสังหาร งานในชีวิตจริงของ Ian Flaming เป็นนายทหารเรือฝ่ายข่าวกรอง ช่วยงาน Intrepid อย่างใกล้ชิด สายลับส่งข่าว Top-secret Ultra ทำงานให้ Intrepid อาจเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จัก ปลอมตัวกลมกลืนไปกับฝูงชน ทุกหนแห่งในโลกยามสงคราม เช่นสายลับ Eric Bailey (น.7) ใน Tibet ปี 1904 และใน Uzbek สหภาพโซเวียต ต่อมาอีกหนึ่งปี อายุของ สายลับ Bailey เกือบครบ 60 ปี

Madeleine [น. 12] สายลับใต้ดินชาวฝรั่งเศสแฝงตัวทำงานเป็นพนักงานส่งวิทยุโทรเลขให้ Nazi German เรียกชื่อคนงานคุมเครื่องโทรเลขเช่น Madeleineว่า "Pianist" Madeleine เป็นสายลับคนเดียวที่เป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างหน่วยใต้ดินฝรั่งเศสกับอังกฤษ หลังจากที่คนอื่นๆถูกพวกของ Hitler จับไปหมดแล้ว Madeleine ต้องฝึกหนักเหมือนสายลับชายทุกคน รวมทั้งการฝึกโดดร่มลงจุดเป้าหมายในพื้นที่ศัตรู หากทำงานพลาด ถูก German จับได้ Madeleine ต้องกินยาพิษนี้ฆ่าตัวตายทันที เพื่อเก็บความลับ


Cynthia [น.39] เป็นชื่อสายลับสาวงามชาวอเมริกัน ทำงานให้หน่วยสืบข่าวลับอังกฤษ ค้นหาและขโมยเครื่อง Enigma ของ German ที่ผลิตใน Poland เธอใช้ความเป็นสาวสวยของเธออย่างเป็นประโยชน์คุ้มค่าการเป็นสายลับ

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนของของงานจารกรรม อันเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายงานสายลับใต้ดินที่ Intrepid ควบคุมอยู่คลุมพื้นที่ทั้งยุโรป และ อเมริกา รวมทั้งส่วนอื่นๆของโลก

ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง จริงยิ่งกว่านวนิยาย หรือภาพยนตร์จารกรรมสายลับ James Bond 007 เรื่องใด

สายลับทั้งหลายต้องทำงานกับ “Enigma” อันเป็นเครื่องส่งข่าวติดรหัสและถอดรหัสลับที่ Hitler ใช้ แล้ว Intrepid ก็เป็นผู้นำปฏิบัติการถอดรหัสการสื่อสารของ German Nazi เทคโนโลยีแปลงสัญญาณข้อมูลข่าวสารอันสลับซับซ้อนที่อังกฤษต้องการถอดรหัสให้ได้ เพราะอนาคตความอยู่รอดของประเทศจากเงื้อมมือหฤโหดของ Hitler ขึ้นอยู่กับการดักฟังและถอดรหัสข้อมูลที่รับส่งจากเครื่อง Enigma และ Intrepid คือคนที่จะช่วยจัดการเรื่องนี้ได้ โดยใช้คฤหาสน์ ณ เมือง Bletchley กลางแคว้น England เป็นที่ผลิตเครื่อง Enigma เลียนแบบของ Germany ที่นี่เป็นที่อ่านรหัสลับการสื่อสารของ กองทัพ German ทีมงานของ Intrepid สามารถสร้างระบบอ่านรหัสลับและส่งรหัสลับรบกวนแทรกแซงงานข่าวกรองของ Germany ได้ ระบบถอดรหัสของ Intrepid นี้เรียกว่า "Top-secret Ultra"

Intrepid คือใคร?
ทำไมจึงเก่งกาจสามารถ ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่และลับลึกสุดยอดยิ่งนัก?

ที่อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และพันธมิตรผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมาได้ ด้วยชัยชนะเหนือ Hitler และ Nazi Germany นั้น หัวใจสำคัญมิใช่เทคโนโลยีอาวุธสงครามทั้งหลาย หากแต่เป็นด้วยงานจารกรรมข้อมูล ข่าวสาร งานถอดรหัสลับใต้ดินของอาสามสมัครชาวบ้านธรรมดาที่มิได้ฝึกฝนเรียนรู้วิชาการสงครามมาก่อน ทุกคนทำงานในเครือข่ายจารกรรมและนักก่อการลับใต้ดินที่  Winston Churchill มอบหมายให้ Intrepid ควบคุมปฏิบัติการทั้งหมด

จากหนังสือเรื่องจริงสมัยสงครามโลกทั้งสองครั้ง ค้นคว้าและเขียนโดย William Stevenson เมื่อปี 1972 :

วันที่ 1 กันยายน 1939 กองทัพ Hitler เริ่มยาตราทัพนาซีบุก Poland 
Poland ถูกยึดครองภายใน 26 วัน
Norway ถูกครอบครองใน 28 วัน
Holland ล่มสลายภายใน 5 วัน
Denmark ตกเป็นของ Germany ในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง
Luxembourg 12 ชั่วโมง
ฝรั่งเศสคือเป้าหมายต่อไป
และ
ก้าวสำคัญต่อไปในการยึดเป็นฐานขยายอำนาจ ครองโลกของ Hitler คืออังกฤษ 


สงครามโลกครั้งที่สอง ปี 1939 มองไม่เห็นหนทางใดเลยที่อังกฤษจะรอดพ้นการครอบครองของกองทัพอันยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกของ Nazi Germany ของเผด็จการ Hitler ไปได้ Neville Chamberlain นายกรัฐมนตรีอังกฤษหวังเพียงเจรจาผ่อนปรน ประนีประนอมกับ Hitler ให้อังกฤษรอดตัว เงินและทองคำหมดคลัง อาวุธยุทโธปกรณ์ ไม่เพียงพอ ล้าสมัย ขวัญกำลังใจไม่มีเหลือ 

Winston Churchill ยังไม่มีโอกาสขึ้นสู้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ Churchill ก็ไม่ย่อท้อ จัดตั้งกระบวนเครือข่ายการสายลับใต้ดินอังกฤษ เตรียมพร้อมสู้กับ Germany โดยนายกรัฐมนตรี Chamberlain ไม่ระแคะระคายแม้แต่น้อย Winston Churchill แทบไม่มีอิทธิพลใดๆในรัฐสภา แต่ใต้ดิน ท่านมีพวกพ้องลูกน้องที่เลื่อมใสในความรักชาติอย่างหาญกล้าของท่านจำนวนหนึ่ง

Churchill ทราบดีว่าอังกฤษไม่มีทางต้าน Hitler และกองทัพ Nazi ได้ ในที่สุดอังกฤษก็จะตกเป็นเมืองครอบครองของ Hitler ชาวอังกฤษจะถูกฆ่าล้มตายมากมาย ที่เหลือจะตกเป็นทาสของพวก Nazi 

แต่ Churchill ไม่มีวันยอมแพ้ ท่านเชื่อว่าการรบแบบกองโจรใต้ดินของอาสาสมัครประชาชนที่ไร้ชื่อ ทำงานเป็นเครือข่ายลับเชื่อมโยงปฏิบัติการอย่างเสียสละ โดยส่วนใหญ่จะเสียงชีวิต และอายุเฉลี่ยในงานสายลับก่อนตายไม่เกิน 6 เดือน และคนที่ Churchill ไว้ใจ เชื่อฝีมือ แต่งตั้งอย่างลับๆ ก็คือชายคนหนึ่ง ที่รับคำสั่งโดยตรงจาก Churchill ไม่มีใครล่วงรู้ แม้รัฐบาลอังกฤษ นายกรัฐมนตรี Neville Chamberlain ก็ไม่รู้เรื่อง  ชายคนนั้นเกิดที่ Canada ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ปี 1914 อังกฤษประกาศสงคราม กับ Germany เด็กชายชาว Canada คนนั้นอายุ 19 ปี สมัครเป็นทหารเข้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักบินขับไล่กองทัพอากาศอังกฤษ อย่างกล้าหาญ บ้าบิ่น ไม่กลัวตาย จนบาดเจ็บ หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาอายุ 23 กลับ Canada เป็นอาจารย์สอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย Manitoba

เขาคิดว่าเขาควรตายเหมือนเพื่อนๆนักบินในสงคราม เมื่อไม่ตาย ชีวิตที่เหลือรอดมาจึงต้องมีเหตุผลเพียงพอในการดำรงอยู่อย่างถูกต้องเหมาะสม

[น. 15]
“Being still alive, I had an obligation to justify my survival”

เขาบอกว่า ในเมื่อเขายังไม่ตาย ก็ต้องมีพันธะที่จะดำรงชีวิตอยู่อย่างมีเหตุผลและความหมาย 
เขากลับไปอังกฤษ เป็นนักคิด นักประดิษฐ์ นักธุรกิจ นักสื่อสาร คิดค้น สร้างอาณาจักรธุรกิจ อุตสาหกรรม วิทยุกระจายเสียง และโรงถ่ายภาพยนตร์ และอุตสาหกรรมอื่นอื่นจนเป็นมหาเศรษฐี ในวงการอุตสาหกรรมผลิตภาพยนตร์ ธุรกิจของเขายิ่งใหญ่ไม่แพ้ Hollywood

ไม่มีใครในอังกฤษ ยุโรป และอเมริกา ไม่มีใครไม่รู้จักเขา Hitler ก็รู้จักเขา แต่ไม่มีใครรู้เลยว่ามหาเศรษฐีคนนี้ คือมือขวา ของ Winston Churchill เขาเป็นผู้คุมเครือข่าวสายลับของอังกฤษ ปฏิบัติการรอบโลก ต่อต้าน Hitler และ Nazi Germany 

เขาคือ “The Man Called Intrepid”
เขาสร้างเครือข่ายสายลับใต้ดินให้กับ Churchill ตั้งแต่ Churchill ยังไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี


หลังนายกรัฐมนตรี Neville Chamberlain ถูกลงมติไม่ไว้วางใจในรัฐสภา พ้นจากตำแหน่ง Churchill ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี วันที่ 10 พฤษภาคม 1940 เครือข่ายสายลับใต้ดินยังคงทำลานลับต่อไป

วันหนึ่ง Churchill บอกกับมหาเศรษฐีผู้รับงานคุมเครือข่ายสายลับต้าน Hitler คนนี้ว่าจะต้องพยายามดึงความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกามาให้ได้ ชาวอเมริกันก็ต้องไม่รู้ว่าประธานาธิบดี Roosevelt แอบให้ความช่วยเหลืออังกฤษอยู่อย่างลับๆ ทั้งๆที่สหรัฐประกาศตัวเป็นกลาง

คนคุมเครือข่ายสายลับใต้ดินอย่างนี้
ต้องหล้าหาญไม่กลัวสิ่งใด
ต้องเป็นคน Fearless
ต้องเป็นคน Dauntless
ไม่ย่นย่อท้อถอยต่ออันตรายทั้งปวง

Churchill หยุดคิดครู่หนึ่ง เพื่อหาคำอธิบายคุณสมบัติของหัวหน้าหน่วยใต้ดิน

คำที่ดีกว่า Fearless 
ลึกล้ำกว่า Dauntless

“You must be – intrepid!”

มหาเศรษฐีอดีตทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 คนนั้น จึงมีชื่อ เป็น Code ลับ ว่า “INTREPID” จากนั้นเป็นต้นมา

หนังสือเรื่อง A Man Called Intrepid โดย William Stevenson เป็นสารคดีเขียนจากเอกสารลับของ Intrepid ที่ปกปิดเป็นความลับมานานแม้หลังสงคราม ที่ผลงานของ Intrepid ทำให้กับอังกฤษ และชนชาติผู้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นรากฐานทางวัฒนธรรม จนพลิก ความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะได้นั้น ไม่มีใครประสงค์จะเปิดเผย เพราะความลับทั้งหลายนั้นสำคัญ ลึกซึ้ง และอันตรายยิ่งหากถูกเปิดเผย แม้สงครามจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม จนกระทั่งปี 1962  ข่าวรั่วไหลบางส่วนทำให้จำยอมเปิดเผยความลับบางส่วนของ Intrepid โดยวางแผนให้ความลับออกมาในรูปของหนังสือชื่อ“The Quiet Canadian” เขียนโดยเพื่อนของ Intrepid ชื่อ H. Montgomery Hyde  หนังสือเล่มนี้ใช้ชื่อ “Room 3603” เมื่อพิมพ์จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา จากนั้นพวก Russia ก็เริ่มรู้เรื่องลับของ Intrepid มากขึ้น จนมีความจำเป็นที่ทางการอังกฤษและสหรัฐอเมริกาต้องเปิดเผยความลับทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงานของ Intrepid โดยในปี 1972 Intrepid มอบเอกสารทุกชิ้น ทั้งหมดให้กับ William Stevenson เป็นผู้ศึกษาค้นคว้า และเขียนเป็นหนังสือเล่มนี้ที่ชื่อ “A Man Called Intrepid”


บัดนี้ทุกคนที่ได้อ่าน “A Man Called Intrepid” โดย William Stevenson ตั้งแต่เมื่อกว่า 30 ปีที่ผ่านมาแล้วย่อมรู้แล้วว่า Intrepid คือใคร ทุกอย่างทุกเรื่องที่ถูกเปิดเผยออกมาในหนังสือเล่มนี้ ตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจ และน่าทึ่งในข้อเท็จจริง ที่จริงยิ่งกว่านิยายสายลับเรื่องใด.

Picture

Picture
เรื่องพระมหาชนก
The Story of Mahajanaka
โดย  H.M. King Bhumibol Adulyadej

The Story of Mahajanaka:
“Any enterprise that is not achieved Through perseverance, is fruitless; Obstacles will occur. When any enterprise undertaken with such misdirected effort results in Death showing his face, what is the use of such enterprise and misdirected effort?”
“การงานอันใด ยังไม่ถึงที่สุดด้วยความพยายาม การงานอันนั้นก็ไร้ผล มีความลำบากเกิดขึ้น การทำความพยายามในฐานะอันไม่สมควรใด จนความตายปรากฏขึ้น ความพยายามในฐานะอันไม่สมควรนั้น จะมีประโยชน์อะไร”

นางมณีเมขลากล่าวต่อพระมหาชนกที่กำลังเพียรพยายามฝ่าคลื่นลมและกระแสน้ำแห่งมหาสมุทร โดยวันเวลาผ่านไปแล้ว เจ็ดวัน เจ็ดคืน มิมีวี่แววว่าจะเห็นฝั่งแผ่นดิน

แต่พระมหาชนกก็มิเห็นด้วยกับคำของนางมณีเมขลา เทพธิดาแห่งท้าวโลกบาลทั้งสี่ ผู้ถูกส่งมาดูแลสัตว์โลกผู้ประกอบคุณความดี มิสมควรสิ้นชีวิตในมหาสมุทร พระมหาชนกโต้แย้งนางมณีเมขลาว่า:
[หน้า 89]
“Hark, o Goddess! Anyone who knows for sure that his activities will not meet with success, can be deemed to be doomed; if that one desists from perseverance in that way, he will surely receive the consequence of his indolence.”
“ดูก่อนเทวดา ผู้ใดรู้แจ้งว่าการงานที่ทำจะไม่ลุล่วงไปได้จริง ชื่อว่าไม่รักษาชีวิตของตน ถ้าผู้นั้นละความเพียรในฐานะเช่นนั้นเสีย ก็จะพึงรู้ผลแห่งความเกียจคร้าน”
[89]
“Hark, o Goddess! Some people in this world strive to get results for their endeavours even if they don’t succeed”
“ดูก่อนเทวดา คนบางพวกในโลกนี้เห็นผลแห่งความประสงค์ของตน จึงประกอบการงานทั้งหลาย การงานเหล่านั้นจะสำเร็จหรือไม่ก็ตาม”

[89]
“Hark o Goddess! You do see clearly the results of actions, don’t you? All the others have drown in the ocean; we alone are going to endeavour further to the utmost of our ability; we are going to strive like a man should to reach the shores of the ocean.”
“ดูก่อนเทวดา ท่านก็เห็นผลแห่งกรรมประจักษ์แก่ตนแล้วมิใช่หรือ คนอื่นๆจมในมหาสมุทรหมด เราคนเดียวยังว่ายข้ามอยู่ และได้เห็นท่านมาสถิตอยู่ใกล้ๆเรา เรานั้นจักพยายามตามสติกำลัง จักทำความเพียรที่บุรุษควรทำ ไปให้ถึงฝั่งแห่งมหาสมุทร”

นี่คือหัวใจของพระราชนิพนธ์เรื่อง “พระมหาชนก” เป็นเรื่องของความเพียรที่ต้องยึดมั่น แม้เทวดาจะแสร้งท้วงติงอย่างไร ก็ต้องโต้แย้งเทวดาได้ เมื่อพระมหาชนกทรงยึดมั่นในความเพียร นางมณีเมขลาจึงมั่นใจว่าพระองค์ทรงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรโดยแม้ มิสมควรตายในมหาสมุทร นางจึงได้ช่วยพาพระมหาชนกไปยังครองมิถิลานคร แห่งชมพูทวีปต่อไป


“The Story of Mahajanaka”  หรือ “เรื่องพระมหาชนก” เป็นงานพระราชนิพนธ์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงแปลเป็นภาษาอังกฤษ ตรงจากมหาชนกชาดก ในพระไตรปิฎก ส่วนพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกายชาดก เล่มที่ 4 ภาคที่ 2 ปรับแต่งดัดแปลงเล็กน้อย เพื่อให้เข้าใจง่าย และสอดคล้องกับยุคสมัยและปัญหาโลกปัจจุบัน เป็นหนังสือที่ทรงพระพระราชนิพนธ์ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย สำหรับฉบับพิเศษเล่มนี้พิมพ์ทั้งสองภาษา โดยสำนักพิมพ์อมรินทร์เมื่อปี พ.ศ. 2542 หลังจากการพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2539เป็นหนังสือที่สวยงามที่สุดในประวัติศาสตร์การพิมพ์ ด้วยภาพเขียนประกอบโดยจิตรกรที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศไทย 10 คน รวม 37 ภาพ ในหน้า 54-55 มีภาพนางมณีเมขลาพยากรณ์อากาศอันเป็นภาพฝีพระหัตถ์จากคอมพิวเตอร์ของพระองค์
    เรื่อง พระมหาชนกเป็นชาดกโบราณในคัมภีร์ศาสนาพุทธ เมื่อทรงนำมานำเสนอใหม่ในโลกยุคโลกาภิวัตน์จึงประจักษ์ในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ในฉบับภาษาอังกฤษ สำนวนภาษาอังกฤษแบบยุคกลาง หรือ Middle English ดั่งที่ J.R.R. Tolkien ใช้ใน The Lord of the Rings จึงปรากฏในเรื่อง พระมหาชนก/The Story of Mahajanaka ไม่มากจนถึงกับอ่านยาก เพราะมีสำนวนภาษาสมัยใหม่ที่ออกจะสนุกสนาน พร้อมด้วยคำภาษาสันสกฤตโบราณเขียนด้วยตัวอักษรเทพนาลีของอินเดียสอดแทรกผสมผสานพระอารมณ์ขัน วิทยาการสมัยใหม่ และความเป็นไทย
    หน้า 53 เป็นเรื่องพระมหาชนกขอพระราชมารดาเสด็จไปสุวรรณภูมิหรือประเทศไทยก่อนไปกู้บ้านเมืองที่มิถิลานคร เพราะสุวรรณภูมิมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์จะได้ค้าขายแลกเปลี่ยนเพื่อสะสมความพร้อมในการกู้อาณาจักรมิถิลานคร ภาพในหน้า 101 คือเมืองมิถิลานคร ต่อไปในหน้า 126-127-128
และมิถิลานครยุคโลกาภิวัตน์ เมืองอวิชชาที่ฟอนเฟะ ผู้คนเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม ดูภาพมิถิลานครออกมาเป็นกรุงเทพมหานครได้อย่างเข้าใจพระประสงค์ 
    พอถึงตอนที่ต้นมะม่วงทั้งต้นถูกโค่นล้มทะลาย เพราะอำมาตย์ราชมนตรี และประชาชนชาวมิถิลานคร เพียงเพราะต้องการกินผลเท่านั้น เทคโนโลยีเครื่องจักรกลการเกษตรถูกใช้ทำลายระบบการเกษตรทั้งหมด ดุจการล้มมะม่วงทั้งต้น การบริหารประเทศโดยรัฐบาลที่เอาแต่หาผลประโยชน์ใส่ตนเองและพวกพ้อง กินรวบทั้งหมดทั้งหมด ไม่กระจายรายผลผลิตมะม่วงออกไปเป็นวงกว้างและยั่งยืน เป็นได้ทั้งการปกครองมิถิลานครในอดีตชาดก และกรุงรัตนโกสินทร์ ณ ปัจจุบันกาล
    ในหน้า 134-135 พระมหากษัตริย์จึงทรงพระราชทานเทคโนโลยีโครงการหลวงฟื้นฟูมะม่วง 9 ประการ ดั่งนี้:
1.  Seed culture / เพาะเม็ดมะม่วง
2. Root Nursing / ถนอมราก
3. Cutting Culture / ปักชำ
4. Grafting / เสียบยอด
5. Bud-Grafting / ต่อตา
6. Branch Splicing / ทาบกิ่ง
7. Branch Layering / ตอนกิ่ง
8. Tree Smoking / รมควัน
9. Cell/Tissue Culture / ชีวาณูสงเคราะห์ หรือ ปลูกเนื้อเยื่อ


    พระมหากษัตริย์แห่งมิถิลานครทรงมีโครงการในพระราชดำริเพื่อฟื้นฟูประเทศชาติถึง 9 วิธี แต่มหาอำมาตย์ราชมนตรี และประชาชนกลับไม่รับสนองพระบรมราชโอการเลย ทุกคนต่างแต่จะโค่นต้นมะม่วง เพื่อเอาเป็นของตนเองทั้งหมดเอาไปกินเองที่บ้านคนเดียวครั้งเดียว
    หนทางฟื้นต้นมะม่วงกอบกู้มิถิลานครจึงมืดมน แล้วพระมหาชนกจะทรงครองนครให้รุ่งเรื่องได้อย่างไร เมื่อประโยชน์ส่วนตนเข้ามาแทนที่ความสามัคคี และความเสียสละ ความโง่เขลาเข้ามาอยู่เหนือความรู้ ความเกียจคร้านสิ้นหวังเข้ามาทำลายและความเพียร
*


Picture

นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ
พระราชนิพนธ์แปล ใน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

แปลจากเรื่อง “A MAN CALLED INTREPID”
โดย WILLIAM STEVENSON

-------------------------------------

"คนที่ถูกเรียกว่า INTREPID"
"INTREPID" จาก OXFORD ENGLISH DICTIONARY แปลว่า ความ
"FEARLESS"
"ไม่กลัว"

"UNDAUNTED"
"ไม่ย่นย่อถ้อถอย"

"BRAVE"
"หาญกล้า"

"ท้าทาย"
"DARING"

อันเป็นเป็นคุณสมบัติในบุคคล
และใน MERRIAM-WEBSTER’S THIRD INTERNATIONAL DICTIONARY แปลว่า:

"CHARACTERIZED BY RESOLUTE FEARLESSNESS IN MEETING DANGERS OR HARDSHIPS AND ENDURING THEM WITH FORTITUDE"
"คนซึ่งมีคุณลักษณะไม่หวาดกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะต้องเผชิญภยันตราย หรือความลำบากยากเข็ญอย่างไร เพียงใด ก็จะบากบั่นฝ่าฟันด้วยมานะมุ่งมั่น

“นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” คือชื่อหนังสือฉบับแปล “INTREPID”
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงแปลว่า “นายอินทร์”

เพียงแค่เริ่มแปลชื่อ “INTREPID” เป็น “นายอินทร์” ก็สะท้อนพระอัจฉริยภาพสองประการแล้ว เพราะหากเป็นนักแปลอาชีพทั่วไปแล้วก็จะต้องแปลตรงตัวว่า  “บุรุษผู้ชื่อว่า นายกล้าหาญ”  หรือไม่ก็ “ชายคนนั้นชื่อ INTREPID”

พระอัจฉริยภาพประการที่หนึ่ง คือความมั่นใจเด็ดเดี่ยวที่จะไม่แปลตามตัวอักษร แต่จะทรงแปลตามที่ควรจะเข้าในความหมายของคำและความหมายที่แฝงอยู่ในคำ เพราะ INTREPID เป็นชื่อ CODE ปลอมตัวของสายลับหัวหน้าเครือข่ายจารกรรมของอังกฤษ ต่อต้าน HITLER และ GERMANY สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง

ในบทที่ 16 ของ A MAN CALLED INTREPID อันเป็นตอนที่อธิบายที่มาของชื่อ INTREPID ต้นฉบับเขียนว่า :

“THE MANOEUVRE WHICH BRINGS AN ALLY INTO THE FIELD IS AS SERVICEABLE AS THAT WHICH WINS A GREAT BATTLE,” CHURCHILL HAD WRITTEN IN HIS AUTOBIOGRAPHICAL ACCOUNT OF WORLD WAR I. AS PRIME MINISTER IN THE SECOND, HE ADDED THAT THE MAN TO BRING IN THE AMERICANS MUST BE FEARLESS. HE PAUSED, “DAUNTLESS?” HE SEARCHED FOR THE RIGHT WORD WHILE STEPHENSON WAITED. “YOU MUST BE—INTREPID!”

พระเจ้าอยู่หัวทรงแปลดังนี้ :

“อุบายวิธีที่ช่วยชักนำให้สัมพันธมิตรลงสนามร่วมรบมีความสำคัญพอๆกับยุทธวิธีที่นำชัยชนะในยุทธการครั้งใหญ่.” นี่เป็นข้อเขียนของเชอร์ชิลล์ในอัตชีวประวัติตอนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง. ในฐานะนายกรัฐมนตรีตอนสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเพิ่มเติมข้อความว่า บุรุษที่จะชักนำพวกอเมริกันจะต้องเป็นคนไม่รู้จักกลัว. เขาหยุดตรองครู่หนึ่ง. “จะเป็นเหี้ยมหาญดีไหม.” เขาควานหาคำที่จะเหมาะ   สตีเฟนสันได้แต่คอย. “คุณต้องเป็น – นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ!”

แล้วพระองค์ก็ทรงอธิบายความหมายเพิ่มเติมใส่ไว้ในวงเล็บ สำหรับผู้อ่านชาวไทย เพื่อความเข้าใจในตัวของนาย “INTREPID” หรือชื่อจริง WILLIAM STEPHENSON หัวหน้าเครือข่ายจารกรรามข่าวกรองของ CHURCHILL :

“(INTREPID – ไม่รู้จักกลัว ไม่รู้จักหวาด กล้าหาญแต่ไม่เหี้ยม สู้ศัตรูทั้งภายนอกภายในอย่างไม่ท้อถอย ไม่น้อยใจ ไม่หยุดยั้ง รุกรันฟันฝ่า...)”

การแปลชื่อ INTREPID เป็น “นายอินทร์” ก็เป็นการอิงคำภาษาอังกฤษเดิมที่สะกด : INTRE – PID

พยางค์แรก อ่านได้คล้ายชื่อ “พระอินทร์”หรือนายอินทร์ ที่มี “ท-ร์” (ท-ร-การันต์) ผู้ปิดทองหลังพระ 

พยางค์หลัง PID ออกเสียงว่า “ปิด” ได้ในภาษาไทย และสามารถให้อรรถาธิบายได้ว่า

“เป็นผู้ปิดทองหลังพระ”

อิงคำว่า “PID” ในภาษาอังกฤษโดยดึงเอาความหมายในภาษาไทยออกมาได้

นี่เป็นพระอัจฉริยภาพอีกอย่างหนึ่ง ในด้านพระอารมณ์ขันเชิงวรรณศิลป์ ที่ทำให้การแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย ได้ทั้งเนื้อหาความหมายที่ถูกต้องลึกซึ้ง และได้อารมณ์ขันที่อ่านได้อย่างสนุกสนาน

เพราะสำนวนไทยที่ว่า “ปิดทองหลังพระ” นั้นคือชีวิตจริงของสายลับที่มีสมญานามว่า “INTREPID” หรือ “นายอินทร์” สายลับทุกคนที่ร่วมงานจารกรรมในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ทำทุกอย่างเพื่อต่อสู้ขวางทางรุกรานและให้มีชัยเหนือพวก NAZI GERMANY และ HITLER ผู้บ้าคลั่งอำนาจหมายครองโลก เมื่อทำแล้วต้องปกปิดเป็นความลับ ไม่บอกใครให้ทราบถึงวีรกรรมทั้งหมด ไม่ต้องการคำสรรเสริญเยินยอใดๆทั้งสิ้น

INTREPID และบรรดาสายลับจารชนทั้งหลายที่เรียกรวมกันว่า “BAKER STREET IRREGULARS”

ทำงานแบบปิดทองหลังพระจริงๆ

การแปลชื่อ INPTREPID ว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ” จึงสมบูรณ์และลึกซึ้ง สะท้อนชีวิตและงานของ INTREPID และจารชนร่วมงานทั้งมวล อย่างถูกต้องที่สุด ยากยิ่งที่นักแปลอาชีพทั่วไปจะหาญกล้าแปลเช่นนี้ได้

การที่พระองค์ทรงให้คำอธิบายเพิ่มเติมในวงเล็บว่า “(INTREPID – ไม่รู้จักกลัว ไม่รู้จักหวาด กล้าหาญแต่ไม่เหี้ยม สู้ศัตรูทั้งภายนอกภายในอย่างไม่ท้อถอย ไม่น้อยใจ ไม่หยุดยั้ง รุกรันฟันฝ่า...)”

ทั้งๆที่ในต้นฉบับไม่มี ก็เพราะต้องการให้ผู้อ่านชาวไทยได้เข้าใจ INTREPID อย่างลึกซึ้ง เพราะ ลำพังจะเรียกว่า “นายอินทร์” แล้วอธิบายตามสั้นๆว่าเป็นผู้ทำงานแบบ “ปิดทองหลังพระ” เฉยๆ นั้น ผู้อ่านจะขาดความลึกซึ้งถึงชีวิตจริงของมหาเศรษฐีนักบินผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่หนึ่งที่กลับมาใช้ชีวิตร่วมเป็นร่วมตายในสงครามโลกครั้งที่สองอย่างยึดความอยู่รอดของประเทศชาติเหนือชีวิต เมื่อต้องแปล พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงเติมคำอธิบายเพิ่มว่า “(INTREPID – ไม่รู้จักกลัว ไม่รู้จักหวาด กล้าหาญแต่ไม่เหี้ยม สู้ศัตรูทั้งภายนอกภายในอย่างไม่ท้อถอย ไม่น้อยใจ ไม่หยุดยั้ง รุกรันฟันฝ่า...)”

คุณสมบัติของ สายลับ หรือจารชนเช่น INTREPID นั้น ตัว INTREPID หรือ ชื่อจริง WILLIAM STEPHENSON เองอธิบายไว้ และพระเจ้าอยู่หัวทรงแปลว่า :

“บุคคลที่เหมาะสมจะต้องมีคุณสมบัติหลายอย่างพร้อมกัน  จะต้องมีทั้งความซื่อสัตย์สุจริตและความรอบคอบสุขุม ทั้งความเมตตาและความมุ่งมั่น. เขาจะต้องละสังคมที่มั่งคั่งและฟุ่มเฟือย เข้าสู่สังคมที่ต้องประหยัดกระเบียดกระเสียรและถูกความหายนะคุกคาม เขาจะต้องอดทนต่ออารมณ์ที่เคร่งเครียดและผลุนผลันของคนที่ตรากตรำเพราะภัยสงคราม”

แม้ INTREPID จะพูดถึงคนที่จะมาเป็นหัวหน้าหน่วยจารกรรมฝ่ายอเมริกัน ที่จะทำงานเคียงคู่กับตัวเขาเอง แต่คุณสมบัติที่กล่าวถึงนั้นก็คือความเป็น INTREPID ที่ชัดเจน ส่วนนี้ในหนังสือเล่มนี้นี่เองที่สะท้อนคุณลักษณะของคนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชื่นชมอย่างที่สุด เมื่อพระองค์ทรงพบในตัว WILLIAM STEPHENSON หรือ INTREPID ดังที่นาย WILLIAM STEVENSON ผู้เขียนหนังสือที่บังเอิญมีชื่อคล้ายกัน  ได้เขียนเล่าไว้ด้วยแนวการเขียนที่ตื่นเต้นระทึกใจ และนี่คงจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้เวลาถึงสามปี แปล A MAN CALLED INTREPID ให้พสกนิกรของพระองค์ทั้งประเทศได้อ่าน เพื่อว่าชีวิตที่เสียสละเพื่อชาติของ INTREPID และคณะจารชนใต้ดินอังกฤษทั้งหลายนับหมื่นนับแสนคนที่สละชีพเพื่อให้ชาติได้พ้นภัยสงครามไปได้ทั้งหลายเหล่านั้น จะได้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตและสร้างประเทศชาติไทย โดยผู้นำและประชาชนที่มีคุณสมบัติเฉกเช่น

“A MAN CALLED INTREPID” และสายลับปฏิบัติการใต้ดินทั่วยุโรปและอเมริกา และทั่วโลกที่ทำงานให้ WILLIAM STEPHENSON 

ตัวอย่าง :
LESLIE HOWARD นักแสดงอังกฤษผู้แสดงเป็น ASHLEY WILKES คนที่ SCARLET O’HARA หลงรัก ในภาพยนตร์เรื่อง GONE WITH THE WIND (วิมานลอย) LESLIE HOWARD เสียชีวิตเมื่อเครื่องบินตก เหนืออ่าว BISCAY ชีวิตจริงที่ชาวโลกรู้จัก LESLIE HOWARD เป็นพระเอกภาพยนตร์ ส่วนชีวิตลับ เขาคือสายลับกู้ชาติอังกฤษ ทำงานให้กับ WILLIAM STEPHENSON หรือ INTREPID หรือที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกว่านายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ ขณะที่เขากำลังเดินทางกลับไปปฏิบัติงานให้ INTREPIDในอังกฤษ เครื่องบินที่เขาแอบโดยสารมา ถูกฝ่าย GERMANY ยิงตก เหนือ อ่าว BISCAY


คนที่โด่งดังในโลกที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นสายลับต้าน NAZI ก็ถูกเปิดเผย
  • GRETA GARBO ดาราภาพยนตร์สาวงามชาว SWEDEN
  • NOEL COWARD นักเขียนบทละครชาวอังกฤษ
  • ROALD DAHL ผู้เขียนหนังสือสำหรับเด็ก “CHARLIE AND THE CHOCOLATE FACTORY”
  • P.G. WODEHOUSE นักเขียนเรื่องสนุกของ JEEVES 
  • และ IAN FLEMING ผู้เขียนเรื่อง JAMES BOND 007

ในบทที่ 31 ของหนังสือสารคดีเบื้องหลังงานสายลับจารกรรมสมัยสงครามโลกครั้งที่สองเรื่อง “A MAN CALLED INTREPID” เขียนโดย WILLIAM STEVENSON เมื่อปี ค.ศ.1989 (พ.ศ. 2532) และต่อมาเป็นพระราชนิพนธ์แปลโดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งพระองค์ทรงตั้งชื่อว่า “นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” ในหน้า 357 เล่าถึงช่วงชีวิตจริงตอนหนึ่งของ IAN FLEMING (เอียน เฟล็มมิง) ขณะไปปฏิบัติงานให้กรมข่าวทหารเรืออังกฤษในฤดูร้อนปี ค.ศ. 1941 โดยเขาได้เห็นปัญหาการทำงานจารกรรมและการต้องปกปิดทุกอย่างเป็นความลับมากมายหลายเรื่อง การฆ่า การถูกฆ่า การมุ่งมั่นทำงานเพื่อชาติ เพื่อให้ได้ชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง ที่แรกเริ่มไม่มีวี่แววเลยว่าจะต้านพลังและฟันฝ่าอำนาจของ ADOLF HITLER (อะดอล์ฟ ฮิตเลอร์) เผด็จการนาซีเยอรมนีไปได้ แต่เครือข่ายสายลับอังกฤษภายใต้การนำอย่างลับสุดยอดของ WILLAM STEPHENSON หรือชื่อสายลับเรียกว่า “INTREPID” หรือ “นายอินทร์”  ก็สามารถเอาชนะเยอรมนีและสงครามโลกครั้งที่สองได้ สายลับจำนวนมากได้รับอนุญาตให้ฆ่าได้อย่างถูกต้องตามระเบียบราชการข่าวกรอง เรียกว่า “การฆ่าอันชอบธรรม”  เรื่องที่ต้องเก็บเป็นความลับไปจนตายนี้นั้นทำให้ IAN FLEMING จำต้องหาทางระบายออกมาเป็นงานเขียนนวนิยายสายลับ “JAMES BOND 007” เรื่องแรกในชีวิตการเป็นนายทหารเรือฝ่ายข่าวกรองและงานจารกรรม โดยอธิบายว่า รหัส 00 (ศูนย์สองตัว) มีความหมายว่าได้รับอนุญาตให้ฆ่าคน (LICENSE TO KILL)ได้โดยถือเป็น “การฆ่าอันชอบธรรม”

ในหนังสือ JAMES BOND 007 เรื่องแรก JAMES BOND ตัวเอกของเรื่องเล่าถึงการฆ่าของเขาสองครั้งแรก:

“เรื่องแรกเกิดขึ้นที่นิวยอร์ค – เรื่องผู้เชี่ยวชาญรหัสญี่ปุ่นขบประมวลรหัสของเราที่ ชั้นสามสิบหกของตึก อาร์.ซี.เอ. (R.C.A. BUILDING) ใน ร็อกกิเฟลเลอร์ เซนเตอร์ ซึ่งเป็นสถานกงสุลของอ้ายญุ่น. ผมไปเช่าห้องบนชั้นที่สี่สิบของตึกระฟ้าใกล้เคียง และสามารถมองข้ามถนนลงไปในห้องที่เขาทำงานอยู่ ต่อไป ผมเรียกเพื่อนร่วม หน่วยในนิวยอร์คมาพร้อมกับปืนเรมิงตันแบบสามสิบ-สามสิบ สองกระบอก ทั้ง กล้องเล็งทางไกลและเครื่องเก็บเสียง...ผู้นี้มีหน้าที่เพียงแต่ยิงให้กระจกหน้าต่างแตก เป็นช่องให้ผมยิงอ้ายญุ่นได้. ที่ร็อกกิเฟลเลอร์ เซนเตอร์ มีกระจกหน้าต่างหนา เพื่อ ไม่ให้เสียงจากภายนอกรบกวน. งานผ่านพ้นไปอย่างสะดวกมาก...ผมยิงโดนอ้ายญุ่น เข้าตรงปาก เมื่อมันหันมาอ้าปากค้างด้วยความตกใจ..”๑

หนังสือ JAMES BOND 007 เรื่องแรกนี้ IAN FLEMING ตั้งชื่อว่า “CASINO ROYALE”๒  เมื่อ IAN FLEMING เขียนเสร็จ ได้นำต้นฉบับไปให้ “นายอินทร์” (WILLIAM STEPHENSON) ผู้เป็นเจ้านายของเขาในชีวิตจริงได้อ่านดู  นายอินทร์บอกกับ IAN FLAMING ว่า 

“เรื่องอย่างนี้ขายไม่ออกหรอก. เรื่องจริงมักจะฟังดูแปลกไม่น่าเชื่อเสมอ...”๓

“นายอินทร์” คาดการณ์ผิดไปอย่างมาก เพราะทันทีที่ “CASINO ROYALE” พิมพ์จำหน่ายในปี ค.ศ. 1953 (พ.ศ. ๒๔๙๖) ในประเทศอังกฤษ JAMES BOND สายลับ 007 ก็กลายเป็นพระเอกคนใหม่แห่งโลกวรรณกรรมประเภทสายลับจารกรรมยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่เรียกว่า “ยุคสงครามเย็น” หรือ “COLD WAR” ซึ่งหมายถึงสงครามอุดมการณ์ที่ไม่ได้ลงมือสู้รบด้วยอาวุธจริงๆ หากแต่ข่มขู่กันด้วยการสะสมอาวุธร้ายแรง โดยเฉพาะอาวุธนิวเคลียร์ การจารกรรมข้อมูลข่าวสารต่างๆของฝ่ายตรงกันข้ามจึงเป็นเรื่องที่กระทำกันจริงๆ และทำต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ ส่วน JAMES BOND 007 ที่เป็นตัวแสดงในนวนิยายก็ยังทำหน้าที่มาจนทุกวันนี้เช่นกัน ผ่านยุคสงครามเย็น มาสู่ยุคการเผชิญหน้า ยุคเจรจาผ่อนคลายความตึงเครียด ยุคสหภาพโซเวียตล่มสลายแยกดินแดนออกเป็นหลายสาธารณรัฐ และจนถึงยุคโลกาภิวัตน์ในปัจจุบัน JAMES BOND ก็ยังไม่ตาย ไม่แก่ และ เปลี่ยนโฉมหน้าอยู่เป็นครั้งคราว

บุคคลที่มีชื่อเสียงทั้งหลายที่ปรากฎในหนังสือ “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ” ล้วนมีชีวิตลับเป็นหน่วยจารกรรมข่าวกรองเสี่ยงชีวิตเพื่อปฏิบัติการใต้ดินต่อต้าน HITLER, และ NAZI GERMANY ทั้งสิ้น

ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของ INTREPID ทุกคนล้วนเป็นนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระเช่นเดียวกับ

WILLIAM STEPHENSON หรือ “INTREPID” ผู้เป็นหัวหน้า ทั้งสิ้น หากไม่มีหนังสือที่เปิดเผยข้อมูลลับเรื่อง A MAN CALLED INTREPID ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแปล และให้ชื่อว่า “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ” ก็คงไม่มีใครทราบ

หนังสือเล่มนี้มิได้เป็นงานวรรณกรรมล้ำเลิศของโลกเฉกเช่นงานของ HOMER, WILLIAM SHAKESPEARE, CHARLES DICKENS หรือ LEO TOLSTOY ทำไมพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรสยามจึงได้ทรงอุทิศเวลาอันมีค่าของพระองค์ถึงสามปี เพื่อแปลหนังสือเล่มนี้? หากพระองค์จะอ่านและทรงรับประโยชน์จากเรื่องของนายอินทร์แต่เพียงอย่างเดียว เวลาอ่านวันเดียวก็คงพอเพียง การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแปลเรื่อง INTREPID เป็นภาษาไทยนั้นก็เพื่อให้พสกนิกรของพระองค์ได้ร่วมอ่านหาความรู้ รับความประทับใจไปด้วย ดังนั้นเป้าหมายสำคัญของการอ่านพระราชนิพนธ์แปลเรื่อง

“นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” จึงต่างกับจุดมุ่งหมายในการอ่าน “A MAN CALLED INTREPID”

ที่เป็นต้นฉบับภาษาอังกฤษ อ่าน “นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” นอกจากจะได้ความรู้ ข้อมูลลับสุดยอดยามสงคราม และความตื่นเต้นที่ได้จากเรื่องจริงที่ยิ่งกว่านิยายแล้ว ผู้อ่านชาวไทยจะต้องหาคำตอบให้ได้ว่า “นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” นั้นสำคัญอย่างไรสำหรับพระเจ้าอยู่หัว และความสำคัญนั้นย่อมเป็นสิ่งที่พสกนิกรของพระองค์พึงต้องทราบหัวใจสำคัญของเรื่อง

“นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” เรื่องของคนดีที่เสียสละเพื่อชาติ ตลอดความยาว 603 หน้า ล้วนเป็นเรื่องของคนดีที่ชาติต้องการทั้งสิ้น เมื่ออ่านจบจึงรู้ว่านี่คือลักษณะคนดีที่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงต้องการสนับสนุนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ

มาเดอเลน (MADELENE) เป็นชื่อ CODE ลับ ของสายลับสาวสวย เลือดผสม อินเดีย กับ อเมริกัน ชื่อจริง NOOR INAYAT KHAN (นอร์ อินายัต ข่าน) สมัครและฝึกงานสายลับกับ นายอินทร์ เมื่ออายุ 25 ออกเดินทางไปกระโดดร่มลงที่ฝรั่งเศส และเริ่มหาที่หลบซ่อน แฝงตัว ทำหน้าที่ส่งข่าวผ่าน CODE วิทยุสื่อสาร ได้นานสามเดือนครึ่ง ถูก ตำรวจลับ GESTAPO จับตัวและกักขังในค่ายทรมานสังหารนักโทษนาน 10 เดือน และถูกประหารชีวิต ณ ค่าย ดัคเคา (DACHAU)  ใน GERMANY วันที่ 12 กันยายน 1944 ชีวิตที่สั้นนักของสายลับ มาเดอเลน นั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแปลเรื่องของ เธออย่างสะเทือนอารมณ์ยิ่งนัก ในบทที่ 27 (น. 289) พร้อมทั้งทรงเพิ่มเติมเป็นคำอธิบายจากผู้แปล

นอกเหนือไปจากที่มีในหนังสือต้นฉบับภาษาอังกฤษด้วยเรื่องราวเสียงชีวิต และเอาตัวเข้าและกับข่าวกรองโดยงานจารกรรมของสายลับ CYNTHIA

บทที่ 35 ถึง 38 ให้อารมณ์ระทึกใจอีกแบบหนึ่ง ต่างไปจากความสะเทือนใจที่ได้จากเรื่อง ของมาเดอเลน CYNTHIA ไม่ตาย แต่พลีร่างกายให้กับงานจารกรรมอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด นอกจากชัยชนะเหนือ HITLER ผู้คลั่งอำนาจ

เครือข่ายสายลับของ INTREPID อยู่ในอังกฤษ NEW YORK, CANADA, BERMUDA, TRINIDAD, JAMAICA และอีกหลายแห่งในโลกสายลับหลายแสนคน ส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครรับรู้ถึงวีรกรรม และจำนวนหลายหมื่นคนตายไป โดยไม่มีใครสดุดีอย่างเป็นทางการ 

IAN FLEMING จากกรมข่าวทหารเรืออังกฤษ ผู้ร่วมงานบริหารเครือข่ายจารกรรม และผู้ช่วยคนสำคัญของ INTREPID รู้เห็นเรื่องและวีรกรรมลับของจารชนทั้งหลาย ไม่สามารถเปิดเผยเรื่องลับเหล่านั้นได้ ดังนั้น IAN FLEMING จึงเริ่มเขียนนวนิยายสายลับจารชน 007 หักเหลี่ยม สอบสวนสืบสวนเรื่องแรกชื่อ “CASINO ROYALE” ในปี 1953 INTREPID ตรวจต้นฉบับแล้วบอกกับ IAN FLEMING ว่า

[น.357]
“เรื่องอย่างนี้ขายไม่ออกหรอก. เรื่องจริงมักจะฟังดูแปลกไม่น่าเชื่อเสมอ...”

JAMES BOND 007 ประสพความสำเร็จเป็นนิยายสายลับ ต่อเนื่องมา 14 เล่ม คนทั้งโลกยังอ่านมาจนทุกวันนี้

ชีวิตของ INTREPID และสายลับใต้ดินทุกคน ตื่นเต้น ระทึกใจยิ่งกว่าชีวิตของ JAMES BOND

และส่วนใหญ่ จบชีวิต โดยไม่มีใครรู้จัก ... แต่โลกไม่มีวันลืม
สมเกียรติ อ่อนวิมล
5 ธันวาคม 2557

_____________________________________
​

หมายเหตุ
๑. สำนวนแปลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จากเรื่อง “นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” สำนักพิมพ์ บริษัท อมรินทร์พรินติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด พ.ศ. ๒๕๓๖ (หน้า ๓๕๗) – โปรดสังเกตการใช้เครื่องหมายจุดจบประโยค อันเป็นแบบฉบับงานพระราชนิพนธ์ของพระองค์
๒. ชื่อภาษาไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเรียกทับศัพท์ว่า “คาสิโน รัวยาล”ส่วนในหนังสือแปลเป็นภาษาไทย เรียกว่า “เหลี่ยมนักเลง” เป็นหนังสือแปลโดย ผู้ใช้นามปากกา “จารุวัฒน์” พิมพ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๗ โดยสำนักพิมพ์รวมสาส์น ราคา ๓๕ บาท
๓. จาก “นายอินทร์ ผู้ปิดทองหลังพระ” หน้า ๓๕๗
Picture
Picture
“แม่เล่าให้ฟัง...แม่สนิทสนมสมาคมกับ...”
พระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
 (สมเด็จพระโสทรเชษฐภคินี)


หนังสือเรื่อง “แม่เล่าให้ฟัง” พระนิพนธ์โดย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์นั้น มีการกล่าวถึงมากในเวลานี้ หลังจากที่พระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้วนั้น ส่วนที่สองของหนังสือว่าด้วยเรื่องนักปราชญ์ฝรั่งเศสผู้เป็นที่ชื่นชอบของ “แม่” หรือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และต่อไปนี้เป็นบางส่วนของหนังสือ
“แม่เล่าให้ฟัง” ภาค 2 ว่าด้วยเรื่อง “แม่สนิทสนมสมาคมกับ....ใครบ้าง?”
พระนิพนธ์โดย สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

[หน้า 227]
“Dis-moi qui tu hantes, je te dirai qui tu es”
“บอกสิว่า เธอสนิทสนมสมาคมกับใคร แล้วจะบอกให้ว่า เธอเป็นคนอย่างไร”

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงยกภาษิตฝรั่งเศสบทหนึ่งขึ้นมาเพื่อจะทรงบอกผู้อ่าน “แม่เล่าให้ฟัง” ได้ทราบว่าการอ่านหนังสืออะไร หนังสือของใคร การเรียนรู้ปรัชญา ความคิดของใครอย่างสนิทชิดเชื้อ ย่อมเทียบได้กับความสนิทสนมสมาคมกับเจ้าของความคิดผู้เขียนหนังสือเหล่านั้น

สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงพระนิพนธ์ว่า
“แม่” หรือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงอ่านหนังสือของนักปรัชญาชาวตะวันตกมากมายหลายคน ตั้งแต่ Platon (Plato), Aristote (Aristotle), Edgar Wallace ไปจนถึง Sir Arthur Conan Doyle และ Agatha Christie ในภาค 2 ของหนังสือ “แม่เล่าให้ฟัง”
สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ทรงนำเรื่องของนักปราชญ์ชาวตะวันตก 11 คนมาทรงพระนิพนธ์ว่าเป็นบุคคลที่ “แม่สนิทสนมสมาคมด้วย” จากการอ่านหนังสือของนักปรัชญาเหล่านี้

(232)
Democrite
เดโมคริต
(BCE 460-370)
นักปรัชญาชาวกรีก มีช่วงชีวิตอยู่ระหว่างปี 460-370 ก่อนคริสตกาล หรือ ระหว่างปี พ.ศ. 83-173 Democrite
“ได้พัฒนาทฤษฎีปรมาณูของเลอซิปป์ (Leucippe) และทำให้ชัดขึ้น ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีแรกทื่ถือว่า ทุกสิ่งในโลกมาจากวัตถุไม่ได้ถูกสร้างโดยเทพเจ้าใดๆ ทุกอย่างประกอบด้วยปรมาณู ซึ่งแบ่งออกไม่ได้ ทฤษฎีของ Democrite มีส่วนหนึ่งที่เป็นจริยธรรมซึ่งสอนให้มนุษย์มีความปรารถนาแต่พอสมควร“

“ความปรารถนาแต่พอสมควร”
ของ Democrite ผ่านสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ส่งต่อไปยัง สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ  ถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ออกมาในรูปของ
“ความปราถนาอย่างพอเพียง” หรือ “เศรษฐกิจแบบพอเพียง” นั่นเอง

(234 ข้อ 27)
Democrite สอนว่า
“การหาทรัพย์ได้นั้นเป็นประโยชน์ แต่ถ้าเราได้ทรัพย์มาโดยไม่เป็นธรรมก็เป็นความเลวร้ายอย่างมหันต์”

(236)
Epictete
เอปิคเตท
(CE 50-125)
 ‘เป็นนักปรัชญากรีก...ถูกนำไปเป็นทาสที่ Rome หลังจากที่พ้นจากการเป็นทาส ได้ศึกษาปรัชญาลัทธิสโตอิค (Stoicisme) ต่อมาจักรพรรดิโรมันเนรเทศนักปรัชญาทุกคนไปจากกรุงโรม Epictete จึงกลับกรีซและเปิดสำนักปรัชญา เขาไม่ได้เขียนหนังสือเลย แต่ศิษย์ของเขาชื่อ Arrien ได้เขียนคำสอนของอาจารย์ไว้ใน “Entretiens” และ “Manuel” ‘

Epictete สอนว่า
(236)
“จงอย่าขอให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นไปตามใจปรารถนา แต่จงปรารถนาในสิ่งที่มีมาเอง แล้วเธอก็จะดำเนินชีวิตอันผาสุก”

(237)
Descartes
เดส์คารตส์
(CE 1596-1650)
“Rene Descartes เป็นนักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ฝรั่งเศส เกิดที่ฝรั่งเศสในสกุลชนชั้นกลางที่ร่ำรวย ได้รับการศึกษาอย่างดีกับพระนิกาย Jesuites เมื่อเรียนจบแล้ว Descartes ลังเลใจในการเลือกอาชีพอยู่นาน ในที่สุดเป็นทหารอาสาในกองทัพต่างๆ ฃอยู่พักหนึ่ง และเดินทางไปประเทศในยุโรปหลายประเทศ ตั้งแต่ ค.ศ. 1629 ไปอยู่ฮอลแลนด์ และพักอยู่ 20 ปี Dsacartes ได้เขียนหนังสือวิทยาศาสตร์และปรัชญาหลายเล่ม รวมทั้งจดหมายโต้ตอบกับนักปราชญ์ทั่วยุโรป ในทีสุดพระราชินี Christine แห่งสวีเดนเชิญไปอยู่ที่ Stockholm แต่ Descartes ปอดบวมและถึงแก่กรรม 5 เดือนหลังจากที่ไปถึง” Descartes บอกว่า:

(238)
“การมีกฎมากๆมักทำให้ความชั่วหาข้อแก้ตัวได้”

(239)
La Rochefoucauld
ลารอชฟูโคล์ด์
(CE 1613-1680)
“Francois, duc de la Rochefoucauld เป็นนักจริยธรรมฝรั่งเศส เกิดมาในตระกูลชั้นสูง....งานสำคัญที่สุดของ La Rochefoucauld คือ ‘Reflexions ou Sentences et Maximes Morales’ หรือคติพจน์ เป็นสิ่งที่ชอบแต่งกันในสมัยนั้น”

(242 ข้อ30)
1 ใน 500 คติพจน์ ของ La Rochefoucauld สอนว่า
“ความมโหฬารในพิธีศพสำคัญสำหรับความภาคภูมิใจของผู้ที่มีชีวิตอยู่มากกว่าเป็นเกียรติแก่ผู้ตาย”

(244-245)
Pascal
ปาสคัล
(CE 1623-1662)
 “Blaise Pascal เป็นนักคณิตศาสตร์ นักฟิสิกส์ และนักจริยศาสตร์ ฝรั่งเศส...ในครอบครัวซึ่งเป็นผู้มีอันจะกิน...เมื่ออายุ 12 ปี ได้ค้นพบกฎเรขาคณิตของ Euclid ด้วยตนเอง เมื่ออายุ 16 ปี เขียนหนังสือคณิตศาสตร์ และเมื่ออายุ 18 ปี สร้างเครื่องคิดเลข แล้วร่วมกับผู้อื่นคิดกฎขอแคลคูลัส...ในปี 1654 Pascal…หันเข้าหาศาสนาอย่างเต็มที่”

(245 ข้อ 1)
Pascal นำศาสนามาอธิบายเป็นปรัชญาว่า
“คนเราไม่จำต้องมีจิตใจสูงมากก็จะเข้าใจได้ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นความพึงพอใจที่แท้จริงและมั่นคง...ความสุขสนุกสนานนั้นเป็นเพียงเรื่องไร้สาระ และความทุกของคนเรานั้นไม่มีวันจบสิ้น”

(250)
Montesquieu
มงเตสกิเยอ
(CE 1689-1755)
“Montesquieu เป็นนักเขียนฝรั่งเศส ...ศึกษาวิชากฎหมายและเป็นผู้พิพากษาที่บอร์โดซ์...เขียนบทความหลายบท และ..หนังสือสำคัญ 2 เล่ม เกี่ยวกับชาติโรมัน...(และ) กฎหมาย...สมุดบันทึก 3 เล่ม ซึ่ง มง
เตสกิเยอเรียก Pensees”

Montesquieu พูดถึงเสรีภาพและรัฐธรรมนูญว่า
(255 ข้อ 27)
“เสรีภาพที่แท้จริงเป็นเป็นสภาพทางปรัชญามากกว่าจะเป็นสภาพที่เป็นจริง ข้อนี้มิได้เป็นอุปสรรคต่อการที่จะมีรัฐบาลดีมากหรือเลวมากได้ และรัฐธรรมนูญใดห่างไกลออกไปจากมโนคติแห่งเสรีภาพทางปรัชญาที่เราสร้างไว้ รัฐธรรมนูญนั้นก็จะไม่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น”
[Montesquieu]

(256)
Voltaire
วอลแตร์
(CE 1694-1778)
“Voltaire เป็นนามแฝงของ Francois-Marie Arouet เป็นนักเขียนฝรั่งเศส...เป็นนักประพันธ์...ฉลาดและชอบพูดหรือเขียนบทคามที่เสียดสี...รักความยุติธรรม...ใจกว้าง.....Voltaire ได้เขียนวรรณคดีทุกประเภท เช่น ละคร กวีนิพนธ์ ประวัติศาสตร์...เช่น ‘Candide’ หรือ ‘Zadig’ และ ‘Correspondance’ (จดหมายโต้ตอบ) ซึ่งมีจำนวนถึง 6,000 ฉบับ”
​
Voltaire ประชดคนเกียจคร้านว่า

(257 ข้อ 1 และ 2)
 “การไม่มีอะไรทำและการไม่มีชีวิตนั้นเหมือนกัน ทุกคนดี ยกเว้นคนเกียจคร้าน”.. “หากท่านไม่ปรารถนาจะทำลายชีวิตตัวเอง ก็จงหาอะไรทำ”

(258-259)
Rousseau
รุสโซ
(CE 1712-1778)
“Jean-Jacques Rousseau เป็นนักเขียนเกิดที่ Geneve (สวิตเซอร์แลนด์) ในสกุลฝรั่งเศศ...ศึกษาวิชาต่างๆด้วยตนเอง...ได้รับความสำเร็จด้านดนตรีและการประพันธ์...เขียน ‘Le Contrat Social’ และ ‘Emile’ ซึ่งเป็นหนังสือสำคัญของเขา”

(260)
Rousseau บอกว่า
“ทุกอย่างในโลกอยู่ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงไม่หยุดหย่อน ไม่มีสิ่งใดคงสภาพอันแน่นอนและคงที่....สำหรับความสุขที่ยั่งยืน ข้าพเจ้าสงสัยว่า เราจะรู้จักกันหรือเปล่า”

(262)
Vauvenargues
โวเวอนาร์กส์
(CE 1715-1747)
“Luc de Clapiers, marquis de Vauvenargues (ลุก เดอ คลาปิเอร์, มาร์กีส์ เดอ โวเวอนาร์กส์) เป็นนักจริยธรรมซึ่งเกิดในตระกูลขุนนางที่ Aix-en-Provence ในภาคใต้ของฝรั่งเศส...เขาได้ลาออกจากการเป็นทหาร และมาเขียนหนังสือจริยธรรมที่ปารีส เขาถึงแก่กรรมเมื่ออายุได้เพียง 32 ปี และทิ้งหนังสือที่เขียนยังไม่จบไว้หลายเล่ม”
Vauvenargues เห็นว่า

(262 ข้อ 1)
“การได้ดีอย่างรวดเร็วทุกประเภทไม่สู้แน่นอน เพราะว่าส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นผลแห่งงานที่มีคุณค่า การใดที่สำเร็จได้อย่างยากเย็นและรอบคอบนั้นกินเวลานานเสมอ”


(266)
Maurois
โมรัวส์
(CE 1885-1967)

 “Emile Herzog ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น Andre Maurois เป็นนักเขียนฝรั่งเศส...เขียน ‘Les Silences du Colonel Bramble’ ...ทำให้คนรู้จักเขา...เขียนหนังสือประเภทนวนิยายเช่น ‘Climats’ (ค.ศ. 1928) ประเภทจริยธรรม เช่น ‘Un Art de Vivre’ (1939) ประเภทประวัติศาสตร์ เช่น “Histoire des Etats-Unis’ (1943) ประเภทชีวประวัติ (เช่น) ‘La Vie de Balzac’ (1965)”

(191)
Maurois ยกย่องผู้หญิงว่า
“ตัวอย่างอันดีของการรวมกันในงานที่ใช้แรงและงานที่ใช้สมองคืองานของแม่บ้าน เมื่อเธอทำงานนี้ด้วยความรัก สตรีผู้ดูแลบ้านของตนอย่างดีนั้น เป็นทั้งราชีนี ทั้งข้าแผ่นดิน”


(269-270)
Sartre
ซาร์ตร์
(CE 1905-1980)
“Sartre นักปรัชญาและนักเขียนฝรั่งเศส ศึกษาที่ Ecole  Normale Superieure (โรงเรียนวิชาครูชั้นสูง) และเป็นครูสอยวิชาปรัชญา เป็นผู้ที่ทำให้ลัทธิปรัชญา Existentialisme (อัตถิภาวะนิยม) โด่งดังขึ้นมาระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เข้าได้เผยแพร่ Existentialisme โดยเขียนนวนิยาย เช่น ‘La Nausee’ (1938) บทละคร เช่น ‘Huis Clos’ (1944), ‘Les Mains Sales’ (1948) หนังสืออธิบายปรัชญา เช่น ‘L Ettre et le Neant’ (และ) ‘L Existentialisme est un humanisme’“
Existentialisme หรือปรัชญาอัตถิภาวะนิยม ของ Sartre บอกว่า
(270-273)

“ความมีอยู่มาก่อนแก่นแท้...ทุกอย่างเริ่มต้นจากภาวะจิตวิสัย ...เริ่มต้นจากตัวเราเอง มนุษย์นั้นเกิดมาก่อน ได้พบขึ้น ปรากฏขึ้นในโลก...แล้วจึงถูกกำหนดภายหลังดังที่ปรารถนาจะเป็น ...กำหนดตัวเอง... มุ่งไปสู่อนาคต ...มีความรับผิดชอบทั้งมวลในความมีอยู่ ....รับผิดชอบตนเอง... รับผิดชอบคนทุกๆคน”

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหนังสือที่แม่เล่าให้ฟังว่าแม่ชอบอ่าน

นี่คือคนที่ “แม่สนิทสนมสมาคมด้วย”
“แม่เล่าให้ฟัง”
พระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สมเด็จพระโสทรเชษฐภคินี

5 ธันวาคม 2558
Picture
Picture
Picture
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ กับ ลัทธิสังคมนิยม

สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ นับว่ามีแนวคิดเชิงอุดมการณ์เพื่อพสกนิกรภายใต้ราชอาณาจักรของพระองค์ แบบก้าวหน้ามากที่สุดในโลกในเรื่องการรับอุดมการณ์สังคมนิยม หรือ Socialism มาใช้ในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม 


ลัทธิสังคมนิยมมีต้นกำเนิดจากปรัชญาสังคมการเมืองในยุโรปสมัยโบราณ แล้วมีพัฒนาการแนวคิดมาเป็นเครื่องมือการต่อสู้ทางการเมืองของ Karl Marx ในเอกสารชื่อ The Communist Manifesto เมื่อ 166 ปีที่แล้ว เรียกว่าเป็นสังคมนิยมแบบมาร์คซิสต์ (Marxist) หรือ คอมมิวนิสต์ (Communist)


เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จไปฟังการอภิปรายของนักวิชาการ เรื่อง"สังคมนิยมในสังคมไทย" ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อีกหนึ่งวันถัดมาพระองค์ได้ทรงพระราชทานความเห็นต่อเนื่องเรื่องสังคมนิยมในประเทศไทย ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ว่า :


ประเทศไทยนั้นเป็นสังคมนิยมได้ ทำได้ พระองค์ทรงทำเป็นตัวอย่างให้ปรากฏแล้ว และประสพความสำเร็จเป็นสังคมนิยมที่สมบูรณ์แบบที่สุด ที่หมู่บ้านหุบกระพง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี


หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนเล่าเรื่องนี้ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวัน ปลายปี 2515 ดังปรากฏในหนังสือชื่อ " ... คือ คึกฤทธิ์" เรียบเรียงโดย สมบัติ ภู่กาญจน์ จัดพิมพ์โดยมูลนิธิคึกฤทธิ์ 80ฯ เมื่อเดือนเมษายน ปี 2554 หน้า 263-271 ดังภาพถ่ายข้างล่างต่อไปนี้:

Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture

​พระเจ้าอยู่หัว 
กับ Michael Todd 
และ ภาพยนตร์เรื่อง
“80 วันรอบโลก
” (1956)
King Bhumibol
And Michael Todd’s
“Around the World in Eighty Days” (1956)


    ในปี ค.ศ. 1873 Jules Verne นักเขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้ผลิตงานวรรณกรรมอมตะเรื่อง “Around the World in Eighty Days” หรือ “รอบโลกในแปดสิบวัน” 
    ต่อมาในปี 1956 Michael Todd ได้นำเรื่องจากหนังสือ “Around the World in Eighty Days” มาผลิตเป็นภาพยนตร์เรื่อง “Around the World in 80 Days” เมื่อมาฉายในประเทศไทยใช้ชื่อภาษาษาไทยว่า “80 วันรอบโลก” เป็นภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงสูงสุดให้กับ Mike Todd ในฐานะผู้ควบคุมการสร้าง (Producer) ภาพยนตร์ Hollywood ( Todd มีชื่อเสียงมากอยู่แล้วจากงานละครเวที Broadway และงานพัฒนาเทคโนโลยีภาพยนตร์จอกว้างระบบ “Todd-AO”)  
    ในปี 1957 ภาพยนตร์เรื่อง “Around the World in Eighty Days” ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัล Oscar มากถึง 8 ประเภท และในที่สุดก็ได้รับ 5 รางวัล Oscar คือ :

1. Best Picture, 1957 - Michael Todd, producer/ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 1957
  1. Best Cinematography, Color - Lionel Lindon / ถ่ายภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
  2. Best Film Editing - Gene Ruggiero and Paul Weatherwax / ตัดต่อลำดับภาพยอดเยี่ยม
  3. Best Music, Scoring of a Dramatic or Comedy Picture - Victor Young / ดนตรีประกอบยอดเยี่ยม
  4. Best Writing, Best Screenplay, Adapted - John Farrow, S. J. Perelman, and James Poe / เขียนบทภาพยนตร์ดัดแปลง(จากวรรณกรรมต้นฉบับเดิม)ยอดเยี่ยม
ส่วนที่ไม่ได้รับรางวัลแต่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลคือ :
  1. Nominee: Best Art Direction-Set Decoration, Color - Ken Adam, Ross Dowd, and James W. Sullivan / กำกับศิลป์และฉากยอดเยี่ยม
  2. Nominee: Best Costume Design, Color - Miles White / ออกแบบเครื่องแต่งกายยอดเยี่ยม
  3. Nominee: Best Director - Michael Anderson / กำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

    เนื้อเรื่องในหนังสือกับในภาพยนตร์มีความแตกต่างกันหลายอย่าง ด้วยธรรมชาติของการสร้างภาพยนตร์เพื่อความบันเทิงตื่นตาตื่นใจจากภาพ.แสง.สี.เสียง.และศิลปะการสร้างภาพยนตร์ที่เปิดกว้างต่อจินตนาการแบบไร้กรอบจำกัด ที่ถูกวิจารณ์มากคือการเพิ่มเติมฉากการเดินทางจากกรุงปารีสโดยลูกบอลลูนบรรจุก๊าซฮีเลี่ยม ซึ่งในหนังสือของ Jules Verne ไม่มีการเดินทางโดยบอลลูน เทคโนโลยีในศตวรรษที่ 18 ช่วงที่เขียนหนังสือนั้นยังไม่มีความเป็นไปได้อย่างสมบูรณ์ แต่ Michael Todd ก็อธิบายถึงเหตุผลของการดัดแปลงปรับแก้ทำให้ภาพยนตร์มีสีสันตระการตาสนุกสนานเป็นได้ทั้งภาพยนตร์ผจญภัยสนุกสนานและเป็นได้ทั้งภาพยนตร์สารคดีแบบยิ่งใหญ่นำเที่ยวประเทศต่างๆรอบโลกด้วยการถ่ายทำ ณ สถานที่จริงยิ่งใหญ่โอฬาร แสดงนำโดย David Niven, Shirley MacLaine, Robert Newton, และ Cantinflas พร้อมด้วยนักแสดงที่มีชื่อเสียงของ Hollywood กว่า 40 คน (Frank Sinatra, George Raft, Marlene Dietrich, Noel Coward, Robert Morley, etc.)  รับบทแสดงผ่านฉากสั้นๆที่เรียกว่า “cameo appearances” ร่วมเข้าฉากแสดงกันมากกว่า 40 คน และตัวประกอบอีกหลายหมื่นคน 

Picture
​ที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชของเราพสกนิกรชาวไทยก็คือ Mike Todd ดัดแปลงเรื่องในบทภาพยนตร์ให้ Phileas Fogg (David Niven) พระเอกในเรื่องเดินทางรอบโลกโดยผ่านกรุงเทพมหานคร ทั้งๆที่ในเรื่องต้นฉบับในหนังสือของ Jules Verne ไม่มีการเดินทางผ่านประเทศไทยเลย 
    ในต้นฉบับหนังสือของ Jules Verne Fogg จะเดินทางไปทางทิศตะวันออก จากลอนดอน ผ่านคลอง Suez -- Bombay -- Calcutta -- ช่องแคบสุมาตรา -- Singapore -- Hong Kong -- Yokohama -- San Francisco -- New York -- London 
    แต่ในภาพยนตร์ Mike Todd ตัดส่วนที่ผ่านสิงคโปร์ออกไปแล้วเขียนบทใหม่ให้เดินทางผ่านกรุงเทพฯ ภาพทั้งหมดในภาพยนตร์ที่ฉายในโรงใช้เวลา 12 วินาที แต่ใช้เวลาซ้อมนานสี่เดือน (นักศึกษาวิชาภาพยนตร์อาจค้นคว้าเพิ่มเติมได้ และอาจพบต้นฉบับฟิล์มที่่ถ่ายทั้งหมดก็ได้ หากพบดังที่ว่านี้ก็จะเป็นประโยชน์ทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง)
    ที่ Mike Todd ทำเช่นนี้เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยนั่นเองที่ทรงมี Mike Todd เป็นพระสหาย ทำให้ Mike Todd รักเมืองไทยและกรุงเทพมหานคร ฉากขบวนเรือพยุหยาตราชลมารค ผ่านหน้าพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามฯ จึงโด่งดังไปทั่วโลกจนทุกวันนี้ 

    กาลต่อมาหากภาพยนตร์ Hollywood จะถ่ายฉากเมืองไทยก็มักจะนิยมถ่ายภาพประปรางค์วัดอรุณ เรียกได้ว่าเป็นภาพเด่นของสถานที่สำคัญของโลกภาพหนึ่ง                >>>
Picture
   
ใน DVD  ชุดพิเศษ เรื่อง 80 Days Around the World หากดูภาพยนตร์แบบที่มีเสียงบรรยายวิจารณ์การถ่ายทำจะพบหลักฐานดังนี้:

Disc 1
Scene Selection:   เสียงภาพยนตร์
Scene 22 (1:23:00) ฉากนำก่อนหน้า ระหว่างอยู่อินเดีย
Scene 23 (1:26:10-1:26:51) ฉากเข้ากรุงเทพฯ แม่น้ำเจ้าพระยา เรือสุพรรณหงษ์

Disc 1
Special Features / Commentary by BBC Radio’s Brian Sibley: เสียงบรรยายเบื้องหลังงาน

Scene 22 (1:23:00) ฉากนำก่อนหน้า ระหว่างอยู่อินเดีย

Scene 23 (1:26:10-1:26:51) ฉากเข้ากรุงเทพฯ แม่น้ำเจ้าพระยา เรือสุพรรณหงษ์

“ As the Rangoon glides past Bangkok, prominent among the pictures is the royal barge of Thailand. 155-feet long and complete with a solid gold throne and maned by 70 oarsmen. It was said that the crew rehearsed for 4 months for this 12 seconds appearance. This glittering prop was provided by Thailand’s King Bhumihol. Back in 1949, the then Prince Bhumibol, an accomplished jazz musician has tried his hand at song writing using the pseudo name of Bhumibol. Todd read a newspaper item  about him and got in touched with the Prince. Within days Todd received a package of six songs which he used in his Broadway burlesque review “Peep Show”. “Blue Night” (อาจหมายถึง “Blue Day / อาทิตย์อับแสง” หรือ “H.M. Blues / ชะตาชีวิต”? ไม่แน่ใจ) was considered the best of the Prince’s tunes which Todd placed as the first-act finale of Billy Eckstine. Bhumibol insisted that if there was ever anything he could do to reciprocate Todd must call on him. So, of course, Todd did.”
“เมื่อเรือย่างกุ้งเคลื่อนตัวผ่านบางกอก ก็เห็นภาพเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์โดดเด่นตระการตาท่ามกลางความงดงามโดยรอบ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์มีความยาวถึง 155 ฟุต 70 ฝีพาย พระราชอาสน์ทำด้วยทองคำ ว่ากันว่าฝีพายใช้เวลาซ้อมถึงสี่เดือนสำหรับเข้าฉาก12 วินาทีในภาพยนตร์ ขบวนเรืออันตระการตานี้พระเจ้าอยู่หังภูมิพลแห่งประเทศไทยทรงจัดให้. ย้อนหลังไปปี 1949 ครั้งที่พระองค์ยังทรงเป็นเช้าชายภูมิพลนั้น พระองค์เป็นนักดนตรี jazz ผู้มีปรีชาแถมยั้งลองแต่งเพลงอีกโดยใช้พระนามแฝงว่า “ภูมิพล”. Todd ก็ได้อ่านข่าวเกี่ยวกับพระองค์ในหนังสือพิมพ์แล้วติดต่อพระองคืไป หลังจากนั้นไม่กี่วัน Todd ก้ได้รับพัสดุไปรษณีย์กลับมาห่อหนึ่ง ภายในมีเพลงโดยเจ้าชายภูมิพลอยู่ 6 เพลง ซึ่ง Todd ได้นำไปใช้ประกอบละคอนระบำเปลื้อผ้าบนเวทีบรอดเวย์เรื่อง “Peep Show” เพลง Blue Night (อาจหมายถึง “Blue Day / อาทิตย์อับแสง” หรือ “H.M. Blues / ชะตาชีวิต”? ไม่แน่ใจ)* ถือเป็นเพลงที่ดีที่สุดของพระองค์ ซึ่ง Todd ใช้ในองค์ที่หนึ่งของละคอนฉากสุดท้าย โดย Billy Eckstine. เจ้าชายภูมืพลทรงบอกว่าจะมีอะไรให้ช่วยก็ทรงยินดี ให้ Todd โทรมาได้เลย แล้ว Todd ก็ติดต่อกลับไป.”

Disc 2
Around the World of Michael Todd
(30:14 - 30:27)
Mike Todd’s comment:
“We shot in every country that we have shown around the World. My Friend the King of Siam loaned me a Royal Barge. He once wrote some songs for one of my cultural achievements, ‘Be Thrilled’ ”

Mike Todd เล่า:
“เราถ่ายทำในทุกประเทศรอบโลก ตามภาพที่เห็นในภาพยนตร์ พระเจ้าแผ่นดินแห่งสยามเป็นเพื่อนผม พระองค์ทรงให้ยืมเรือพระที่นั่ง พระองค์เคยพระราชนิพนธ์เพลงหลายเพลงที่ผมใช้ใน “Be Thrilled”** อันเป็นความสำเร็จในงานวัฒนธรรมของผม”

[หมายเหตุ * และ ** เป็นข้อความที่ต้องค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความถูกต้องชัดเจน]

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ

5 ธันวาคม 2558

Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture

    ความเห็นของท่านมีคุณค่า ❊ WE VALUE YOUR OPINION

Submit
THAIVISION® 
REFLECTION ON EVENTS ON PLANET EARTH AND BEYOND 
​©2023 All Rights Reserved  Thai Vitas Co.,Ltd.  Thailand  
✉️
  • REFLECTION
  • ON PLANET EARTH
    • EARTH
  • AND BEYOND
  • THAILAND
    • KING BHUMIBOL
    • NATIONAL PARKS OF THAILAND >
      • KHAO YAI NATIONAL PARK
      • PHA TAEM NATIONAL PARK
      • PHU WIANG NATIONAL PARK
      • NAM NAO NATIONAL PARK
      • PHU HIN RONG KLA NATIONAL PARK
      • PHU KRADUENG NATIONAL PARK
      • PHU RUEA NATIONAL PARK
      • MAE YOM NATIONAL PARK
      • DOI SUTHEP-PUI NATIONAL PARK
      • DOI INTHANON NATIONAL PARK
      • THONG PHA PHUM NATIONAL PARK
      • KAENG KRACHAN NATIONAL PARK
      • MU KO ANG THONG NATIONAL PARK
      • MU KO SURIN NATIONAL PARK
      • MU KO SIMILAN NATIONAL PARK
      • HAT NOPPHARATA THARA - MU KO PHI PHI NATIONAL PARK
      • MU KO LANTA NATIONAL PARK
      • TARUTAO NATIONAL PARK
  • THE LIBRARY
    • THE GREAT ILLUSION/Norman Angell
    • MORNING WORLD BOOKS >
      • CASINO ROYALE
      • 1984
      • A BRIEF HISTORY OF TIME
      • A HISTORY OF THAILAND
      • CONSTITUTION OF THE UNITED STATES
    • DEMOCRACY IN AMERICA
    • FIRST DEMOCRACY
    • JOHN MUIR
    • MODELS OF DEMOCRACY
    • MULAN
    • THE VOYAGE OF THE BEAGLE
    • ON THE ORIGIN OF SPECIES
    • PHOOLAN DEVI
    • THE REPUBLIC
    • UTOPIA
    • A Short History of the World [H.G.Wells]
    • WOMEN OF ARGENTINA
    • THE EARTH : A Very Short Introduction
    • THE ENGLISH GOVERNESS AT THE SIAMESE COURT
    • TIMAEUAS AND CRITIAS : THE ATLANTIS DIALOGUE
    • HARRY POTTER
    • DEMOCRACY / HAROLD PINTER
    • MAGNA CARTA
    • DEMOCRACY : A Very Short Introduction
    • DEMOCRACY / Anthony Arblaster]
    • DEMOCRACY / H.G. Wells
    • ON DEMOCRACY / Robert A. Dahl)
    • STRONG DEMOCRACY
    • THE CRUCIBLE
    • THE ELEMENTS OF STYLE
    • THE ELEMENTS OF JOURNALISM | JOURNALISM: A Very Short Introduction
    • LOVE
    • THE EMPEROR'S NEW CLOTHES
    • THE SOUND OF MUSIC
    • STRONGER TOGETHER
    • ANIMAL FARM
    • POLITICS AND THE ENGLISH LANGUAGE
    • GEORGE ORWELL
    • HENRY DAVID THOREAU >
      • WALDEN
    • MAHATMA GANDHI
    • THE INTERNATIONAL ATLAS OF LUNAR EXPLORATION
    • พระมหาชนก
    • ติโต
    • นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ | A Man Called Intrepid
    • แม่เล่าให้ฟัง
    • SUFFICIENCY ECONOMY
    • พระเจ้าอยู่หัว กับ เศรษฐกิจพอเพียง
    • KING BHUMIBOL AND MICHAEL TODD
    • ... คือคึกฤทธิ์
    • KING BHUMIBOL ADULYADEJ: A Life's Work
    • THE KING OF THAILAND IN WORLD FOCUS
    • พระราชดำรัสเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ
  • IN MY OPINION
  • THAIVISION
  • SOMKIAT ONWIMON
    • MY STORY
    • THE DISSERTATION
    • THE WORKS >
      • MORNING WORLD
      • BROADCAST NEWS & DOCUMENTARIES
      • SPIRIT OF AMERICA
      • THE ASEAN STORY
      • NATIONAL PARKS OF THAILAND
      • HEARTLIGHT: HOPE FOR AUTISTIC CHILDREN IN THAILAND
    • KIAT&TAN >
      • TAN ONWIMON >
        • THE INTERVIEW