บทคัดย่อ เพื่อการมีส่วนร่วมในกระบวนการทางความคิดเพื่อปฏิรูปการเมืองไทย ในฐานะประชาชนธรรมดา ผมขอเสนอแนวทางการปฏิรูปการเมืองไทยให้เป็นสังคมประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยหวังจะเห็นข้อเสนอต่อไปนี้ปรากฏเป็นโครงสร้างหลักของอำนาจนิติบัญญัติ และ อำนาจบริหาร ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สรุปโดยย่อดังนี้:
ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปการเมือง
โดยละเอียด มีดังต่อไปนี้ : รัฐสภา ประกอบด้วย 2 สภา วุฒิสภา องค์ประกอบ มีสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 100 คน ที่มา สมาชิกวุฒิสภา มาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ ตามการถวายคำแนะนำขององคมนตรี วาระการดำรงตำแหน่ง 6 ปี อำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา 1. พิจารณากลั่นกรอง แก้ไข และให้คำแนะนำ ต่อร่างพระราชบัญญ้ติและงานอื่นที่ผ่านการพิจารณาจากสภาผู้แทนราษฎร ส่งต่อมายังวุฒิสภาเพื่อ การกลั่นกรอง ตามรัฐธรรมนูญ 2. กำกับดูแลและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ผ่านกระบวนการทำงานในวุฒิสภา เช่น การตั้งกระทู้ถาม การอภิปราย และการทำงานของกรรมาธิการ ฯลฯ 3. ประชุมร่วมกับสภาผู้แทนราษฎร เพื่อทำหน้าที่ดังต่อไปนี้: (1) รับรองรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี (2) แต่งตั้ง และ ถอดถอน องค์กรของรัฐที่เป็นอิสระตามรัฐธรรมนูญ (3) อภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจรัฐบาลและรัฐมนตรี (4) พิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด (5) พิจารณาและอภิปรายการแถลงนโยบาย และการแถลงผลงานประจำปีของรัฐบาล 4. วุฒิสภามีอำนาจเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และมีอำนาจถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี สภาผู้แทนราษฎร องค์ประกอบ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จำนวนไม่เกิน 300 คน ที่มา มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน วาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี อำนาจหน้าที่ (1) เสนอกฎหมาย (2) พิจารณากลั่นกรอง แก้ไข ร่างพระราชบัญญ้ติ ที่เสนอมาจากรัฐบาล (3) กำกับดูแลและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ผ่านกระบวนการทำงานในสภาผู้แทนราษฎร เช่น การตั้งกระทู้ ถาม การอภิปราย และการทำงานของกรรมาธิการ ฯลฯ (4) ประชุมร่วมกับวุฒิสภา เพื่อทำหน้าที่ดังต่อไปนี้: ก. รับรองรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี ข. แต่งตั้ง และ ถอดถอน องค์กรของรัฐที่เป็นอิสระตามรัฐธรรมนูญ ค. อภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจรัฐบาลและรัฐมนตรี ง. พิจารณาร่างพระราชบัญญัติตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด จ. พิจารณาและอภิปรายการแถลงนโยบายครั้งแรก และการแถลงผลงานประจำปีของรัฐบาล (5) สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และมีอำนาจถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และคณะ รัฐมนตรี การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หลักการ ให้ประชาชนทุกคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป มีสิทธิเลือกตั้ง และให้ประชาชนที่มีอายุ 25 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปมีสิทธิโดยอิสระ เสรีในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดต่างๆได้ โดยไม่จำกัดภูมิลำเนา และไม่ จำเป็นเป็นต้องสังกัดพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองใด เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วให้ทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรแต่เพียงอย่างเดียว ไม่มีหน้าที่ทำงานในตำแหน่งบริหารในคณะรัฐมตรีและในระบบราชการใดๆทั้งสิ้น จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเขตเลือกตั้ง 1. จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คิดเป็นสัดส่วนจำนวนประชากร 300,000 (สามแสน) คน ต่อผู้แทนราษฎร 1 คน หากคิดที่จำนวนประชากรปัจจุบัน 70 ล้านคน จะมีผู้แทนราษฎรได้ 233 คน ในอนาคต เมื่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นก็จะได้จำนวนผู้แทนราษฎรพิ่มขึ้นตามสัดส่วน แต่ต้องไม่เกิน 300 คน 2. จังหวัดที่มีประชากรไม่ถึง 300,000 คน มีผู้แทนราษฎรได้ 1 คน 3. จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งทั้งจังหวัด เป็นเขตเดียว ประชาชนทั้งจังหวัดเลือกผู้แทนราษฎรทั้งหมดเท่าที่มีได้ใน จังหวัดของตน ผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดตามลำดับ ถือว่าได้รับการเลือกตั้ง กระบวนการเลือกตั้ง 1. ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป มีสิทธิเลือกตั้ง 2. ประชาชนที่มีอายุ 25 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 3. ผู้ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้ง ให้ยื่นใบสมัครที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ณ จังหวัดที่ประสงค์จะเป็นผู้ แทนราษฎร โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่เกิด ภูมิลำเนา หรือสถานที่อยู่ 4. เอกสารประกอบการสมัครให้เป็นไปตามกฎหมายเลือกตั้ง และจะต้องมีเอกสารอธิบายประวัติชีวิตและงาน แสดงรายละเอียดว่าด้วยความเป็นพลเมืองดี มีคุณภาพ มีอุดมการณ์ วิสัยทัศน์ แนวนโยบาย ต่อการพัฒนา ประเทศและสังคมอย่างบริบูรณ์ เอกสารดังกล่าวนี้จะต้องเป็นความจริง ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสิน ใจของประชาชน และมีความยาวอย่างน้อย 10 หน้า และไม่เกิน 20 หน้า 5. ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งตรวจสอบคุณสมบัติและความถูกต้องของข้อมูลของผู้สมัครตามกฎหมายเลือกตั้ง เมื่อรับสมัครแล้ว ให้นำข้อมูลนั้นเผยแพร่ในระบบสารสนเทศ (internet website) ที่ กกต. จัดทำขึ้น พร้อมทั้ง พิมพ์เป็นรูปเล่มเอกสารกระดาษ ส่งตรงถึงผู้ มีสิทธิเลือกตั้งทุกคน ล่วงหน้าอย่างน้อย 90 วัน ก่อนวันเลือกตั้ง 6. การหาเสียงให้ทำได้ดังนี้ : (1) ผู้สมัครสามารถหาเสียง แนะนำตัว เสนอแนะวิสัยทัศน์ และ นโยบาย ได้ตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นต้องรอช่วง 90 วันสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง (2) การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารโดยเสรี ผ่านระบบเทคโนโลยี สารสนเทศ (internet website) ที่ผู้สมัครจัดทำ ขึ้นเอง และที่ กกต.จัดทำให้ (3) การจัดประชุมสัมมนา อภิปราย ปราศรัย หรือการสื่อสารสาธารณะในรูปแบบต่างๆในห้องประชุม หรือสถาน ที่สาธารณะกลางแจ้ง ตามที่ผู้สมัครได้รับเชิญจากประชาชน และที่ผู้สมัครจัดประชุมขึ้นเอง (4) การจัดเวทีประชุมหรือการชุมนุมในที่สาธารณะต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของ กกต. โดยต้องไม่ รบกวนสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์, โบราณคดี, มรดกทางวัฒนธรรม ศาสนสถาน สถานศึกษา มรดก ทางธรรมชาติ และไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเดือดร้อนรำคาญหรือก่อให้เกิดความขัดแย้งขุ่นข้องใจของชุมชุน (5) ห้ามมิให้มีการติดป้าย โปสเตอร์ หรือภาพสัญลักษณ์ที่เป็นการหาเสียงใดๆในที่ สาธารณะ (6) การแจกเอกสารประกอบการหาเสียงให้ทำได้โดยคำนึงถึงความสะอาดเรียบร้อยในที่สาธารณะ (7) การใช้สื่อสารมวลชนสาธารณะเป็นเสรีภาพของผู้สมัครที่จะแสวงหาโอกาสทำได้โดยต้องรับผิดชอบค่าใช้ จ่ายเอง (8) รัฐมีหน้าที่อำนวยความสะดวกและประกันสิทธิเสรีภาพของผู้สมัคร แต่ไม่มีหน้าที่ ให้เงินสนับสนุนช่วยเหลือผู้ สมัครใดๆทั้งสิ้น (9) ผู้สมัครต้องบริหารจัดการการเงินในการหาเสียงเองอย่างไม่มีเพดานจำกัดการใช้จ่าย และต้องแจ้งราย ละเอียดบัญชีการใช้จ่ายต่อ กกต.หลังการเลือกตั้งจบสิ้นลง โดยให้ กกต. ตรวจสอบการใช้จ่ายแล้วประกาศ ให้สาธารณชนรับทราบ (10) ผู้สมัครที่ถูกพบว่ามีการทุจริตในกระบวนการเลือกตั้ง ตามกฎหมายเลือกตั้ง เช่นการซื้อเสียง และการให้ สัญญาว่าจะตอบแทนผู้ลงคะแนนเลือกตั้งในรูปแบบใดก็ตาม ถือว่ามีความผิดและต้องได้รับโทษตาม กฎหมาย คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี และ รองนายกรัฐมนตรี องค์ประกอบ นายกรัฐมนตรี 1 คน รองนายกรัฐมนตรี 4 คน ดังนี้: 1. รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมืองและความมั่นคง 2. รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ 3. รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายสังคม การศึกษา และวัฒนธรรม 4. รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกิจการทั่วไป รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ กระทรวงละ 1 คน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงฯ กระทรวงละ 2 คน ที่มา มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน วาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี อำนาจหน้าที่ บริหาราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรีไม่มีอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี และ คณะรัฐมนตรี หลักการ ให้ประชาชนทุกคนที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป มีสิทธิเลือกตั้ง และให้ประชาชนที่ มีอายุ35 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปมีสิทธิ โดยอิสระเสรีในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ, และ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงฯ ได้ โดยไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองใด เมื่อได้รับเลือกตั้ง แล้วให้ทำหน้าที่ในตำแหน่งที่ได้รับการเลือกตั้งมาตามแนวนโยบายที่ประกาศไว้ด้วยความพากเพียรอย่างสุจริต และโปร่งใส และรู้จักรอมชอมทำงานร่วมกันกับรัฐมนตรีอื่นที่อาจมิได้สังกัดกลุ่มความคิดทางการเมืองเดียวกันได้ โดยรัฐจะให้ค่าตอบแทนเป็นอย่างดีและเหมาะกับตำแหน่งอันมีเกียรติสูงสุดสำหรับฝ่ายบริหารบ้านเมืองนี้ กระบวนการเลือกตั้ง 1. ประเทศไทยทั้งประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง 2. ประชาชนที่มีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป มีสิทธิเลือกตั้ง 3. ประชาชนที่มีอายุ 35 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง 4. ผู้ประสงค์จะสมัครรับเลือกตั้ง ให้ยื่นใบสมัครที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่วนกลาง 5. เอกสารประกอบการสมัครให้เป็นไปตามกฎหมายเลือกตั้ง และจะต้องมีเอกสารอธิบายประวัติชีวิตและงาน แสดงรายละเอียดว่าด้วยความเป็นพลเมืองดี มีคุณภาพ มีอุดมการณ์ วิสัยทัศน์ แนวนโยบาย ต่อการพัฒนา ประเทศและสังคมอย่างบริบูรณ์ เอกสารดังกล่าวนี้จะต้องเป็นความจริง ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสิน ใจของประชาชน และมีความยาวอย่างน้อย 50 หน้า และไม่เกิน 100 หน้า 6. ให้ผู้สมัครในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีร่วมกันสมัครเป็นคณะเดียวกัน เรียกว่า “ผู้สมัคร คณะนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรี” 7. ให้ผู้สมัครในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงฯสำหรับแต่ละกระทรวง ร่วม กันสมัครเป็นคณะเดียวกัน เรียกว่า “ผู้สมัครคณะรัฐมนตรีว่าการฯ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง...(ตามชื่อ ของแต่ละกระทรวง)” 8. ผู้สมัครแต่ละคณะสามารถแยกสมัครเป็นอิสระจากกัน หรืออาจสมัครรวมกันเป็นกลุ่มเดียวกันซึ่งประกอบด้วย หลายคณะก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ถือว่าอยู่ในสังกัดกลุ่มหรือพรรคการเมืองใดๆอย่างเป็นทางการ 9. ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งตรวจสอบคุณสมบัติและความถูกต้องของข้อมูลของผู้ สมัครตามกฎหมายเลือก ตั้ง จากนั้นให้นำรายชื่อผู้สมัครทั้งหมดเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้เข้าสู่กระบวนการกลั่นกรองและคัด เลือกขั้นต้นต่อไป 10. เมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้รับรายชื่อคณะผู้สมัครในตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีทั้งหมดจาก กกต.แล้ว ให้จัดกระ กระบวนการกลั่นกรองและคัดเลือกให้เหลือตำแหน่งละไม่เกิน 10 คณะผู้สมัคร เพื่อเสนอต่อประชาชนในการ เลือกตั้งโดยตรงต่อไป 11. เมื่อสภาผู้แทนราษฎรได้รายชื่อคณะผู้สมัครครบทุกชุดแล้วให้ถือว่าการรับสมัครเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว จากนั้น ให้ กกต.นำข้อมูลของคณะผู้สมัครทั้งหมดเผยแพร่ในระบบสารสนเทศ (internet website) ที่ กกต. จัดทำ ขึ้น พร้อมทั้งพิมพ์เป็นรูปเล่มเอกสารกระดาษ ส่งตรงถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งทุกคน ล่วงหน้าอย่างน้อย 90 วัน ก่อน วันเลือกตั้ง 12. การหาเสียงให้ทำได้ดังนี้: (1) คณะผู้สมัครสามารถหาเสียง แนะนำตัว เสนอแนะวิสัยทัศน์ และ นโยบาย ได้ ตลอดเวลาโดยไม่จำเป็น ต้องรอช่วง 90 วันสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง (2) การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารโดยเสรี ผ่านระบบเทคโนโลยี สารสนเทศ (internet website) ที่ผู้สมัครจัดทำ ขึ้นเอง และที่ กกต.จัดทำให้ (3) การจัดประชุมสัมมนา อภิปราย ปราศรัย หรือการสื่อสารสาธารณะในรูปแบบต่างๆในห้องประชุม หรือ สถานที่สาธารณะกลางแจ้ง ตามที่ผู้สมัครได้รับเชิญจากประชาชน และที่ผู้สมัครจัดประชุมขึ้นเอง (4) การจัดเวทีประชุมหรือการชุมนุมในที่สาธารณะต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบของ กกต. โดยต้อง ไม่รบกวนสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์โบราณคดี มรดกทางวัฒนธรรม ศาสนสถาน สถานศึกษา มรดกทางธรรมชาติ และไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเดือดร้อนรำคาญหรือก่อให้เกิดความขัดแย้งขุ่นข้องใจ ของชุมชุน (5) ห้ามมิให้มีการติดป้าย โปสเตอร์ หรือภาพสัญลักษณ์ที่เป็นการหาเสียงใดๆในที่ สาธารณะ (6) การแจกเอกสารประกอบการหาเสียงให้ทำได้โดยคำนึงถึงความสะอาดเรียบร้อยในที่สาธารณะ (7) การใช้สื่อสารมวลชนสาธารณะเป็นเสรีภาพของผู้สมัครที่จะแสวงหาโอกาสทำได้โดยต้องรับผิดชอบค่า ใช้จ่ายเอง (8) รัฐมีหน้าที่อำนวยความสะดวกและประกันสิทธิเสรีภาพของผู้สมัคร แต่ไม่มีหน้าที่ ให้เงินสนับสนุนช่วย เหลือผู้สมัครใดๆทั้งสิ้น (9) ผู้สมัครต้องบริหารจัดการการเงินในการหาเสียงเองอย่างไม่มีเพดานจำกัดการใช้จ่าย และต้องแจ้งราย ละเอียดบัญชีการใช้จ่ายต่อ กกต.หลังการเลือกตั้งจบสิ้นลง โดยให้ กกต. ตรวจสอบการใช้จ่ายแล้ว ประกาศให้สาธารณชนรับทราบ (10) ผู้สมัครที่ถูกพบว่ามีการทุจริตในกระบวนการเลือกตั้ง ตามกฎหมายเลือกตั้ง เช่นการซื้อเสียง และการให้ สัญญาว่าจะตอบแทนผู้ลงคะแนนเลือกตั้งในรูปแบบใดก็ตาม ถือว่ามีความผิดและต้องได้รับโทษตาม กฎหมาย (11) ให้ประชาชนไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยแยกลงคะแนนเลือก “ผู้สมัครคณะนายกรัฐมนตรีและรอง นายกรัฐมนตรี” ได้เพียงคณะเดียว จากบัญชีรายชื่อผู้สมัครทั้งหมดที่มีไม่เกิน 10 คณะ (12) ให้ประชาชนไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง โดยแยกลงคะแนนเลือก “ผู้สมัครคณะรัฐมนตรี ว่าการฯ และ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง...(ตามชื่อ ของแต่ละกระทรวง)” ได้เพียงคณะเดียว จากบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ทั้งหมดสำหรับแต่ละกระทรวง ที่มีไม่เกิน 10 คณะ โดยลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแยกเป็นรายกระทรวง ตามกระบวนการเลือกตั้งที่ กกต.กำหนด (13) คณะผู้สมัครที่ได้รับคะแนนสูงสุด ถือว่าได้รับเลือกตั้งเข้าดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามที่สมัคร องค์การบริหารส่วนจังหวัด ไม่มี ให้ยกเลิกไป องค์การบริหารส่วนตำบล เทศบาล และพื้นที่พิเศษ คงตามเดิม พรรคการเมือง ไม่มี ไม่มีพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการตามกฎหมาย แต่ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ที่จะรวมกลุ่มกันอย่างเสรีที่จะทำกิจกรรมทางการเมืองและกิจกรรมสร้างสรรค์สังคมได้ โดยไม่ต้องมีกฎหมายรองรับเป็นการเฉพาะ * เสนอโดย ... สมเกียรติ อ่อนวิมล วันที่ 2 พฤศจิกายน 2557
สมเกียรติ อ่อนวิมล
12/12/2014 11:41:49
ทดลองระบบ weblog 12/12/2014 11:44:44
รับทราบการส่งข้อความทดลองระบบ
ลิขิต
12/12/2014 15:17:31
ดีเหมือนกันครับ สปช.น่านำไปพิจารณาดูอย่างยิ่ง ขอบคุณอาจารย์มากครับ
ลิขิต เพชรสว่าง
16/12/2014 12:40:57
แนวคิดดีมากๆๆๆๆ แต่ปฏิบัติให้เกิดผลในทางดีได้ยากสสสสสส์ ตราบใดที่คนพันธุ์ไทยส่วนมากใช้มือซ้ายยื่นไแขอเงินค่าจ้างเลือกตั้งใครก็ได้ ขอให้เงินหนา แล้วมือขวาจึงกาชื่อในบัตรหย่อนในหีบเก็บบัตรฯ ก็ต้องมีการลงทุนจ้างลงคะแนน ทุจริตเลือกตั้งเพื่อได้เป็นและถอนทุนคืนพร้อมกำไร ??? ยิ่งเปิดกว้าง ยิ่งง่ายต่อดารโกงกิน สบายกว่าเดิม คนพันธุ์ไทย Comments are closed.
|
AUTHOR
สมเกียรติ อ่อนวิมล Somkiat Onwimon (1948 - 20xx) lives in Thailand, studied political science and international relations from The University of Delhi (B.A. & M.A.) and The University of Pennsylvania (Ph.D.). He lectured at Chulalongkorn University, and later became a television news 'n documentary reporter-producer-anchorman. He was elected a member of Thailand's 1997 Constitution Drafting Assembly, elected a senator in 2000, and appointed member of the National Legislative Assembly in 2007. Now at his Pak Chong home, he lives a quiet country life of reading, writing, and thinking. Archives
June 2018
Categories
All
|