ประชาธิปไตยในประเทศไทย กับ ประชาธิปไตยแบบต่างๆในโลก
ในช่วงเวลาที่มีการนำมวลชนมาชุมนุมและเคลื่อนย้ายขบวนชุมนุมทางการเมืองไปตามที่ต่างๆในกรุงเทพมหานครในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม พ.ศ. 2553 และปี 2556-2557 นั้น ผู้ชุมนุมแสดงความเห็นทางการเมืองว่า “ประเทศไทยยังไม่มีประชาธิปไตย และต้องการประชาธิปไตยคืนมา” หมายความว่าเราเคยมีประชาธิปไตย แต่ว่าหายไป ตอนนี้ไม่มีแล้ว จึงมาชุมนุมประท้วงเพื่อทวงเอาประชาธิปไตยคืนมา ซึ่งหมายความต่อไปได้ว่าประชาธิปไตยหลบซ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ไม่รู้ที่ไหน ยังหาไม่เจอ ฟังดูแล้วก็เหมือนง่ายที่จะมีประชาธิปไตย ง่ายที่จะปล่อยประชาธิปไตยให้หายไป และง่ายที่จะมาทวงถามตามคืนจากผู้อื่นที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นผู้เอาประชาธิปไตยไปซ่อนไว้ ประชาธิปไตยไม่เกิดง่าย หายง่าย ทวงคืนได้ง่ายๆ อย่างที่มวลชนมักกล่าวกันเลย ที่สำคัญ ความเป็นประชาธิปไตยที่อยู่ในตัวบุคคลไม่มีวันจะถูกใครอื่นทำให้หายไปได้นอกจากตัวของตนเอง การทวงประชาธิปไตยคืนมาจากผู้อื่นจึงไม่มีผลต่อการเกิดหรือการมีประชาธิปไตยในตัวของพลเมืองคนใดคนหนึ่งหรือทุกคน และถ้าพลเมืองแต่ละคนและทุกคนไม่มีความเป็นเป็นประชาธิปไตย ภาพรวมของสังคมก็จะสะท้อนการขาดคุณสมบัติประขาธิปไตย มากหรือน้อย ตามสัดส่วนของคุณภาพประชาธิปไตยในตัวพลเมือง โดยประวัติศาสตร์ ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเข้าสู่โครงสร้างประชาธิปไตยมานานถึง 83 ปีแล้ว แม้จะมีการยึดอำนาจขัดจังหวะการพัฒนาประชาธิปไตยอยู่เป็นระยะๆ แต่ประเทศไทยอยู่ในระบอบประชาธิปไตยมาต่อเนื่องจนทุกวันนี้ หากจะมีการวิพากษ์ว่าประชาธิปไตยของไทยไม่สมบูรณ์ เป็นประชาธิปไตยครึ่งใบบ้าง ประชาธิปไตยแบบไม่เต็มใบบ้าง ซึ่งคำวิจารณ์นี้ก็ชอบด้วยเหตุผลตามหลักวิชาการ เพราะในโลกนี้ไม่มีประชาธิปไตยแบบสมบูรณ์ เพราะประชาธิปไตยเป็นปรัชญาการเมืองที่ก่อกำเนิดระบบการเมืองการปกครองที่วิวัฒนาการปรับแก้แปรผันไปตามกาลเวลาและเป็นไปตามสภาวะสังคมและวัฒนธรรมที่นำระบอบประชาธิปไตยไปทดลองใช้ในประเทศของตนเอง ประชาธิปไตยในโลกปัจจุบันจึงปรากฏรูปแบบมากมายหลากหลาย และยังคงวิวัฒนาการต่อไปอย่างไม่รู้จบ เมื่อวิเคราะห์ด้วยหลักวิชาการว่าด้วยลัทธิ อุดมการณ์ และปรัชญาการเมือง สรุปได้ว่าประเทศไทยเป็นสมาชิกอาเซียนที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่มีคุณภาพสูงในเชิงโครงสร้างทางการเมืองแบบประชาธิปไตยประเทศหนึ่ง ตั้งแต่การมีรัฐธรรมนูญ การมีระบบรัฐสภาสองสภา การมีสถาบันทางการเมืองสำคัญแบ่งอำนาจหน้าที่กันทำงาน คือสถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) สถาบันบริหาร (รัฐบาล) และสถาบันตุลาการ (ระบบศาลยุติธรรม) มีพรรคการเมืองที่สามารถทำกิจกรรมทางการเมืองได้อย่างเสรี นอกจากนั้นก็มีสถาบันตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐเป็นองค์กรอิสระอีกหลายองค์กร เช่นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครองสูงสุด คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ฯลฯ ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว สิทธิเสรีภาพในการพูด แสดงความคิดเห็น การสื่อสารส่วนบุคคล และการสื่อสารมวลชน พลเมืองไทยมีสิทธิในการดูแลชุมชนท้องถิ่น มีการจัดการปกครองส่วนท้องถิ่นที่ก้าวหน้า รวมถึงการจัดการระบบภาษีอากรและงบประมาณของท้องถิ่นเอง การเลือกตั้งมีมากหลากหลายและบ่อยครั้ง ทั้งระดับชาติ และระดับท้องถิ่นทั้งหมดนี้หากมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากล ประชาชนก็มีสิทธิแสดงความไม่พอใจรัฐบาล หรือสภาท้องถิ่น ด้วยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งต่อไป ปฏิเสธรัฐบาลเดิมที่ตนไม่พอใจ เลือกพรรคการเมืองอื่นเข้าไปเป็นรัฐบาลได้ ทั้งหมดคือโครงสร้างและรูปแบบประชาธิปไตยของประเทศไทยผู้ก่อตั้งอาเซียนมีไว้แสดงต่อมิตรประเทศและชาวโลกว่า ประเทศไทยนั้นเป็นประชาธิปไตยที่ได้มาตรฐานสากล อยู่ในระดับแนวหน้าของอาเซียน ในบรรดาสมาชิก 10 ประเทศของอาเซียน ประเทศที่มีการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ประเทศที่มีโครงสร้างและกิจกรรมทางการเมืองพื้นฐานดีกว่าชาติอื่นก็คือ ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และสิงคโปร์ รัฐสมาชิกอาเซียนที่เหลือกำลังอยู่ระหว่างวิวัฒนาการการเมืองการปกครองและสังคมของตนอยู่อย่างไม่เร่งร้อนนัก และโดยฌแพาะประเทศไทยระหว่างพักกระบวนการประชาธิปไตยด้วยอำนาจการปกครองแบบอำนาจนิยมของคณะทหารอีกครั้งในปี 2557 ก็หมายความว่า กระบวนการค้นหารูปแบบประชาธิปไตยที่เหมาะสมสำหรับสังคมไทยกำลังเริ่มต้นอีกครั้ง ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน ประชาชนคนไทยจะตัดสินอีกทีเมื่อแนวทางการปฏิรูปการเมืองไทยรอบใหม่เข้าสู่ภาคปฏิบัติจริง ประเทศไทยมีโครงสร้างของระบอบประชาธิปไตยที่ได้มาตรฐาน หากแต่พลเมืองส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะพวกผู้นำและเหล่านักการเมืองทั้งหลาย ยังไม่ถึงมาตรฐานในเรื่องความรู้ความเข้าใจ พลเมืองส่วนหนึ่งยังต่ำกว่ามาตรฐานว่าด้วยความรับผิดชอบและบทบาทหน้าที่ในสังคมประชาธิปไตย การศึกษาจนได้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องประชาธิปไตยยังมีน้อย ไม่ว่าจะเรียนจบการศึกษาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยมาได้ระดับสูงต่ำขนาดไหนก็ตาม ความรู้และการศึกษาเรื่องประชาธิปไตยเป็นเรื่องของวิถีชีวิต หัวใจ และจิตวิญญาณ ใบวุฒิบัตรและปริญญามิใช่เครื่องวัดคุณภาพและมาตรฐานประชาธิปไตยในตัวบุคคล นี่คือปัญหาที่มองเห็นในตัวนักการเมือง ผู้นำทางการเมือง สมาชิกรัฐสภา และคณะรัฐมนตรี ที่ผ่านๆมาในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ในระบอบประชาธิปไตยนั้น การชุมนุมเพื่อประท้วง หรือเพื่อแสดงความเห็นที่แตกต่าง เป็นกิจกรรมที่กระทำได้และถือเป็นเรื่องปรกติ แต่การชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มมวลชนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการโดยมิยอมเลิกรา แถมมีการข่มขู่ขีดเส้นตายด้วยนั้น มิใช่กิจกรรมที่เป็นประชาธิปไตย เพราะการแก้ปัญหาในสังคมประชาธิปไตยนั้น หากเจาจรหารือรอมชอมกันไม่ได้ หาฉันทามติไม่ได้ ก็ต้องใช้วิธีออกเสียงลงคะแนน ลงมติโดยยึดเสียงข้างมากเป็นหลัก หากเสียงข้างมากชนะก็ทำตามเสียงข้างมาก แต่ก็ยังคงดูแลผลประโยชน์และความทุกข์สุขของฝ่ายข้างน้อยต่อไป เพราะประชาธิปไตยเป็นกระบวนการทางการเมืองที่มุ่งหวังความสงบสุขและความเจริญยั่งยืนของทุกคนในสังคม ข้อเรียกร้องที่ทำให้ไม่ได้เลยอย่างแน่นอนคือการเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาและลาออกภายจำนวนวัน เวลา หรือชั่วโมงที่กำหนดเป็นเส้นตายพร้อมข่มขู่ว่าจะมีมาตรการตอบโต้ที่เข้มข้นหรือแรงขึ้น หากรัฐบาลไม่ยุบสภาตามที่ผู้ชุมนุมข่มขู่เป็นเงื่อนไขไว้นั้น การกระทำเช่นว่านี้ ถือเป็นกิจกรรมที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นกิจกรรมของผู้ใช้อำนาจเผด็จการโดยมวลชนที่ใช้อารมณ์เป็นเครื่องตัดสินใจเท่านั้น รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยจะยุบสภาเพราะถูกมวลชนนอกสภาข่มขู่นั้นย่อมทำไม่ได้ เพราะรัฐบาลมีเสียงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศจนได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลจึงต้องอยู่เพราะมีเสียงข้างมากของพลเมืองสนับสนุนอยู่ หากรัฐบาลยอมสยบต่อผู้ชุมนุมในทุกข้อเรียกร้องสำคัญๆที่ควรผ่านกระบวนการทางรัฐสภา ยอมลาออก ยอมยุบสภา ก็เท่ากับว่ารัฐบาลไม่เคารพประชาชนผู้มีเสียงมากกว่าเสียงของผู้ชุมนุมประท้วง แม้ว่าประชาชนเสียงข้างมากทั้งหลายจะมิได้ออกมาแสดงพลังจำนวนพลเมืองประท้วงให้เห็นบ้างก็ตาม เพราะพลเมืองสามารถแสดงความเห็นได้อีกหลายวิธีโดยไม่จำเป็นต้องจัดการชุมนุมประท้วง ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องอธิบายหลักประชาธิปไตยนี้ให้กับมวลชนผู้ประท้วงให้ได้รับรู้เป็นการเพิ่มพูนการศึกษาเรื่องประชาธิปไตยในหมู่มวลชนด้วย หากเข้าใจประชาธิปไตยแล้วคราวหน้าหากจะมาประท้วงกันอีกก็จะได้รู้ว่า การชุมนุมประท้วงนั้นเป็นวิธีหนึ่งในหลายๆวิธีที่จะแสดงความคิดเห็น เมื่อแสดงแล้ว ฝ่ายตรงข้าม หรือฝ่ายรัฐบาลรับรู้แล้วแต่แก้ไขอะไรให้ไม่ได้ก็ควรจะพอใจที่ได้แสดงออกซึ่งความคิดเห็นโดยเสรี ทว่าจะไม่มีสิทธิมาแสดงอาการโกรธเกรี้ยวและบุกทุบทำลายสิ่งสาธารณะ หรือแม้กระทั่งพูดปราศรัยด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย เพราะการชุมนุมในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่การชุมที่สนับสนุนการใช้ความรุนแรงทั้งกาย วาจา และใจ แต่เป็นการชุมนุมที่ต้องการแสดงออกซึ่งความเห็นที่กลุ่มตนเห็นว่าดีกว่า หรือแจ้งปัญหาที่เห็นว่าควรแก้ไข เท่านั้น หากประสงค์การเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล หรือแก้ไขนโยบาย ก็ให้ทำผ่านผู้แทนราษฎรสังกัดพรรคการเมืองที่ผู้ชุมนุมประท้วงสนับสนุนหรือสังกัดอยู่ด้วย ขณะเดียวกันพรรคการเมืองที่เป็นเสียงข้างน้อยในสภาและเป็นพวกเดียวกันกับมวลชนผู้ประท้วงก็ควรที่จะรับเรื่องร้องเรียนทั้งหลายจากผู้ประท้วงไปพัฒนาตนเอง พัฒนานโยบายของพรรคตนให้ประชาขนกลุ่มอื่นเพิ่มความเลื่อมใสศรัทธา เพื่อจะได้คะแนนเสียงเพิ่มมากขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไป หากใจร้อน ต้องการล้มรัฐบาลที่ตนไม่สนับสนุน หรือไม่ชอบ ก็ต้องใช้วิธีอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎร เรื่องเหล่านี้เป็นพื้นฐานประชาธิปไตยในวิชารัฐศาสตร์เบื้องต้น ซึ่งเป็นไปได้ที่มวลชนผู้ชุมนุมประท้วงส่วนหนึ่งอาจไม่ทราบ ไม่เข้าใจ เพราะไม่ได้รับการศึกษาเรื่องประชาธิปไตยมาก่อน แต่สำหรับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าจะสังกัดพรรดการเมืองอะไรก็ย่อมจะมีการศึกษา มีความรู้เรื่องประชาธิปไตยเป็นอย่างดี จึงเป็นหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคนที่จะช่วยสร้างคุณภาพประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในหมู่มวลชนผู้สนับสนุนพรรคของตนให้ดีมากขึ้น โดยภาพรวมแล้ว ประชาธิปไตยเป็นระบบการเมืองการปกครองที่โลกปัจจุบันนิยมใช้มากที่สุด โดยยึดหลักปฏิบัติพื้นฐานคล้ายกัน คือมีโครงสร้างที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นประชาธิปไตยแบบเลือกผู้แทนเข้าไปทำหน้าที่นิติบัญญัติในรัฐสภา และเลือกผู้แทนไปเป็นรัฐบาลในฝ่ายบริหารอีกต่อหนึ่ง ขณะเดียวกันประชาชนก็อาจเข้ามีส่วนร่วมโดยตรงและโดยอ้อมในกิจกรรมสาธารณะต่างๆได้ตามโอกาสและความประสงค์ของตน ประชาธิปไตยพื้นฐานยึดเสียงส่วนใหญ่เป็นเสียงสนับสนุนการตัดสินในเรื่องต่างๆอันเป็นกิจกรรมสาธารณะ แต่ก็ยังใส่ใจดูแลเสียงข้างน้อยในสังคมอย่างเสมอภาคกัน เมื่อมีหลักการพื้นฐานของประชาธิปไตยแล้ว กาลเวลาผ่านไป การทดลอง ปรับปรุงแก้ไขกระบวนการประชาธิปไตยให้เหมาะสมกับสังคม วัฒนธรรม และวิถีชีวิต ในแต่ละประเทศก็วิวัฒนาการประชาธิปไตยไปจนมีรูปแบบที่แตกต่างหลากหลาย เป็นประชาธิปไตยแต่ชื่อก็มี, เป็นประชาธิปไตยแบบเก่าก็มี, แบบใหม่, แบบจำกัด, แบบนำทาง, สารพัดแบบ, ดังนั้นการทำความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยจึงต้องยึดความตกลงร่วมกันก่อนดังนี้ :
Classical democracy: Athens ประชาธิปไตยแบบดั้งเดิม ณ นครรัฐเอธนส์ [1] Model I | Classical Democracy | ประชาธิปไตยดั้งเดิม หลักแห่งความชอบธรรม
[2] Model IIa | Protective Republicanism | ประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐคุ้มครอง หลักแห่งความชอบธรรม
[3] Model IIb | Developmental Republicanism | ประชาธิปไตยแบบสาธารณรัฐพัฒนา หลักแห่งความชอบธรรม
[4] Model IIIa | Protective Democracy | ประชาธิปไตยแบบคุ้มครอง หลักแห่งความชอบธรรม
[5] Model IIIb | Develpomental Democracy | ประชาธิปไตยแบบพัฒนา หลักแห่งความชอบธรรม
Direct Democracy and the End of Politics ประชาธิปไตยทางตรง และ การยุติการเมือง [6] Model IV | Direct Democracy and the End of Politics | ประชาธิปไตยทางตรง สิ้นสุดการเมือง หลักแห่งความชอบธรรม ‘การพัฒนาอย่างอิสระเสรีสำหรับคนทั้งหมด’ จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมี ‘การพัฒนาอย่างอิสระเสรีของบุคคล’ อิสรภาพจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสิ้นสุดการเอารัดเอาเปรียบ และในที่สุดจะต้องมีความเสมอภาคอย่างบริบูรณ์ในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ; ความเสมอภาคเท่านั้นที่จะประกันเงื่อนไขอันจะทำให้บรรลุซึ่งศักยภาพในหมู่มวลมนุษย์ เพื่อว่า “แต่ละคนจะสามารถบรรลุถึงขีดความสามารถของตน” (Each can give according to his ability)และ “รับสิ่งที่จำต้องใช้”(Receive what they need) คุณลักษณะสำคัญ Socialism | ลัทธิสังคมนิยม
Socialism | ลัทธิสังคมนิยม
Competitive Elitism and the Technocratic Vision การแข่งขันของชนชั้นผู้นำและวิสัยทัศน์ของมืออาชีพผู้ชำนาญการ [7] Model V | Competitve Elitist Democracy | ประชาธิปไตยโดยกลุ่มชนชั้นผู้นำในสังคม หลักแห่งความชอบธรรม
Pluralism, Corporate Capitalism and the State พหุนิยม, ทุนนิยมบรรษัท และ รัฐ [8] Model VI | Pluralism | ประชาธิปไตยพหุนิยม (เคารพทุกเสียงในสังคม) หลักแห่งความชอบธรรม
Classic Pluralism | พหุนิยมดั้งเดิม
From Postwar Stability to Political Crisis: The Polarization of Political Ideals จากยุคความมั่นคงหลังสงครามโลก สู่วิกฤติการเมือง: การแบ่งขั้วอุดมการณ์ทางการเมือง [9] Model VII | Legal Democracy | ประชาธิปไตยนิติธรรม หลักแห่งความชอบธรรม
[10] Model VIII | Participatory Democracy | ประชาธิปไตยแบบพลเมืองมีส่วนร่วม หลักแห่งความชอบธรรม
Democracy after Soviet Communism ประชาธิปไตยหลังลัทธิคอมมิวนิสต์โซเวียต Deliberative Democracy and the Defense of the Public Realm ปรพชาธิปไตยแบบผ่านกระบวนการรับฟังเสียงประชาชน และ การปกป้องคุ้มกันความเห็นสาธารณะ [11] Model IX | Deliberative Democracy | ประชาธิปไตยโดยกระบวนการมติพลเมือง หลักแห่งความชอบธรรม
Democratic Autonomy การปกครองตนเองแบบประชาธิปไตย [12] Model Xa | Democratic Autonomy | ประชาธิปไตยแบบปกครองตนเอง หลักแห่งความชอบธรรม พลเมืองควรมีสิทธิเสมอภาคกัน ในขณะเดียวกันก็ควรมีภาระหน้าที่ผูกพันและความรับผิดชอบเสมอเหมือนกัน ตามคุณลักษณะของกรอบการเมืองซึ่งทั้งเอื้ออำนวยให้เกิดโอกาสและทั้งจำกัดโอกาสสำหรับพลเมือง หมายความว่าพลเมืองควรมีอิสระและเสมอภาคกันในกระบวนการสอบถามความเห็นและลงมติสาธารณะว่าด้วยเรื่องเงื่อนไขในการดำเนินชีวิตของตน และความมุ่งหวังตั้งใจที่จะให้ได้ตามเงื่อนไขเหล่านั้น ตราบเท่าที่พลเมืองทั้งหลายเหล่านั้นไม่ทำสิ่งใดในกรอบปฏิบัติเดียวกันนี้ในอันที่จะเป็นการล่วงละเมิดสิทธิของพลเมืองผู้อื่น คุณลักษณะสำคัญ State | รัฐ
Democracy, the Nation-State and the Global System ประชาธิปไตย, รัฐชาติ และระบบโลก [13] Model Xb | Cosmopolitan Democracy | ประชาธิปไตยแบบสากลโลก (โลกาธิปไตย) หลักแห่งความชอบธรรม
รูปแบบการจัดการปกครอง | Polity/Governance ระยะสั้น
ระยะสั้น
[แปลจากบทสรุปในหนังสือ David Held, Models of Democracy, 3rd Edition, Polity Press, Cambridge (UK), Malden, MA, U.S.A., , 2006] สมเกียรติ อ่อนวิมล 1 มกราคม 2553 Comments are closed.
|
AUTHOR
สมเกียรติ อ่อนวิมล Somkiat Onwimon (1948 - 20xx) lives in Thailand, studied political science and international relations from The University of Delhi (B.A. & M.A.) and The University of Pennsylvania (Ph.D.). He lectured at Chulalongkorn University, and later became a television news 'n documentary reporter-producer-anchorman. He was elected a member of Thailand's 1997 Constitution Drafting Assembly, elected a senator in 2000, and appointed member of the National Legislative Assembly in 2007. Now at his Pak Chong home, he lives a quiet country life of reading, writing, and thinking. Archives
June 2018
Categories
All
|